Friday, May 18, 2012

การกลับใจ

เคล็ดลับที่ 3
การกลับใจ

                มนุษย์จะทำตัวให้เป็นคนเที่ยงธรรมจำเพาะพระเจ้าได้อย่างไร  คนบาปจะทำตัวให้เป็นคนชอบธรรมได้อย่างไร  โดยทางพระคริสต์เท่านั้นที่เราจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระเจ้าและร่วมในความ บริสุทธิ์ของพระองค์ได้  แต่เราจะเข้ามาหาพระคริสต์ได้อย่างไร  มีคนมากมายได้ถามคำถามเดียวกันกับฝูงชนที่สำนึกในบาปถามกันในวันเพ็นเทคศเต ว่า  เราจะทำอย่างไรดี  ประโยคแรกที่เปโตรตอบคือ  จงกลับใจใหม่  (กิจการของอัครทูต  2:37, 38)  หลังจากนั้นไม่นาน  ท่านได้พูดอีกว่า  จงหันกลับและตั้งใจใหม่   เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย  (กิจการของอัครทูต 3:19{SC 23.1}
                การกลับใจจะต้องมีการเสียใจในความบาปที่ได้ทำลงไปและหันหลังให้กับบาปนั้น  เราจะไม่ละทิ้งความบาปนอกเสียจากว่าเราจะมองเห็นความชั่วร้ายของมัน  ชีวิตของเราจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงจนกว่าเราจะหันหลังให้กับความบาปด้วยความเต็มใจ  {SC 23.2}
                มี คนมากมายที่ไม่เข้าใจธาตุแท้ของการกลับใจ  คนมากมายเสียใจกับความบาปที่ได้ทำลงไปและยังแสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงภายนอก เพราะกลัวว่าความผิดของเขาจะนำความทุกข์ยากมายังตัวเขาเอง  แต่นี่ไม่ใช้การกลับใจที่พระคัมภีร์ได้สอนไว้  พวกเขาโศกเศร้าให้กับความทุกข์ยากแทนที่จะโศกเศร้าให้กับการบาป  เอซาวตกลงสู่ความโศกเศร้าทุกข์ใจเช่นนี้เมื่อเขารู้สึกตัวว่าได้สูญเสีย สิทธิบุตรหัวปีไปตลอดกาล  บาลาอัมตกใจกลัวเมื่อเห็นทูตสวรรค์ยืนถือดาบขวางอยู่กลางทาง  เขายอมรับผิดเพราะกลัวตาย  แต่ไม่ได้กลับใจจากความบาปอย่างจริงใจ  เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงความตั้งใจและไม่ได้รังเกียจความชั่วของเขา  เมื่อยูดาส  อิสคาริโอทได้ทรยศพระอาจารย์ของเขาแล้วเขาได้ร้องอุทานขึ้นมาว่า  ข้าพเจ้าทำบาปที่ได้อายัดคนบริสุทธิ์มาให้ถึงความตาย  (มัทธิว  27:4)  {SC 23.3}
                คำ สารภาพเช่นนี้ถูกบีบคั้นออกมาจากจิตใจที่รู้สึกผิด  โดยกลัวว่าจะถูกกำหนดโทษและกลัวการพิพากษาที่เขาจะต้องเผชิญ  ตัวเขาเต็มล้นไปด้วยความหวาดผวาต่อผลที่เขาจะได้รับ  แต่ภายในจิตวิญญาณของเขา  เขาไม่ได้เสียใจอย่างลึกซึ้งและไม่มีความปวดร้าวอยู่ภายในใจของเขา  เขาได้ทรยศพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงปราศจากความผิดและปฏิเสธองค์ผู้บริสุทธิ์ ของชนชาติอิสราเอล  เมื่อฟาโรห์ต้องตกลงสู่ความทุกข์ในการพิพากษาของพระเจ้า  เขายอมรับบาปของเขาเพียงเพื่อให้หลุดพ้นจากการต้องรับโทษเพิ่มเติม  แต่เขาหวนกลับเยาะเย้ยพระเจ้าแห่งสวรรค์อีกในทันทีที่ภัยพิบัติสงบลง  คนเหล่านี้โศกเศร้ากับผลของความบาป  แต่ไม่ได้เสียใจให้กับบาปที่ได้ทำไป  {SC 24.1}
                แต่เมื่อหัวใจยอมอยู่ภายใต้อิทธิพลพระวิญญาณของพระเจ้า  ความสำนึกของเขาก็จะตื่นขึ้น  และคนบาปก็จะเข้าใจสิ่งที่ล้ำลึกและศักดิ์สิทธิ์บางประการที่มีอยู่ในพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า  ซึ่งเป็นพื้นฐานการปกครองของทั้งในสวรรค์และในโลก  แสงสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงนั้นได้แม้ขณะนั้นกำลังเข้ามาในโลก  ได้ส่องเข้าไปในห้องชั้นในของวิญญาณและทำให้มองเห็นสิ่งของที่ซ่อนอยู่ในความมืด (ยอห์น 1:9)  ความรู้สึกสำนึกจะเกิดขึ้นภายในความนึกคิดและในจิตใจ  คนบาปจะรู้สึกถึงความชอบธรรมของพระเยโฮวาห์และรู้สึกกลัวที่จะต้องไปปรากฏ อยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงตรวจสอบจิตใจพร้อมกับสภาพที่ผิดและไม่ สะอาดตาของเขา  เขามองเห็นความรักของพระเจ้า  ความบริสุทธิ์ที่งดงามยิ่ง  ความบริสุทธิ์ที่น่าชื่นชม  เขาหวังที่จะได้รับการชำระและนำกลับคืนไปสู่การสื่อสัมพันธ์กับสวรรค์  {SC 24.2}
                คำ อธิษฐานของดาวิดหลังจากที่ท่านล้มลงในความบาปเป็นแบบอย่างที่แสดงให้เห็นถึง สภาพของความเสียใจต่อความบาปอย่างแท้จริง  การกลับใจของท่านนั้นจริงใจและลึกซึ้ง  คำอธิษฐานของท่านไม่ได้เกิดจากความพยายามที่จะลดโทษความผิดของท่านลงไป  หรือต้องการหลีกเลี่ยงการพิพากษาที่ท่านจะต้องเผชิญ  ดาวิดมองเห็นถึงความเลวร้ายของการล่วงละเมิดของตนเอง  ท่านมองเห็นความสกปรกในจิตวิญญาณของท่าน  ท่านรังเกียจบาปของท่าน ท่านอธิษฐานไม่ใช่เพียงเพื่อขอการอภัยเท่านั้น  แต่ได้ทูลขอจิตใจที่บริสุทธิ์ด้วย  ท่านปรารถนาที่จะได้รับความบริสุทธิ์ที่ก่อให้เกิดความสุข  เพื่อจะได้กลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและเข้าสัมพันธ์กับพระเจ้า  คำพูดที่ออกมาจากจิตวิญญาณของท่านมีอยู่ว่า
                บุคคลผู้ซึ่งได้รับอภัยการละเมิดแล้วก็เป็นสุข
                คือผู้ทรงกลบเกลื่อนบาปให้นั้น
                บุคคลซึ่งพระเจ้ามิได้ทรงถือโทษก็เป็นสุข
                คือผู้ที่ไม่มีการหลอกลวงในใจของเขา
                (สดุดี 32:1, 2)
                ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงแสดงพระกรุณาต่อข้าพระองค์
                ตามความรักมั่นคงของพระองค์
                ขอทรงลบการทรยศของข้าพระองค์ออกไป
                ตามแต่พระกรุณาอันอุดมของพระองค์.....
                เพราะข้าพระองค์ทราบถึงการละเมิดของข้าพระองค์แล้ว
                และบาปของข้าพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพระองค์เสมอ.....
                ขอทรงชำระข้าพระองค์ด้วยต้นหุสบ  ข้าพระองค์จึงจะสะอาด
                ขอทรงล้างข้าพระองค์  และข้าพระองค์จะขาวกว่าหิมะ.....
                ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์
                และฟื้นน้ำใจที่หนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์
                ขออย่าทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ไปเสียจากเบื้องพระพักตร์พระองค์
                และขออย่าทรงนำวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ไปจากข้าพระองค์
                ขอทรงคืนความชื่นบานในความรอดแก่ข้าพระองค์
                และชูข้าพระองค์ไว้ด้วยเต็มพระทัย.....
                ข้าแต่พระเจ้า  คือพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์
                ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากกรรมชั่วเพราะทำโลหิตเขาตก
                และลิ้นของข้าพระองค์จะร้องเพลงเรื่อง  การช่วยกู้ของพระองค์
                (สดุดี 51:1-14)  {SC 24.3}
                การ กลับใจเช่นนี้อยู่ไกลเกินกว่าอำนาจของเราเองที่จะกระทำให้สำเร็จได้  การกลับใจเช่นนี้จะได้มาโดยทางพระคริสต์เท่านั้น  พระองค์เสด็จขึ้นไปยังที่สูงแล้วและทรงประทานของขวัญให้แก่บรรดามนุษย์  {SC 25.1}
                มี คนมากมายเข้าใจเรื่องนี้ผิดไปและจึงไม่ได้รับการทรงช่วยที่พระคริสต์  ทรงปรารถนาจะประทานให้แก่พวกเขา  พวกเขาคิดว่าจะเข้ามาหาพระคริสต์ไม่ได้นอกเสียจากได้กลับใจแล้วและการกลับใจ นี้จะเตรียมเขาให้พร้อมเพื่อรับการอภัยจากบาป  จริงอยู่การกลับใจจะต้องเกิดขึ้นก่อนการอภัยบาป  มีเพียงจิตใจที่สำนึกผิดและชอกช้ำที่จะรู้สึกว่าเขาต้องการพระผู้ช่วยให้ รอด  แต่คนบาปจะต้องรอจนกว่าเขากลับใจเรียบร้อยแล้วจึงเข้ามาหาพระเยซูหรือ  จะต้องปล่อยให้การกลับใจเป็นอุปสรรค์ระหว่างคนบาปและพระผู้ช่วยให้รอดหรือ {SC 26.1}
                พระคัมภีร์ไม่ได้สอนว่าคนบาปจะต้องกลับใจก่อนแล้วจึงตอบสนองคำเชิญของพระคริสต์ได้  บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา  และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข  (มันธิว 11:28)  เป็นเพราะพระคุณความดีที่ออกมาจากพระคริสต์ต่างหากที่นำให้เกิดการกลับใจที่แท้จริง  เมื่อเปโตพูดกับชนชาติอิสราเอลถึงเรื่องนี้  ท่านได้อธิบายอย่างแจ่มแจ้งว่า  พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์  ให้เป็นองค์พระผู้นำและองค์พระผู้ช่วยให้รอด  เพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่แล้วจะทรงโปรดยกความบาปผิดของเขา  (กิจการของอัครทูต 5:31)  เรากลับใจไม่ได้เมื่อปราศจากพระวิญญาณของพระคริสต์ที่จะปลุกจิตสำนึกของเราให้ตื่นขึ้นฉันใด  เราก็จะรับการอภัยบาปไม่ได้เมื่อปราศจากพระคริสต์ฉันนั้น  {SC 26.2}
                พระคริสต์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของแรงบันดาลใจที่ดีทั้งปวง  พระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะทรงปลูกฝังความเป็นคู่อริต่อความบาปเข้าไปในจิตใจได้  ในทุกความปรารถนาที่อยากได้ความจริงและความบริสุทธิ์  ในทุกความสำนึกที่มีต่อบาปหนาของเรา  ล้วนเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณของพระองค์กำลังขับเคลื่อนอยู่ในหัวใจของเรา  {SC 26.3}
                พระเยซูตรัสไว้ว่า  เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว  เราก็จะชักนำคนเป็นอันมากให้มาหาเรา  (ยอห์น 12:32)  เราจะต้องเปิดเผยให้คนบาปมองเห็นว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อความบาปของโลก  และเมื่อเรามองดูพระเมษโปดกของพระเจ้าบนกางเขนแห่งคาล์วารี  ความลึกลับของการไถ่บาปจะเริ่มปรากฏขึ้นในสมองของเราและพระคุณความดีของพระ เจ้าจะทรงนำเราให้กลับใจ  ในการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์เพื่อคนบาปนั้น  พระองค์ทรงสำแดงให้เห็นความรักที่เราไม่อาจจะเข้าใจได้  และเมื่อคนบาปมองดูความรักนี้ ความรักนี้จะทำให้จิตใจอ่อนลง  ประทับลงในความคิดและดลบันดาลให้จิตวิญญาณเกิดการสำนึกผิด  {SC 26.4}
                จริง อยู่  ในบางครั้งมนุษย์อาจจะรู้สึกอับอายต่อชีวิตบาปของเขาและละทิ้งนิสัยชั่วบาง ประการของเขาไป  ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวว่าเขากำลังถูกชักนำเข้าไปหาพระคริสต์  แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาพยายามปฏิรูปด้วยความตั้งใจจริงที่จะทำในสิ่งที่ถูก ต้องแล้ว  นั่นก็เป็นเพราะอำนาจของพระคริสต์กำลังชักนำเขาอยู่เป็นอิทธิพลที่ทำงานใน จิตวิญญาณของเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว  และปลุกจิตใต้สำนึกของเขาให้ตื่นขึ้น  และชีวิตภายนอกของเขาก็ได้รับการเปลี่ยนแปลง  และในขณะที่พระคริสต์ทรงชักนำให้เขาหันกลับไปมองกางเขนของพระองค์  มองดูความบาปของเขาที่ได้แทงพระองค์  พระบัญญัติของพระเจ้าจะกลับเข้ามายังสามัญสำนึกของเขา  ความบาปชั่วในชีวิตของเขาและที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณก็จะถูกเปิดเผยให้เขา มองเห็น  พวกเขาจะเริ่มเข้าใจเรื่องความชอบธรรมของพระคริสต์ได้บางส่วนและร้องออกมา ว่า  ความบาปคืออะไรหนอที่ทำให้ต้องมีการเสียสละ มากมายเช่นนี้เพื่อไถ่บาปของเหยื่อเหล่านั้น  จะต้องใช้ความรักทั้งหมดนี้  การทรมานทั้งหมดนี้  การขายหน้าทั้งหมดนี้เพื่อให้เราไม่ต้องพินาศและมีชีวิตนิรันดร์หรือ  {SC 27.1}
                คน บาปอาจต่อต้านความรักนี้  เขาอาจปฏิเสธไม่ยอมเข้ามาหาพระคริสต์  แต่หากเขาไม่ดื้อดึง  เขาก็จะถูกชักนำให้เข้ามายังพระเยซู  ความรู้เรื่องแผนการ  แห่งการไถ่ให้รอดจะนำเขาเข้าไปยังกางเขนด้วยการกลับใจจากบาปของเขา  ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้พระบุตรของพระเจ้าต้องได้รับความทุกข์ทรมาน  {SC 27.2}
                พระ ปัญญาเดียวกันกับที่กระทำการในธรรมชาติกำลังตรัสกับจิตใจของมนุษย์และก่อให้ เกิดความกระหายในสิ่งที่เขาไม่มี  สิ่งของในโลกสร้างความพึงพอใจให้แก่เขาไม่ได้  พระวิญญาณของพระเจ้ากำลังอ้อนวอนเขาให้ค้นหาสิ่งเดียวที่จะให้สันติสุขและ การพักผ่อนได้  สิ่งนั้นคือพระคุณของพระคริสต์ซึ่งเป็นความสุขที่บริสุทธิ์  พระผู้ช่วยให้รอดทรงกระทำการอยู่อย่างต่อเนื่องโดยผ่านทางอิทธิพลที่ตามอง เห็นและมองไม่เห็น  เพื่อดึงดูดความคิดของมนุษย์ให้ออกจากความสุขสำราญของความบาปที่ไม่รู้จัก อิ่มไปยังพระพรของพระเจ้าที่จะตกเป็นของเขาเมื่อเขาอยู่ในพระองค์  สำหรับจิตวิญญาณเหล่านี้ที่ยังค้นหาเพื่อที่จะดื่มน้ำจากถึงน้ำแตกของโลกแต่ ต้องพบกับความผิดหวังนั้น  ข่าวของพระเจ้าที่มายังเขาคือ  ให้ผู้ที่กระหายเข้ามา  ผู้ใดมีใจปรารถนาก็ให้ผู้นั้นมารับน้ำแห่งชีวิต  โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย  (วิวรณ์  22:17)  {SC 28.1}
                สำหรับ ท่านที่มีจิตใจปรารถนาที่จะได้บางสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่โลกนี้จะมอบให้ได้ นั้น  จะมองเห็นว่าความปรารถนานี้เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับวิญญาณจิต  จงทูลขอให้พระองค์ทรงประทานการกลับใจให้แก่ท่าน  ขอพระองค์ทรงเปิดเผยพระคริสต์ให้แก่ท่านด้วยความรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัด  ให้ท่านมีความบริสุทธิ์อันไพบูลย์ของพระองค์  ชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอดเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของหลักการแห่งพระ บัญญัติของพระเจ้า  หลักการนั้นคือรักพระเจ้าและรักมนุษย์  ความเมตตากรุณาและความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวเป็นชีวิตของวิญญาณของพระองค์  ในขณะที่เราเฝ้ามองพระองค์เมื่อแสงสว่างจากพระผู้ช่วยให้รอดส่องลงมายังเรา  เราก็จะมองเห็นจิตใจของเราเองที่เต็มไปด้วยความบาป  {SC 28.2}
                เราอาจมีลักษณะเหมือนนิโคเดมัสที่ยกยอตัวเราเองว่าชีวิตของเรานั้นซื่อตรง  อุปนิสัยทางฝ่ายศีลธรรมของเราถูกต้องและคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องถ่อมใจลงต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเหมือนเช่นคนบาปทั่วไป  แต่เมื่อแสงสว่างจากพระคริสต์ส่องลงมายังจิตวิญญาณของเราแล้ว  เราก็จะมองเห็นว่าเราเองนั้นเปรอะเปื้อนเพียงไร  เราจะมองเห็นความตั้งใจที่เห็นแก่ตัว  ความเป็นคู่อริกับพระเจ้าทำให้ทุกสิ่งที่เราทำลงไปนั้นเป็นมลทิน  แล้วเราจะได้รู้ว่าความชอบธรรมของเรานั้นแท้จริงแล้วเป็นแต่เพียงผ้าขี้ริ้ว  และมีเพียงพระโลหิตของพระคริสต์เท่านั้นที่จะชำระเราจากความสกปรกของบาปและเปลี่ยนจิตใจของเราใหม่ให้เหมือนของพระองค์ได้  {SC 28.3}
                แสง แห่งพระสิริของพระเจ้าเพียงลำแสงเดียว  ความบริสุทธิ์ของพระคริสต์เพียงแวบเดียวที่ส่องทะลุผ่านจิตวิญญาณจะทำให้มอง เห็นรอยเปื้อนของมลทินได้  มองเห็นทุกรอยได้อย่างเด่นชัดจนน่าเจ็บปวดและจะเปิดเผยความผิดปกติและจุด บกพร่องในอุปนิสัยของมนุษย์  ทำให้เขามองเห็นความปรารถนาที่ไม่ได้ผ่านการชำระ  หัวใจที่ไม่สัตย์ซื่อ  ริมฝีปากที่ไม่บริสุทธิ์  การกระทำที่ไม่จงรักภักดีของคนบาปในการลบล้างธรรมบัญญัติจะถูกเปิดออกให้เขา มองเห็น  และภายใต้อิทธิพลการตรวจสอบของพระวิญญาณของพระเจ้า  วิญญาณจิตของเขาจะได้รับผลกระทบและเกิดความปวดร้าว  เมื่อเขามองเห็นพระลักษณะที่บริสุทธิ์และไร้ตำหนิของพระเจ้าเขาจะรังเกียจตน เอง  {SC 29.1}
                เมื่อ ผู้เผยพระวจนะดาเนียลได้มองเห็นพระสิริที่ล้อมรอบผู้สื่อข่าวชาวสวรรค์ที่ ได้รับบัญชาให้มาหาท่านนั้นท่านรู้สึกว่าความอ่อนแอและความไม่บริบูรณ์ในตัว ได้ครอบงำตัวท่านเองไว้  ท่านได้บรรยายถึงผลลัพธ์จากเหตุการณ์อันอัศจรรย์ใจนี้ไว้ว่า  ข้าพเจ้าก็สิ้นเรี่ยวสิ้นแรง  หน้าตาสุกใสของข้าพเจ้าก็เปลี่ยนเป็นหน้าซีด  ข้าพเจ้าหมดแรง  (ดาเนียล 10:8)  จิตวิญญาณที่ได้รับการสัมผัสเช่นนี้จะเกลียดชังความเห็นแก่ตัวในตัวของเขา เอง  รังเกียจการรักตนเอง  และเขาจะแสวงหาความบริสุทธิ์ของจิตใจผ่านความชอบธรรมของพระคริสต์  เพื่อจะผสานเป็นหนึ่งกับพระบัญญัติของพระเจ้าและพระลักษณะของพระคริสต์  {SC 29.2}
                เปาโลพูดถึงตัวเองโดยใช้  ความชอบธรรมซึ่งมีอยู่โดยธรรมบัญญัติ  มาตัดสินภาพลักษณ์ภายนอก  ซึ่ง  ไม่มีที่ติได้  (ฟีลิปปี 3:6)  แต่เมื่อท่านนำสภาพฝ่ายวิญญาณของธรรมบัญญัติมาพิจารณาแล้ว  ท่านมองเห็นว่าตัวเองเป็นคนบาป  เมื่อตัดสินตามตัวอักษรของธรรมบัญญัติดังที่มนุษย์นำมาใช้กับชีวิตภายนอก แล้ว  ท่านได้ละเว้นจากบาป  แต่เมื่อท่านมองเข้าไปถึงส่วนลึกของพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์และได้มองเห็นตน เองดังที่พระเจ้าทรงมองเห็นแล้ว  ท่านจึงได้กราบลงด้วยความถ่อมใจและสารภาพความผิด  ท่านกล่าวว่า  เมื่อก่อนข้าพเจ้าดำรงชีวิตอยู่นอกเหนือธรรมบัญญัติ  แต่เมื่อมีธรรมบัญญัติขึ้น  บาปก็เกิดขึ้นและข้าเจ้าก็ตาย  (โรม 7:9)  เมื่อท่านมองเห็นสภาพฝ่ายวิญญาณของธรรมบัญญัติ  ความบาปพร้อมกับความน่าเกลียดที่แท้จริงก็ปรากฏขึ้น  และความหยิ่งผยองของท่านก็หายไป  {SC 29.3}
                พระ เจ้าไม่ได้ทรงถือว่าความบาปทั้งหมดมีความรุนแรงเท่ากัน  พระองค์ทรงประเมินความผิดไว้หลายระดับ  เช่นเดียวกับการประเมินของมนุษย์  แต่ไม่ว่าสายตาของมนุษย์จะเห็นว่าการกระทำผิดนี้หรือการกระทำผิดโน้นจะเล็ก น้อยเพียงไรก็ตาม  ไม่มีบาปใดจะเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระเจ้า  การตัดสินของมนุษย์นั้นลำเอียง  ไม่สมบูรณ์  แต่พระเจ้าประเมินทุกสิ่งตามความเป็นจริง  คนขี้เมาจะถูกดูหมิ่นและถูกตราว่าความบาปของเขาจะทำให้เขาไม่มีส่วนในแผ่น ดินสวรรค์  ในขณะที่ความหยิ่งยโส  ความเห็นแก่ตัวและความโลภมักจะไม่ถูกตำหนิ  แต่พระเจ้าทรงรังเกียจความบาปเหล่านี้มาก  เพราะความบาปเหล่านี้มีลักษณะตรงข้ามกับพระลักษณะนิสัยของพระองค์  ที่มีแต่ความกรุณา  เป็นความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว  ซึ่งบรรยากาศที่แท้จริงของจักรวาลที่ไม่ล้มลงในความบาปจะเป็นเช่นนี้  ผู้ที่ได้ทำบาปที่ยิ่งใหญ่กว่าอาจจะรู้สึกอับอายและขัดสน  และเขาต้องการพระคุณของพระคริสต์  แต่ความทะนงทำให้เขาไม่รู้สึกถึงความต้องการของตนเอง  เขาจึงปิดประตูหัวใจให้กับพระคริสต์และปฏิเสธพระพรมากมายที่พระองค์เสด็จมา เพื่อประทานให้แก่เขา  {SC 30.1}
                คนเก็บภาษีผู้น่าสงสารได้อธิษฐานว่า  ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงโปรดเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด  (ลูกา 18:13)  เขาคิดว่าตนเองเป็นคนชั่วมากและคนอื่นๆ ก็มองดูเขาด้วยแนวคิดเดียวกัน  แต่เขารู้สึกถึงความต้องการของเขาและเขาได้เข้ามาเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์ พระเจ้าพร้อมกับภาระความผิดและความอับอาย  เขาได้ทูลขอพระเมตตาของพระองค์  จิตใจของเขาเปิดออกให้กับพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อให้พระองค์ได้กระทำการ แห่งความเมตตาและปลดปล่อยเขาให้หลุดพ้นจากอำนาจของความบาป  ส่วนคำอธิษฐานของพวกฟาริสีที่โอ้อวดและคิดว่าตนเองชอบธรรม  เมื่อเทียบกับความสมบูรณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า  เขารู้สึกว่าเขาไม่ขาดสิ่งใดและเขาจึงไม่ได้รับอะไรเลย  {SC 30.2}
                หากท่านมองเห็นความบาปในตัวท่าน  อย่ารีรอที่จะทำตัวเองให้ดีก่อน  มีสักกี่คนที่คิดว่าตนเองยังดีไม่พอที่จะมาหาพระคริสต์  ท่านหวังที่จะเป็นคนดีขึ้นด้วยความพยายามของตัวท่านเองหรือ  คนเอธิโอเปียเปลี่ยนวรรณของตนเองได้หรือ  หรือเสือดาวเปลี่ยนลายของมัน  ถ้าได้แล้วเจ้าทั้งหลายผู้ที่เคยต่อการกระทำความชั่วจะมากระทำความดีก็ได้  (เยเรมีย์ 13:23)  การช่วยเหลือมีไว้ให้แก่เรา  เป็นการช่วยเหลือซึ่งจะพบได้ในพระเจ้าเท่านั้น  เราจะต้องไม่คอยให้มีการเรียกร้องมากกว่านี้  คอยโอกาสที่ดีกว่านี้  หรือคอยให้มีอารมณ์ที่บริสุทธิ์กว่านี้  โดยลำพังตัวเราเองแล้ว  เราจะทำอะไรไม่ได้เลย  เราจะต้องเข้ามาหาพระคริสต์ในสภาพที่เป็นอยู่  {SC 31.1}
                แต่ อย่าให้ผู้ใดหลอกลวงตนเองด้วยความคิดว่า  พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักและพระเมตตาคุณอันยิ่งใหญ่  พระองค์จะประทานความรอดให้แม้กับคนที่ปฏิเสธพระคุณของพระองค์ด้วย  มีเพียงแสงสว่างจากกางเขนเท่านั้นที่จะประเมินความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่ของ ความบาปได้  เมื่อมนุษย์เร้าให้เชื่อว่าพระเมตตาคุณของพระเจ้าประเสริฐเกินที่จะทำลายคน บาป  ก็ขอให้มองไปยังกางเขนคาล์วารี  เป็นเพราะไม่มีหนทางอื่นแล้วที่มนุษย์จะรอดได้  เป็นเพราะว่าถ้าปราศจากการเสียสละเช่นนี้  เผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่มีทางหนีให้พ้นจากอำนาจชั่วร้ายของบาปและกลับไปสื่อ สัมพันธ์กับบรรดาชาวสวรรค์ที่บริสุทธิ์ได้  ไม่มีทางใดที่มนุษย์จะมีส่วนในชีวิตฝ่ายวิญญาณได้  ด้วยเหตุฉะนี้พระคริสต์จึงทรงต้องรับความผิดของการไม่เชื่อฟังและรับความ ทุกข์ของคนบาปมาไว้กับพระองค์เอง  ความรักและการทนทุกข์ทรมานและความมรณาของพระบุตรของพระเจ้าจึงเป็นพยานถึง ความน่ากลัวอย่างมหันต์ของบาปและประกาศว่าไม่มีทางที่จะหนีให้พ้นจากอำนาจ ของมันไม่มีความหวังที่จะได้ชีวิตที่สูงส่งกว่า  นอกจากด้วยการมอบถวายจิตวิญญาณแด่พระคริสต์  {SC 31.2}
                บางครั้ง  คนที่ไม่สำนึกผิดจะแก้ตัวด้วยการเปรียบเทียบกับคนที่อ้างตัวเป็นคริสเตียนว่า  ฉันก็เป็นคนดีพอๆกับพวกเขา  ฉันไม่เห็นว่าความประพฤติของพวกเขาในเรื่องการตามใจตนเอง  ความสุขุมหรือรอบคอบดีกว่าฉัน  พวกเขาชอบความสนุกสนานและปล่อยตัวตามใจตนเองพอๆกับฉัน  ด้วยการทำเช่นนี้  เขาเอาความผิดของผู้อื่นมาใช้แก้ตัวกับการละเลยหน้าที่ของเขาเอง  แต่ความบาปและความบกพร่องของผู้อื่นไม่อาจแก้ต่างให้กับผู้ใดได้  เพราะพระเจ้าไม่ได้ประทานมนุษย์ที่ทำผิดมาเป็นแบบอย่างของเรา  พระองค์ทรงประทานพระบุตรของพระองค์ผู้ทรงปราศจากด่างพร้อยเป็นแบบอย่างแก่เรา  และคนที่ตำหนิผู้ที่อ้างตนเป็นคริสเตียนว่าประพฤติผิด  เขาเองควรจะต้องแสดงให้เห็นชีวิตและแบบอย่างที่ประเสริฐกว่านี้  หากเขามีแนวคิดที่สูงส่งว่าคริสเตียนควรจะเป็นเช่นไรแล้ว  ความบาปของเขาเองจะไม่ยิ่งใหญ่กว่านี้หรือ  เพราะเขารู้ว่าอะไรถูกและยังปฏิเสธที่จะทำตาม  {SC 32.1}
                ขอ ให้ท่านระวังเรื่องของความผัดวันประกันพรุ่ง  อย่ารอช้าที่จะละทิ้งความบาปของท่านและแสวงหาความบริสุทธิ์ในจิตใจโดยผ่าน ทางพระเยซู  จุดนี้เองที่ทำให้คนนับพันต้องหลงหายไปชั่วนิรันดร์  ข้าพเจ้าจะไม่ขอกล่าวถึงเรื่องของชีวิตที่แสนสั้นและไม่แน่นอน  แต่จะกล่าวถึงเรื่องน่ากลัวที่เป็นภัยอันตราย  เป็นเรื่องที่เข้าใจกันยังไม่ดีพอ  นั่นคือการรีรอไม่ยอมฟังพระสุรเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่เชิญ ชวนอยู่  แต่เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในความบาป  เพราะการรีรอเช่นนี้คือบาป  การปล่อยตัวให้แก่บาป  ไม่ว่าความบาปนั้นจะดูเล็กน้อยเพียงไร  จะนำมาซึ่งความพินาศที่จะหลงหายไปตลอดกาล  สิ่งที่เราเอาชนะไม่ได้  สิ่งนั้นจะชนะเราและจะนำเราไปสู่ความพินาศ  {SC 32.2}
                อา ดัมและเอวาปลอบใจตัวเองให้เชื่อว่าเรื่องเล็กน้อยเช่นการรับประทานผลไม้ต้อง ห้ามไม่น่าส่งผลลัพธ์น่ากลัวตามที่พระเจ้าทรงประกาศไว้  แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เป็นการล่วงละเมิดพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของพระ เจ้าที่แปรเปลี่ยนไม่ได้  และแยกมนุษย์ออกไปจากพระเจ้าและเปิดประตูให้แก่ความตายและความหายนะเหลือคณา นับให้ไหลบ่าเข้ามาในโลกของเรา  ยุคแล้วยุคเล่าเสียงร้องโศกเศร้าดังมาจากโลกของเราอย่างต่อเนื่อง  และสภาพทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสร้างต่างร้องคร่ำครวญและผจญความทุกข์ยากด้วย กันอย่างเจ็บปวดจากผลของการไม่เชื่อฟังของมนุษย์  แม้สวรรค์เองก็ยังสัมผัสได้กับผลการกบฏของมนุษย์ที่มีต่อพระเจ้า  กางเขนคาล์วารีตั้งเด่นเป็นอนุสรณ์ของการเสียสละอันอัศจรรย์ที่กำหนดไว้ เพื่อไถ่บาปที่ได้ล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า  ให้เราอย่าถือว่าบาปเป็นเรื่องเล็ก  {SC 33.1}
                การ ล่วงละเมิดของแต่ละครั้ง  การละเลยหรือปฏิเสธพระคุณของพระคริสต์ในแต่ละคราวจะมีผลกระทบต่อตัวของท่าน เอง  ทำให้จิตใจแข็งกระด้างไป  การตัดสินใจถูกลิดรอน  ความเข้าใจเฉื่อยชาลง  และไม่เพียงแต่ทำให้การยอมมอบถวายของท่านลดลงเท่านั้น  แต่จะทำให้ความสามารถในการยอมจำนนต่อการทรงเรียกด้วยความอ่อนโยนของพระ วิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าลดลงไปด้วย  {SC 33.2}
                มี คนจำนวนมากทำให้ความว้าวุ่นของสามัญสำนึกสงบลงด้วยความคิดที่ว่าเขาเปลี่ยน วิถีทางแห่งความชั่วตามที่เขาต้องการได้  ฉะนั้น  เขาจึงล้อเล่นกับคำเชิญชวนแห่งพระเมตตาและคาดว่าจะยังคงได้รับคำเชื้อเชิญ นี้ต่อไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า  พวกเขาคิดว่าหลังจากที่เขาได้ทำสิ่งที่ดูแคลนพระวิญญาณแห่งพระคุณ  หลังจากที่เขาได้รับอิทธิพลอยู่ในฝ่ายของซาตาน  เขาจะยังคงสามารถเปลี่ยนวิถีทางของตนเองได้ภายในเสี้ยวเวลาอันสั้นเมื่อ วิกฤติร้ายแรงมาถึง  แต่การกระทำเช่นนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ ประสบการณ์และการศึกษาที่มีมาตลอดทั้งชีวิตได้หล่อหลอมอุปนิสัยของพวกเขา อย่างเต็มที่  จนมีคนจำนวนน้อยที่จะอยากรับพระฉายาของพระเยซู  {SC 33.3}
                หาก เราจะทะนุถนอมลักษณะอุปนิสัยที่ผิดไว้แม้เพียงประการเดียว  ความปรารถนาชั่วเพียงอันเดียว  ในที่สุดสิ่งเหล่านี้จะลบล้างอำนาจของพระกิตติคุณไป  การปล่อยตัวให้กับความบาปทุกครั้งจะทำให้จิตวิญญาณเกลียดชังพระเจ้าเพิ่มมาก ขึ้น  ผู้ทนต่อการนอกรีดหรือดื้อดึงไม่ใส่ใจต่อความจริงของพระเจ้ากำลังเก็บเกี่ยว สิ่งที่เขาเองเป็นผู้หว่าน  ไม่มีคำเตือนใดในพระคัมภีร์ทั้งเล่มที่น่ากลัวไปกว่าคำเตือนของนักปราชญ์ต่อ การเล่นกับความชั่วซึ่งกล่าวไว้ว่าคนบาปจะ  ติดอยู่กับตาข่ายบาปของเขา  (สุภาษิต 5:22)  {SC 34.1}
                พระ คริสต์ทรงพร้อมที่จะปลดปล่อยเราให้หลุดพ้นจากความบาป  แต่พระองค์ไม่ทรงบังคับความตั้งใจของเราและถ้าหากเรายังยืนกรานที่จะล่วง ละเมิด  ความตั้งใจของเราจะโอนเอียงให้กับความชั่วต่อไปและเราก็ไม่ต้องการรับการปลด ปล่อย  หากเราไม่ยอมรับพระคุณของพระองค์  พระองค์จะทรงทำอะไรให้เราได้อีก  เราทำลายตัวเราเองด้วยการมุ่งมั่นปฏิเสธความรักของพระองค์   นี่แน่ะ บัดนี้เป็นเวลาอันชอบ  นี่แน่ะ  บัดนี้เป็นวันแห่งความรอด  วันนี้ถ้าท่านทั้งหลายฟังพระสุรเสียงของพระองค์  อย่าให้จิตใจของท่านดื้อรั้น  (2 โครินธ์ 6:2; ฮีบรู 3:7, 8)  {SC 34.2}
                “มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก  แต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ  จิตใจมนุษย์ที่มีอารมณ์ความสุขและความเศร้าใจขัดแย้งกันอยู่  จิตใจที่คอยตีตัวออกห่าง  เต็มไปด้วยความไม่สะอาดและความหลอกลวง (1 ซามูเอล 16:7)  พระองค์ทรงทราบเจตนา  ความตั้งใจและเป้าหมายของเขา  จงไปหาพระองค์ด้วยสภาพวิญญาณจิตที่เปรอะเปื้อนอยู่  จงทำอย่างผู้พระพันธ์สดุดีที่ได้เปิดจิตใจทุกห้องออกให้ตรวจสอบและร้องทูลขอว่า  ข้า แต่พระเจ้า  ขอทรงค้นดูข้าพระองค์และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์  ขอทรงลองข้าพระองค์และทรงทราบความคิดของข้าพระองค์  และทอดพระเนตรว่ามีทางชั่วใดๆ ในข้าพระองค์หรือไม่  และขอทรงนำข้าพระองค์ไปในมรรคานิรันดร์  (สดุดี 139:23, 24)  {SC 34.3}
                คนมากมายยอมรับศาสนาที่ใช้ปัญญา  นี่เป็นการถือศาสนาแต่เปลือกนอกแบบหนึ่งเมื่อจิตใจไม่ได้ผ่านการชำระ  ขอให้คำอธิษฐานนี้เป็นของท่าน  ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์และฟื้นน้ำใจที่หนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์  (สดุดี 51:10)  ขอให้ท่านจัดการกับจิตวิญญาณของท่านอย่างจริงจัง  ให้ทำกันอย่างจริงใจ  แน่วแน่  เสมือนหนึ่งว่าชีวิตของท่านตกอยู่อันตราย  นี่เป็นเรื่องที่ท่านต้องจัดการระหว่างพระเจ้ากับจิตวิญญาณของท่านเอง  เป็นการจัดการเพื่อชีวิตนิรันดร์  ซึ่งเป็นความหวังและไม่มีสิ่งอื่นใดจะนำความหายนะมาให้แก่ท่านได้  {SC 35.1}
                จงศึกษาพระคำของพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน  พระคำซึ่งอยู่เบื้องหน้าท่าน  ทั้งในพระบัญญัติของพระเจ้าและในชีวิตของพระคริสต์  ซึ่งเป็นหลักการยิ่งใหญ่ของความบริสุทธิ์  หากปราศจากหลักการนี้แล้ว  จะไม่มีผู้ใดเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย  (ฮีบรู 12:14)  หลักการนี้ทำให้รู้สึกสำนึกในการบาป  และเปิดเผยให้เห็นถึงทางที่จะนำไปสู่ความรอดได้อย่างชัดเจนในขณะที่พระ สุรเสียงของพระเจ้าตรัสกับจิตวิญญาณของท่านอยู่นั้น  ขอให้ท่านใส่ใจในเรื่องนี้  {SC 35.2}
                ขณะ ที่ท่านมองเห็นความร้ายกาจของความบาป  ขณะที่ท่านมองเห็นสภาพที่แท้จริงของตัวท่านเองว่าเป็นเช่นไร  จงอย่าปล่อยตัวไปกับความสิ้นหวัง  พระคริสต์เสด็จลงมาช่วยคนบาป  เราไม่จำเป็นต้องหาทางคืนดีกับพระเจ้า  แต่ด้วยความรักอัศจรรย์อันประเสริฐ  พระเจ้า  ทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์  (2 โครินธ์ 5:19)  พระองค์ทรงตามหาลูกๆ ที่ทำผิดของพระองค์ด้วยความรักอ่อนโยน  ไม่มีพ่อแม่คนใดในโลกที่จะอดทนต่อความบกพร่องและความผิดของลูกๆ ได้มากไปกว่าความอดทนนานของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้ที่พระองค์ทรงแสวงหาเพื่อ จะทรงช่วยให้รอด  ไม่มีผู้ใดจะอ้อนวอนต่อผู้ล่วงละเมิดได้อย่างอ่อนโยนมากเท่านี้  ไม่มีริมฝีปากมนุษย์คนใดที่จะอ้อนวอนอย่างอ่อนโยนต่อผู้ที่หลงไปได้เท่ากับ พระองค์  พระสัญญาทั้งหมดของพระองค์  คำตักเตือนของพระองค์  เป็นแต่เพียงลมหายใจของความรักที่ไม่อาจพรรณนาได้  {SC 35.3}
                เมื่อซาตานมาบอกกับท่านว่า  ท่านเป็นคนบาปหนา  จงหันไปหาพระผู้ไถ่ของท่านและพูดถึงพระคุณความดีของพระองค์  สิ่งที่จะช่วยท่านได้คือให้ท่านมองไปยังแสงสว่างของพระองค์  ให้ท่านยอมรับบาปของท่านและบอกศัตรูของท่านว่า  พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลกเพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด  และความรักของพระองค์ที่ไม่มีรักใดเปรียบได้จะช่วยท่านให้รอดได้  (1 ทิโมธี 1:15)  พระเยซูตรัสถามซีโมนในเรื่องลูกหนี้สองคน  คนหนึ่งเป็นหนี้นายของเขาเพียงเล็กน้อยและอีกคนเป็นหนี้ก้อนใหญ่  แต่นายได้ยกหนี้ให้ทั้งสองคนและพระคริสต์ตรัสถามซีโมนว่าลูกหนี้คนไหนจะรัก นายของเขามากที่สุด  ซีโมนตอบว่า  คนที่นายได้โปรดยกหนี้ให้มากก็เป็นคนที่รักนายมาก  (ลูกา 7:43)  เราเป็นคนบาปหนา  แต่พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราจะได้รับการอภัย  พระคุณความดีของการเสียสละของพระองค์นั้นพอเพียงที่จะนำเสนอพระบิดาเพื่อ เรา  ผู้ที่ได้รับการอภัยจากพระองค์มากจะรักพระองค์มากและจะยืนอยู่ใกล้ชิดพระ บัลลังก์ของพระองค์มากที่สุดเพื่อสรรเสริญพระองค์สำหรับความรักและการเสีย สละอันยิ่งใหญ่  เราจะตระหนักถึงความร้ายกาจของบาปได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจความรักของพระเจ้า อย่างเต็มที่เท่านั้น  เมื่อเรามองเห็นความยาวของโซ่ที่หย่อนลงมาให้เรา  เมื่อเราเข้าใจเรื่องการเสียสละอันยิ่งใหญ่  ซึ่งพระคริสต์ทรงกระทำเพื่อเราแล้ว  จิตใจของเราก็จะหลอดละลายลงด้วยความอ่อนโยนและสำนึกผิด  {SC 35.4}


Visit us for more information http://www.greatesthope.com

For more information, please contact 
Alejandro at mienfield@yahoo.com
or contact
Thailand Adventist Mission 
12 Soi Pridi Banomyong 37, Sukhumvit 71
Klongtan Nua, Wattana, Bangkok 10110
 
Telephone: 02-391-3595, 02-391-0525
Fax: 02-381-1928
 
Information:  
P.O. Box 234 Prakanong Bangkok 10110 Thailand
 

VISIT ALSO


http://www.adventist.or.th/

http://thaivop.com/

No comments: