Friday, May 18, 2012

การทดสอบการเป็นสาวก



เคล็ดลับที่ 7
การทดสอบการเป็นสาวก

                ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์  ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว  สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป  นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”  (2 โครินธ์ 5:17)  {SC 57.1}
                คนๆ หนึ่งไม่อาจบอกเวลาหรือสถานที่แน่นอนหรือลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในขบวนการของการกลับใจ  แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้กลับใจ  พระคริสต์ตรัสกับนิโคเดมัสว่า  ลม ใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้นและท่านได้ยินเสียงลมนั้น  แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากทางไหนและไปที่ไหน  คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน  (ยอห์น 3:8)  พระวิญญาณของพระเจ้าก็เป็นเหมือนเช่นลมที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น  แต่เรามองเห็นและสัมผัสผลของพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทำงานในจิตใจมนุษย์ได้ อย่างชัดเจน  อำนาจการบังเกิดใหม่ซึ่งสายตามนุษย์ไม่อาจจะมองเห็นได้นั้นจะทำให้เกิดชีวิต ใหม่ขึ้นในจิตวิญญาณ  อำนาจนั้นสร้างคนใหม่ที่มีพระฉายาของพระเจ้าในตัวเขา  ในขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานอย่างเงียบๆ และสัมผัสไม่ได้  แต่ผลของการกระทำนั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจน  หากพระวิญญาณของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่แล้ว  ชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจะเป็นพยานให้เห็นถึงความจริง  ในขณะที่เราเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราและนำตนเองให้มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ พระเจ้าไม่ได้  ในขณะที่เราจะต้องไม่วางใจในตัวเราหรือในการดีที่เราทำ  แต่ชีวิตของเราจะแสดงออกให้เห็นว่า  เรามีพระคุณของพระเจ้าที่ทรงร่วมสถิตอยู่ด้วยหรือไม่  เราจะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบุคลิก  ในอุปนิสัยและในการงาน  เราจะมองเห็นความแตกต่างระหว่างชีวิตในอดีตที่ผ่านมากับชีวิตในปัจจุบันได้ อย่างชัดเจนและแน่นอน  เราจะมองเห็นอุปนิสัยที่โน้มเอียงในการทำการดีทั้งทางวาจาและการกระทำ  แทนที่จะเป็นการกระทำความชอบในโอกาสนี้และทำการไม่ดีในโอกาสอื่น  {SC 57.2}
                ความ ประพฤติดีที่แสดงออกมาให้เห็นภายนอกอาจเกิดขึ้นได้โดยปราศจากอำนาจการ บังเกิดใหม่ของพระคริสต์  จิตใจที่ปรารถนาจะได้อำนาจเหนือผู้อื่นและได้คำสรรเสริญจากผู้อื่น  อาจทำให้ชีวิตมีระเบียบขึ้นมาได้  ความเคารพตนเองนำเราให้หลีกเลี่ยงการกระทำชั่ว  จิตใจที่มีแต่ความเห็นแก่ตัวอาจแสดงตนเป็นผู้ที่มีใจกว้างได้  แล้วจะนำอะไรมาใช้เพื่อตัดสินว่าเราอยู่ฝ่ายใด  {SC 58.1}
                ใคร เป็นผู้ครอบครองหัวใจของเรา ใครอยู่ในความนึกคิดของเรา  เราชื่นชอบที่จะสนทนากับผู้ใด  ใครได้ความรู้สึกดีที่สุดและได้พละกำลังที่ดีเลิศสุดของเรา  หากเราเป็นของพระคริสต์  ความนึกคิดของเราจะอยู่กับพระองค์  และความคิดหวานชื่นที่สุดจะเป็นเรื่องของพระคริสต์  ทุกสิ่งที่เรามีและที่เราเป็นอยู่จะมอบถวายให้พระองค์  เราปรารถนาที่จะได้พระฉายาของพระองค์  หายใจด้วยวิญญาณของพระองค์  กระทำตามพระประสงค์ของพระองค์และทำทุกสิ่งให้เป็นที่พอพระทัยพระองค์  {SC 58.2}
                ผู้ที่ได้รับการสร้างใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์จะเกิดผลของพระวิญญาณ  ความรัก  ความปลาบปลื้มใจ  สันติสุข  ความอดกลั้นใจ  ความปราณี  ความดี  ความสัตย์ซื่อ  ความสุภาพอ่อนน้อม  การรู้จักบังคับตน  (กาลาเทีย 5:22, 23)  พวกเขาจะไม่ใส่ใจต่อกิเลสตัณหาในอดีต  แต่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า  พวกเขาจะดำเนินตามพระองค์  สะท้อนพระอุปนิสัยของพระองค์และชำระตัวให้บริสุทธิ์เหมือนพระองค์  สิ่งที่เขาเคยเกลียดชัง  บัดนี้เขารัก  และสิ่งที่เขาเคยรักบัดนี้เขาเกลียดชัง  ผู้ที่ยโสและเห็นแก่ตัวจะกลายเป็นคนเอาจริงเอาจังและไม่โอ้อวด  คนเมากลับเป็นคนที่มีเหตุมีผลและคนไร้ศีลธรรมกลายเป็นคนที่ไม่มีราคี  ธรรมเนียมและความนิยมของชาวโลกจะถูกปัดทิ้งไป  คริสเตียนจะไม่แสวงหา  การประดับภายนอก  แต่จะ  ประดับภายในจิตใจ  แต่งด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลายคือ  ด้วยจิตใจที่สงบและสุภาพ  (1 เปโตร 3:3, 4)  {SC 58.3}
                ไม่ มีหลักฐานใดที่จะแสดงให้เห็นว่ามีการกลับใจที่แท้จริงนอกจากว่าการกลับใจ นั้นจะก่อให้เกิดการปฏิรูป  หากเขาทำตามสิ่งที่ได้สัญญาไว้  ส่งคืนสิ่งของที่ได้ปล้นมา  สารภาพบาปของเขาและรักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์  คนบาปนั้นจึงอาจจะมั่นใจได้ว่าเขาได้ก้าวจากความตายไปสู่ชีวิต  {SC 59.1}
                เมื่อ เราเข้ามาหาพระคริสต์ในสภาพของคนบาปและได้รับพระคุณแห่งการอภัยบาปของ พระองค์แล้ว  ความรักจะเกิดขึ้นภายในจิตใจ  ทุกภาระจะเบาลง  เพราะแอกที่พระคริสต์ทรงวางไว้ให้นั้นพอเหมาะ  ภาระหน้าที่กลายเป็นเรื่องที่ทำด้วยความยินดี  การเสียสละจะเป็นสิ่งที่สร้างความสุข  หนทางเบื้องหน้าที่เคยดูประหนึ่งว่า  ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด  จะสว่างไสวด้วยลำแสงจากดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม  {SC 59.2}
                พระ ลักษณะที่น่ารักของพระคริสต์จะปรากฏให้เห็นในตัวของผู้ติดตามพระองค์  พระคริสต์ทรงชื่นชอบกับการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  ความรักที่พระองค์ถวายพระเจ้าและความร้อนรนในการถวายพระสิริให้พระเจ้าคือ อำนาจที่คอยควบคุมในชีวิตองพระผู้ช่วยให้รอดของเรา  ความรักส่งผลให้ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำแลดูสวยงามและสูงส่ง  ความรักจากพระเจ้าจิตใจที่ยังไม่ได้อุทิศถวายพระเจ้าจะก่อให้เกิดหรือแสดง ความรักเช่นนี้ออกมาไม่ได้  ความรักเช่นนี้จะพบได้ในจิตใจที่มีพระเยซูครอบครองอยู่เท่านั้น  เราทั้งหลายรักก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน (1 ยอห์น 4:19)  ในจิตใจที่สร้างขึ้นมาใหม่ด้วยพระคุณของพระเจ้านั้นจะมีความรักเป็นหลักการ ของการกระทำ  ความรักนี้จะหล่อหลอมอุปนิสัย  บังคับความรู้สึก  ควบคุมกิเลสตัณหา   ลดความเป็นศัตรูกันและทำให้ความรักสูงส่ง  ความรักเช่นนี้จะถนอมจิตวิญญาณและทำให้ชีวิตหวานชื่นและกระจาย อิทธิพลบริสุทธิ์ให้แก่ทุกคนที่อยู่รอบข้าง  {SC 59.3}
                มี ความผิดอยู่สองประการที่บุตรทั้งหลายของพระเจ้าจะต้องระวัง  โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเข้ามามอบความวางใจในพระคุณของพระองค์ได้ไม่นาน  ประการแรก  เป็นเรื่องที่กล่าวมาแล้ว  คือการมองไปที่ผลงานของตนเองและเชื่อมั่นในการกระทำเพื่อนำตัวเองให้เข้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า  ผู้ที่พยามทำตัวเองให้บริสุทธิ์ด้วยการถือรักษาพระบัญญัติกำลังพยายามทำใน สิ่งที่เป็นไปไม่ได้  การกระทำทั้งหมดที่มนุษย์ทำไปโดยปราศจากพระคริสต์ล้วนเปรอะเปื้อนด้วยความ เห็นแก่ตัวและความบาป  มีเพียงพระคุณของพระเจ้าที่เราได้รับโดยความเชื่อเท่านั้นที่จะทำให้เรา บริสุทธิ์  {SC 59.4}
                ความ ผิดในทางกลับกันและอันตรายไม่น้อยกว่ากันคือการเชื่อว่าพระคริสต์ทรงปลด ปล่อยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากการถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าแล้ว  โดยให้เหตุผลว่าเราจะมีส่วนในพระคุณของพระคริสต์ได้ด้วยความเชื่อเท่านั้น  การกระทำไม่มีผลต่อความรอดของเราเลย  {SC 60.1}
                แต่ ขอให้สังเกตว่า  การเชื่อฟังไม่ใช่เป็นการร่วมมือที่ปรากฏให้เห็นแต่เพียงภายนอก  การเชื่อฟังเป็นการรับใช้แห่งรัก  พระบัญญัติของพระเจ้าซึ่งแสดงให้เห็นธรรมชาติของพระเจ้า  เป็นศูนย์รวมแห่งหลักการที่ยิ่งใหญ่ของความรักและเป็นรากฐานการปกครองของพระ เจ้าทั้งในสวรรค์และบนโลก  หากหัวใจของเราถูกเปลี่ยนใหม่ให้เหมือนของพระเจ้า  หากบัญญัติแห่งรักของพระเจ้าถูกปลูกฝังเข้าไปอยู่ในจิตวิญญาณ  พระบัญญัติของพระเจ้าจะไม่ปรากฏออกให้เห็นในชีวิตของเราหรือ  เมื่อหลักการแห่งความรักถูกปลูกฝังลงในจิตใจ  เมื่อมนุษย์ถูกสร้างขึ้นใหม่ตามแบบพระฉายาของพระองค์ผู้ทรงสร้างเขามานั้น  พระสัญญาใหม่ก็จะเกิดขึ้น  เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในใจของเขาทั้งหลาย  และเราจะจารึกพระธรรมนั้นไว้ในจิตใจของเขาทั้งหลาย (ฮีบรู 10:16)  และหากบทบัญญัติถูกจารึกลงไปในใจของเขาแล้ว  พระบัญญัติจะไม่หล่อหลอมชีวิตของเขาหรือ  การเชื่อฟังซึ่งเป็นการรับใช้และความภักดีของความรักจะเป็นหมายสำคัญของการ เป็นสาวกที่แท้จริง  ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์จึงได้กล่าวไว้ว่า  นี่แหละเป็นความรักต่อพระเจ้า  คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์  คนใดที่กล่าวว่า  ข้าพเจ้าคุ้นกับพระองค์ แต่มิได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์  คนนั้นเป็นคนพูดมุสาและความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย (1 ยอห์น 5:3, 2:4)  เราไม่ได้ถูกปลดปล่อยให้พ้นจากการต้องเชื่อฟัง  แต่ด้วยความเชื่อและความเชื่อเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้เรามีส่วนในพระคุณของพระคริสต์และทำให้เราเชื่อฟัง  {SC 60.2}
                เราไม่ได้รับความรอดเป็นค่าจ้างตอบแทนการเชื่อฟัง  เพราะความรอดเป็นของประทานของพระเจ้าที่ทรงประทานให้เปล่าๆ ซึ่งเราจะรับมาได้โดยความเชื่อ  แต่การเชื่อฟังเป็นผลของความเชื่อ  ท่านทั้งหลาย รู้แล้วว่า  พระองค์ได้ทรงปรากฏเพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป  และพระองค์ไม่ทรงมีบาปเลย  ผู้ใดที่อยู่ในพระองค์  ผู้นั้นไม่กระทำบาป  ส่วนผู้ใดที่กระทำบาป  ผู้นั้นยังไม่เห็นพระองค์  และยังไม่รู้จักพระองค์  (1 ยอห์น 3:5, 6)  นี่คือการทดสอบที่แท้จริง  หากเราอยู่ในพระคริสต์  หากความรักของพระเจ้าอยู่ภายในตัวเรา  ความรู้สึกของเรา  ความคิดของเรา  เป้าหมายของเรา  การกระทำของเราจะประสานกับน้ำพระทัยของพระเจ้าตามที่พระบัญญัติบริสุทธิ์ของพระองค์ได้สอนว่า  ลูกทั้งหลายเอ๋ย  อย่าให้ใครชักจูงท่านให้หลง  ผู้ที่ประพฤติชอบก็ชอบธรรมเหมือนอย่างพระองค์ชอบธรรม (1 ยอห์น 3:7)  ความชอบธรรมถูกกำหนดด้วยมาตรฐานพระบัญญัติบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ได้สำแดงให้เห็นในหลักการสิบประการที่ทรงโปรดประทานจากภูเขาซีนาย  {SC 61.1}
                ความเชื่อในพระคริสต์ที่อ้างว่าได้ปลดปล่อยให้มนุษย์หลุดพ้นจากการถูกกำหนดให้เชื่อฟังพระเจ้านั้น  แท้จริงแล้วไม่ใช่ความเชื่อแต่เป็นการทึกทักคิดขึ้นมาเอง  เราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ  แต่  ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน  ถ้าไม่ประพฤติตามก็ไร้ผล  (เอเฟซัส 2:8; ยากอบ 2:17)  พระเยซูตรัสถึงพระองค์เองในสมัยก่อนที่พระองค์จะเสด็จมายังโลกว่า  ข้าพระองค์ปิติยินดีที่กระทำตามน้ำพระทัยพระองค์  พระธรรมของพระองค์อยู่ในจิตใจของข้าพระองค์  (สดุดี 40:8)  ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับไปยังสวรรค์เพียงเล็กน้อย  พระองค์ทรงประกาศว่า  เราประพฤติตามพระบัญญัติของพระบิดาและยึดมั่นอยู่ในความรักของพระองค์  (ยอห์น 15:10)  พระคัมภีร์กล่าวว่า  เราจะมั่นใจได้ว่าเราคุ้นกับพระองค์โดยข้อนี้  คือถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์.....ผู้ใดกล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์  ผู้นั้นก็ควรดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงดำเนินนั้น  (1 ยอห์น 2:3-6เพราะว่าพระคริสต์ก็ได้ทรงทนทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลาย  ให้เป็นแบบอย่างแก่ท่านเพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์  (1 เปโตร 2:21)  {SC 61.2}
                ใน เวลานี้  เงื่อนไขที่จะได้ชีวิตนิรันดร์ก็ยังคงเหมือนเดิม  เป็นเหมือนกับครั้งที่เป็นอยู่ในสรวงสวรรค์ก่อนที่บรรพบุรุษคู่แรกล้มลงใน บาป  นั่นคือการเชื่อฟังบทบัญญัติของพระเจ้าอย่างบริบูรณ์  มีผลให้เกิดความชอบธรรมที่สมบูรณ์  หากจะลดเงื่อนไขการรับชีวิตนิรันดร์ลง  ความผาสุกของทั่วทั้งจักรวาลก็จะตกอยู่ในอันตราย  เป็นการเปิดทางให้ความบาปนำความทุกข์และความโศกเศร้าให้ยั่งยืนเป็นอมตะตลอด ไป  {SC 62.1}
                ก่อนอา ดัมล้มลงในบาป  บุคลิกชอบธรรมของอาดัมพัฒนาขึ้นมาได้ด้วยการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า  แต่อาดัมพลาดในเรื่องนี้  และเนื่องจากความบาปของอาดัม  ธรรมชาติของเราจะตกต่ำลงและเราทำให้ตัวเราเองชอบธรรมไม่ได้  เนื่องจากเราเป็นคนบาปหนา  ไม่บริสุทธิ์  เราจึงเชื่อฟังบทบัญญัติศักดิ์สิทธิ์อย่างสมบูรณ์แบบไม่ได้  เราไม่มีความชอบธรรมของเราเองที่จะนำมาชดใช้ค่าเสียหายตามที่พระบัญญัติของ พระเจ้าเรียกร้องได้  แต่พระคริสต์ทรงจัดหาหนทางให้เราหลุดพ้น  พระองค์ทรงดำเนินชีวิตที่ปราศจากบาป  พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราและบัดนี้พระองค์ทรงเสนอตัวรับบาปของเราและ ประทานความชอบธรรมของพระองค์ให้แก่เรา  หากท่านจะถวายตัวให้พระองค์และยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน แล้ว  ไม่ว่าท่านจะมีบาปหนาเพียงไร  โดยหนทางของพระองค์  ท่านจะได้เป็นคนชอบธรรม  พระลักษณะของพระคริสต์จะเข้ามาในอุปนิสัยของท่านและต่อเบื้องพระพักตร์พระ เจ้า  ท่านจะได้รับการยอมรับว่าท่านไม่เคยทำบาปมาก่อนเลย  {SC 62.2}
                นอก เหนือจากนี้  พระคริสต์ทรงเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านได้  และโดยความเชื่อพระองค์ทรงร่วมสถิตอยู่ในใจของท่าน  และท่านจะต้องรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้โดยความเชื่อและมอบถวายความตั้งใจของ ท่านให้พระองค์เรื่อยไป  และตราบเท่าที่ท่านยังคงทำเช่นนี้  พระองค์จะทรงกระทำกิจอยู่ภายในตัวท่านเพื่อให้ความต้องการและความปรารถนาของ ท่านเป็นไปตามชอบพระทัยของพระองค์  แล้วท่านจะพูดได้ว่า  ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้  ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้าและได้ทรงสละพระองค์เพื่อข้าพเจ้า  (กาลาเทีย 2:20)  ดังที่พระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า  ผู้ที่พูดมิใช่ตัวท่านเอง  แต่เป็นพระวิญญาณแห่งพระบิดาของท่านผู้ตรัสทางท่าน  (มัทธิว 10:20)  เมื่อท่านมีพระคริสต์การกระทำการในตัวท่าน  ท่านก็จะมีจิตวิญญาณที่เหมือนของพระองค์และกระทำงานที่ดีแบบเดียวกัน  นั่นคืองานของความชอบธรรมและการเชื่อฟัง  {SC 62.3}
                ดัง นั้นเราจึงไม่มีสิ่งใดในตัวเราที่จะอวด  เราไม่มีข้ออ้างใดที่จะยกชูตัวของเราเองให้สูงขึ้น  พื้นฐานของความหวังเดียวของเราอยู่ในความชอบธรรมของพระคริสต์ที่ทรงประทาน ให้แก่เราและพระวิญญาณของพระองค์ที่กระทำการอยู่ในตัวของเราและสำเร็จในเรา  {SC 63.1}
                เมื่อ เราพูดถึงความเชื่อแล้ว  มีความแตกต่างที่เราต้องใส่ใจ  มีความเชื่อบางประการที่แตกต่างจากความเชื่อที่กล่าวมาแล้วโดยสิ้นเชิง  การดำรงอยู่ของพระเจ้าและอำนาจของพระองค์  ความจริงที่อยู่ในพระวจนะของพระเจ้า  เรื่องเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่แม้ซาตานและบริวารของมันก็ไม่อาจปฏิเสธ  พระคัมภีร์กล่าวว่า  ปีศาจก็เชื่อ  และกลัวจนตัวสั่น  แต่นี่ไม่ใช่ความเชื่อ  (ยากอบ 2:19)  เราจะต้องไม่เพียงเชื่อในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น  แต่เราจะต้องนำความต้องการมามอบถวายให้พระองค์  เราจะต้องมอบถวายจิตใจให้พระองค์  ให้ความรู้สึกติดสนิทอยู่กับพระองค์  การทำเช่นนี้ต้องมีความเชื่อ  ความเชื่อที่กระทำการโดยความรักและการชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์  ความเชื่อเช่นนี้จะสร้างหัวใจขึ้นมาใหม่ในพระฉายาของพระเจ้า  และหัวใจที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่จะอยู่ภายใต้พระบัญญัติของพระเจ้าไม่ได้และ จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้  แต่บัดนี้ปีติยินดีในพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า  จะร้องขึ้นพร้อมกับผู้ประพันธ์สดุดีว่า  แหม  ข้าพระองค์รักพระธรรมของพระองค์จริงๆ เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์วันยังค่ำ  (สดุดี 119:97)  และความชอบธรรมของพระบัญญัติสำเร็จในเรา  ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง  แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ  (โรม 8:1)  {SC 63.2}
                ยัง มีผู้ที่เคยรู้จักความรักแห่งการอภัยของพระคริสต์และพวกเขามีความปรารถนา อย่างจริงใจที่จะเป็นบุตรของพระเจ้า  แต่ถึงกระนั้นพวกเขารู้ดีว่าอุปนิสัยของเขายังไม่สมบูรณ์แบบ  ชีวิตของเขายังด่างพร้อยและเขาก็สงสัยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปลี่ยนแปลง จิตใจของเขาใหม่แล้วหรือยัง  ข้าพเจ้าขอบอกกับคนเหล่านี้ว่า  อย่าหันกลับด้วยความท้อใจถึงแม้บ่อยครั้งเราจะต้องก้มลงและร้องไห้แทบพระบาท ของพระองค์เพราะความบกพร่องและความผิดของเรา  แต่เราจะต้องไม่ท้อถอย  ถึงแม้ว่าเราจะพ่ายแพ้ต่อศัตรูแต่พระเจ้าก็ไม่ได้ขับไล่  ทอดทิ้งและปฏิเสธเรา  ไม่เลย  พระคริสต์ทรงประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า  พระองค์ทรงทูลขอเพื่อเรา  ยอห์นผู้เป็นที่รักยิ่งของพระคริสต์ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้า เขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลาย  เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป  และถ้าผู้ใดทำบาป  เราก็มีพระองค์ผู้ทูลขอพระบิดาเพื่อเรา  คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเที่ยงธรรมนั้น (1 ยอห์น 2:1)  และขอให้ท่านอย่าลืมพระดำรัสของพระคริสต์ที่ว่า  พระบิดาเองก็ทรงรักท่านทั้งหลาย  (ยอห์น 16:27)  พระองค์ทรงประสงค์ที่จะนำท่านกลับมายังพระองค์เพื่อให้ความบริสุทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์สะท้อนออกมาจากตัวท่าน  และหากท่านจะยอมมอบถวายตัวท่านเองให้พระองค์  พระองค์ผู้ได้ทรงเริ่มต้นการดีในตัวท่าน  จะทรงกระทำการต่อไปจนถึงวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า  ขอให้อธิษฐานด้วยใจร้อนรนมากยิ่งขึ้น  เชื่อมั่นอย่างเต็มที่  เมื่อเรามาถึงจุดที่เราไม่วางใจในอำนาจของตนเอง  ขอให้เราวางใจในอำนาจของพระผู้ไถ่และสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงเป็นความไพบูลย์ในชีวิตของเรา  {SC 64.1}
                เมื่อ ท่านเข้าใกล้พระเยซูมากยิ่งขึ้นเพียงไร  ท่านก็จะยิ่งมองเห็นความบกพร่องในตัวของท่านเองมากขึ้นเท่านั้น  เพราะสายตาของท่านจะมองเห็นได้ดียิ่งขึ้น  และเมื่อท่านเทียบกับธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบของพระองค์  ท่านก็จะเห็นความไม่สมบูรณ์ในตัวของท่านได้โจ่งแจ้งและมีความชัดเจนมากขึ้น  นี่คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า  อำนาจการหลอกลวงของซาตานได้เสื่อมถอยไปแล้วและอิทธิพลที่ให้ชีวิตของพระ วิญญาณของพระเจ้าได้ปลุกท่านให้ตื่นขึ้น  {SC 64.2}
                ความ รักที่มีต่อพระเยซูไม่อาจที่จะฝังลึกเข้าไปในจิตใจที่ไม่สำนึกในความบาปของ ตนได้  จิตวิญญาณที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงด้วยพระคุณของพระคริสต์จะชื่นชมกับพระ ลักษณะของพระเจ้า  แต่หากเรามองไม่เห็นความบกพร่องทางคุณธรรมของเราแล้ว  นั่นก็คือหลักฐานที่เด่นชัดว่า  เรายังมองไม่เห็นความงามและคุณความดีของพระคริสต์  {SC 65.1}
                เมื่อ เราประเมินค่าในตัวของเราเองให้ยิ่งน้อยลงเพียงไร  เราก็จะประเมินค่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้าและความดีงามของพระผู้ช่วยให้รอด ได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น  ภาพของความผิดบาปของเราจะผลักดันเราให้ไปหาพระองค์  ผู้ทรงให้อภัยบาปผิดของเราได้  และเมื่อจิตวิญญาณตระหนักถึงความไม่สามารถช่วยตัวเองได้และยื่นมือไปหาพระ คริสต์  พระองค์จะทรงเปิดเผยพระองค์เองด้วยอำนาจยิ่งใหญ่  เมื่อความรู้สึกถึงความขาดแคลนของเราผลักเราให้เข้าไปหาพระองค์และพระวจนะ ของพระเจ้ามากยิ่งขึ้นเพียงไร  เราก็จะมองเห็นพระลักษณะของพระเจ้าได้สูงส่งมากขึ้นและเราก็จะสะท้อนพระฉายา ของพระเจ้าได้บริบูรณ์มากยิ่งขึ้นเท่านั้น  {SC 65.2}




Visit us for more information http://www.greatesthope.com

For more information, please contact 
Alejandro at mienfield@yahoo.com
or contact
Thailand Adventist Mission 
12 Soi Pridi Banomyong 37, Sukhumvit 71
Klongtan Nua, Wattana, Bangkok 10110
 
Telephone: 02-391-3595, 02-391-0525
Fax: 02-381-1928
 
Information:  
P.O. Box 234 Prakanong Bangkok 10110 Thailand
 

VISIT ALSO


http://www.adventist.or.th/

http://thaivop.com/

No comments: