เคล็ดลับที่ 3
การกลับใจ
มนุษย์จะทำตัวให้เป็นคนเที่ยงธรรมจำเพาะพระเจ้าได้อย่างไร
คนบาปจะทำตัวให้เป็นคนชอบธรรมได้อย่างไร
โดยทางพระคริสต์เท่านั้นที่เราจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระเจ้าและร่วมในความ
บริสุทธิ์ของพระองค์ได้ แต่เราจะเข้ามาหาพระคริสต์ได้อย่างไร
มีคนมากมายได้ถามคำถามเดียวกันกับฝูงชนที่สำนึกในบาปถามกันในวันเพ็นเทคศเต
ว่า “เราจะทำอย่างไรดี” ประโยคแรกที่เปโตรตอบคือ “จงกลับใจใหม่” (กิจการของอัครทูต 2:37, 38) หลังจากนั้นไม่นาน ท่านได้พูดอีกว่า “จงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย” (กิจการของอัครทูต 3:19) {SC 23.1}
การกลับใจจะต้องมีการเสียใจในความบาปที่ได้ทำลงไปและหันหลังให้กับบาปนั้น
เราจะไม่ละทิ้งความบาปนอกเสียจากว่าเราจะมองเห็นความชั่วร้ายของมัน
ชีวิตของเราจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงจนกว่าเราจะหันหลังให้กับความบาปด้วยความเต็มใจ {SC 23.2}
มี
คนมากมายที่ไม่เข้าใจธาตุแท้ของการกลับใจ
คนมากมายเสียใจกับความบาปที่ได้ทำลงไปและยังแสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงภายนอก
เพราะกลัวว่าความผิดของเขาจะนำความทุกข์ยากมายังตัวเขาเอง
แต่นี่ไม่ใช้การกลับใจที่พระคัมภีร์ได้สอนไว้
พวกเขาโศกเศร้าให้กับความทุกข์ยากแทนที่จะโศกเศร้าให้กับการบาป
เอซาวตกลงสู่ความโศกเศร้าทุกข์ใจเช่นนี้เมื่อเขารู้สึกตัวว่าได้สูญเสีย
สิทธิบุตรหัวปีไปตลอดกาล
บาลาอัมตกใจกลัวเมื่อเห็นทูตสวรรค์ยืนถือดาบขวางอยู่กลางทาง
เขายอมรับผิดเพราะกลัวตาย แต่ไม่ได้กลับใจจากความบาปอย่างจริงใจ
เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงความตั้งใจและไม่ได้รังเกียจความชั่วของเขา
เมื่อยูดาส
อิสคาริโอทได้ทรยศพระอาจารย์ของเขาแล้วเขาได้ร้องอุทานขึ้นมาว่า “ข้าพเจ้าทำบาปที่ได้อายัดคนบริสุทธิ์มาให้ถึงความตาย” (มัทธิว 27:4)
{SC 23.3}
คำ
สารภาพเช่นนี้ถูกบีบคั้นออกมาจากจิตใจที่รู้สึกผิด
โดยกลัวว่าจะถูกกำหนดโทษและกลัวการพิพากษาที่เขาจะต้องเผชิญ
ตัวเขาเต็มล้นไปด้วยความหวาดผวาต่อผลที่เขาจะได้รับ
แต่ภายในจิตวิญญาณของเขา
เขาไม่ได้เสียใจอย่างลึกซึ้งและไม่มีความปวดร้าวอยู่ภายในใจของเขา
เขาได้ทรยศพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงปราศจากความผิดและปฏิเสธองค์ผู้บริสุทธิ์
ของชนชาติอิสราเอล
เมื่อฟาโรห์ต้องตกลงสู่ความทุกข์ในการพิพากษาของพระเจ้า
เขายอมรับบาปของเขาเพียงเพื่อให้หลุดพ้นจากการต้องรับโทษเพิ่มเติม
แต่เขาหวนกลับเยาะเย้ยพระเจ้าแห่งสวรรค์อีกในทันทีที่ภัยพิบัติสงบลง
คนเหล่านี้โศกเศร้ากับผลของความบาป แต่ไม่ได้เสียใจให้กับบาปที่ได้ทำไป {SC 24.1}
แต่เมื่อหัวใจยอมอยู่ภายใต้อิทธิพลพระวิญญาณของพระเจ้า ความสำนึกของเขาก็จะตื่นขึ้น
และคนบาปก็จะเข้าใจสิ่งที่ล้ำลึกและศักดิ์สิทธิ์บางประการที่มีอยู่ในพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า
ซึ่งเป็นพื้นฐานการปกครองของทั้งในสวรรค์และในโลก “แสงสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงนั้นได้แม้ขณะนั้นกำลังเข้ามาในโลก”
ได้ส่องเข้าไปในห้องชั้นในของวิญญาณและทำให้มองเห็นสิ่งของที่ซ่อนอยู่ในความมืด
(ยอห์น 1:9)
ความรู้สึกสำนึกจะเกิดขึ้นภายในความนึกคิดและในจิตใจ
คนบาปจะรู้สึกถึงความชอบธรรมของพระเยโฮวาห์และรู้สึกกลัวที่จะต้องไปปรากฏ
อยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงตรวจสอบจิตใจพร้อมกับสภาพที่ผิดและไม่
สะอาดตาของเขา เขามองเห็นความรักของพระเจ้า ความบริสุทธิ์ที่งดงามยิ่ง
ความบริสุทธิ์ที่น่าชื่นชม
เขาหวังที่จะได้รับการชำระและนำกลับคืนไปสู่การสื่อสัมพันธ์กับสวรรค์ {SC 24.2}
คำ
อธิษฐานของดาวิดหลังจากที่ท่านล้มลงในความบาปเป็นแบบอย่างที่แสดงให้เห็นถึง
สภาพของความเสียใจต่อความบาปอย่างแท้จริง
การกลับใจของท่านนั้นจริงใจและลึกซึ้ง
คำอธิษฐานของท่านไม่ได้เกิดจากความพยายามที่จะลดโทษความผิดของท่านลงไป
หรือต้องการหลีกเลี่ยงการพิพากษาที่ท่านจะต้องเผชิญ
ดาวิดมองเห็นถึงความเลวร้ายของการล่วงละเมิดของตนเอง
ท่านมองเห็นความสกปรกในจิตวิญญาณของท่าน ท่านรังเกียจบาปของท่าน
ท่านอธิษฐานไม่ใช่เพียงเพื่อขอการอภัยเท่านั้น
แต่ได้ทูลขอจิตใจที่บริสุทธิ์ด้วย
ท่านปรารถนาที่จะได้รับความบริสุทธิ์ที่ก่อให้เกิดความสุข
เพื่อจะได้กลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและเข้าสัมพันธ์กับพระเจ้า
คำพูดที่ออกมาจากจิตวิญญาณของท่านมีอยู่ว่า
“บุคคลผู้ซึ่งได้รับอภัยการละเมิดแล้วก็เป็นสุข
คือผู้ทรงกลบเกลื่อนบาปให้นั้น
บุคคลซึ่งพระเจ้ามิได้ทรงถือโทษก็เป็นสุข
คือผู้ที่ไม่มีการหลอกลวงในใจของเขา”
(สดุดี 32:1, 2)
“ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงแสดงพระกรุณาต่อข้าพระองค์
ตามความรักมั่นคงของพระองค์
ขอทรงลบการทรยศของข้าพระองค์ออกไป
ตามแต่พระกรุณาอันอุดมของพระองค์.....
เพราะข้าพระองค์ทราบถึงการละเมิดของข้าพระองค์แล้ว
และบาปของข้าพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพระองค์เสมอ.....
ขอทรงชำระข้าพระองค์ด้วยต้นหุสบ ข้าพระองค์จึงจะสะอาด
ขอทรงล้างข้าพระองค์ และข้าพระองค์จะขาวกว่าหิมะ.....
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์
และฟื้นน้ำใจที่หนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์
ขออย่าทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ไปเสียจากเบื้องพระพักตร์พระองค์
และขออย่าทรงนำวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ไปจากข้าพระองค์
ขอทรงคืนความชื่นบานในความรอดแก่ข้าพระองค์
และชูข้าพระองค์ไว้ด้วยเต็มพระทัย.....
ข้าแต่พระเจ้า คือพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์
ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากกรรมชั่วเพราะทำโลหิตเขาตก
และลิ้นของข้าพระองค์จะร้องเพลงเรื่อง การช่วยกู้ของพระองค์”
(สดุดี 51:1-14) {SC 24.3}
การ
กลับใจเช่นนี้อยู่ไกลเกินกว่าอำนาจของเราเองที่จะกระทำให้สำเร็จได้
การกลับใจเช่นนี้จะได้มาโดยทางพระคริสต์เท่านั้น
พระองค์เสด็จขึ้นไปยังที่สูงแล้วและทรงประทานของขวัญให้แก่บรรดามนุษย์ {SC 25.1}
มี
คนมากมายเข้าใจเรื่องนี้ผิดไปและจึงไม่ได้รับการทรงช่วยที่พระคริสต์
ทรงปรารถนาจะประทานให้แก่พวกเขา
พวกเขาคิดว่าจะเข้ามาหาพระคริสต์ไม่ได้นอกเสียจากได้กลับใจแล้วและการกลับใจ
นี้จะเตรียมเขาให้พร้อมเพื่อรับการอภัยจากบาป
จริงอยู่การกลับใจจะต้องเกิดขึ้นก่อนการอภัยบาป
มีเพียงจิตใจที่สำนึกผิดและชอกช้ำที่จะรู้สึกว่าเขาต้องการพระผู้ช่วยให้
รอด
แต่คนบาปจะต้องรอจนกว่าเขากลับใจเรียบร้อยแล้วจึงเข้ามาหาพระเยซูหรือ
จะต้องปล่อยให้การกลับใจเป็นอุปสรรค์ระหว่างคนบาปและพระผู้ช่วยให้รอดหรือ
{SC 26.1}
พระคัมภีร์ไม่ได้สอนว่าคนบาปจะต้องกลับใจก่อนแล้วจึงตอบสนองคำเชิญของพระคริสต์ได้ “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” (มันธิว 11:28) เป็นเพราะพระคุณความดีที่ออกมาจากพระคริสต์ต่างหากที่นำให้เกิดการกลับใจที่แท้จริง
เมื่อเปโตพูดกับชนชาติอิสราเอลถึงเรื่องนี้ ท่านได้อธิบายอย่างแจ่มแจ้งว่า “พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์
ให้เป็นองค์พระผู้นำและองค์พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่แล้วจะทรงโปรดยกความบาปผิดของเขา” (กิจการของอัครทูต 5:31)
เรากลับใจไม่ได้เมื่อปราศจากพระวิญญาณของพระคริสต์ที่จะปลุกจิตสำนึกของเราให้ตื่นขึ้นฉันใด
เราก็จะรับการอภัยบาปไม่ได้เมื่อปราศจากพระคริสต์ฉันนั้น {SC 26.2}
พระคริสต์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของแรงบันดาลใจที่ดีทั้งปวง
พระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะทรงปลูกฝังความเป็นคู่อริต่อความบาปเข้าไปในจิตใจได้
ในทุกความปรารถนาที่อยากได้ความจริงและความบริสุทธิ์ ในทุกความสำนึกที่มีต่อบาปหนาของเรา
ล้วนเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณของพระองค์กำลังขับเคลื่อนอยู่ในหัวใจของเรา {SC 26.3}
พระเยซูตรัสไว้ว่า “เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราก็จะชักนำคนเป็นอันมากให้มาหาเรา” (ยอห์น 12:32)
เราจะต้องเปิดเผยให้คนบาปมองเห็นว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อความบาปของโลก
และเมื่อเรามองดูพระเมษโปดกของพระเจ้าบนกางเขนแห่งคาล์วารี
ความลึกลับของการไถ่บาปจะเริ่มปรากฏขึ้นในสมองของเราและพระคุณความดีของพระ
เจ้าจะทรงนำเราให้กลับใจ
ในการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์เพื่อคนบาปนั้น
พระองค์ทรงสำแดงให้เห็นความรักที่เราไม่อาจจะเข้าใจได้
และเมื่อคนบาปมองดูความรักนี้
ความรักนี้จะทำให้จิตใจอ่อนลง
ประทับลงในความคิดและดลบันดาลให้จิตวิญญาณเกิดการสำนึกผิด {SC 26.4}
จริง
อยู่
ในบางครั้งมนุษย์อาจจะรู้สึกอับอายต่อชีวิตบาปของเขาและละทิ้งนิสัยชั่วบาง
ประการของเขาไป
ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวว่าเขากำลังถูกชักนำเข้าไปหาพระคริสต์
แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาพยายามปฏิรูปด้วยความตั้งใจจริงที่จะทำในสิ่งที่ถูก
ต้องแล้ว
นั่นก็เป็นเพราะอำนาจของพระคริสต์กำลังชักนำเขาอยู่เป็นอิทธิพลที่ทำงานใน
จิตวิญญาณของเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว และปลุกจิตใต้สำนึกของเขาให้ตื่นขึ้น
และชีวิตภายนอกของเขาก็ได้รับการเปลี่ยนแปลง
และในขณะที่พระคริสต์ทรงชักนำให้เขาหันกลับไปมองกางเขนของพระองค์
มองดูความบาปของเขาที่ได้แทงพระองค์
พระบัญญัติของพระเจ้าจะกลับเข้ามายังสามัญสำนึกของเขา
ความบาปชั่วในชีวิตของเขาและที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณก็จะถูกเปิดเผยให้เขา
มองเห็น
พวกเขาจะเริ่มเข้าใจเรื่องความชอบธรรมของพระคริสต์ได้บางส่วนและร้องออกมา
ว่า “ความบาปคืออะไรหนอที่ทำให้ต้องมีการเสียสละ
มากมายเช่นนี้เพื่อไถ่บาปของเหยื่อเหล่านั้น จะต้องใช้ความรักทั้งหมดนี้
การทรมานทั้งหมดนี้
การขายหน้าทั้งหมดนี้เพื่อให้เราไม่ต้องพินาศและมีชีวิตนิรันดร์หรือ” {SC 27.1}
คน
บาปอาจต่อต้านความรักนี้ เขาอาจปฏิเสธไม่ยอมเข้ามาหาพระคริสต์
แต่หากเขาไม่ดื้อดึง เขาก็จะถูกชักนำให้เข้ามายังพระเยซู
ความรู้เรื่องแผนการ
แห่งการไถ่ให้รอดจะนำเขาเข้าไปยังกางเขนด้วยการกลับใจจากบาปของเขา
ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้พระบุตรของพระเจ้าต้องได้รับความทุกข์ทรมาน {SC 27.2}
พระ
ปัญญาเดียวกันกับที่กระทำการในธรรมชาติกำลังตรัสกับจิตใจของมนุษย์และก่อให้
เกิดความกระหายในสิ่งที่เขาไม่มี
สิ่งของในโลกสร้างความพึงพอใจให้แก่เขาไม่ได้
พระวิญญาณของพระเจ้ากำลังอ้อนวอนเขาให้ค้นหาสิ่งเดียวที่จะให้สันติสุขและ
การพักผ่อนได้
สิ่งนั้นคือพระคุณของพระคริสต์ซึ่งเป็นความสุขที่บริสุทธิ์
พระผู้ช่วยให้รอดทรงกระทำการอยู่อย่างต่อเนื่องโดยผ่านทางอิทธิพลที่ตามอง
เห็นและมองไม่เห็น
เพื่อดึงดูดความคิดของมนุษย์ให้ออกจากความสุขสำราญของความบาปที่ไม่รู้จัก
อิ่มไปยังพระพรของพระเจ้าที่จะตกเป็นของเขาเมื่อเขาอยู่ในพระองค์
สำหรับจิตวิญญาณเหล่านี้ที่ยังค้นหาเพื่อที่จะดื่มน้ำจากถึงน้ำแตกของโลกแต่
ต้องพบกับความผิดหวังนั้น ข่าวของพระเจ้าที่มายังเขาคือ “ให้ผู้ที่กระหายเข้ามา ผู้ใดมีใจปรารถนาก็ให้ผู้นั้นมารับน้ำแห่งชีวิต โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย” (วิวรณ์
22:17) {SC 28.1}
สำหรับ
ท่านที่มีจิตใจปรารถนาที่จะได้บางสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่โลกนี้จะมอบให้ได้
นั้น
จะมองเห็นว่าความปรารถนานี้เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับวิญญาณจิต
จงทูลขอให้พระองค์ทรงประทานการกลับใจให้แก่ท่าน
ขอพระองค์ทรงเปิดเผยพระคริสต์ให้แก่ท่านด้วยความรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัด
ให้ท่านมีความบริสุทธิ์อันไพบูลย์ของพระองค์
ชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอดเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของหลักการแห่งพระ
บัญญัติของพระเจ้า หลักการนั้นคือรักพระเจ้าและรักมนุษย์
ความเมตตากรุณาและความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวเป็นชีวิตของวิญญาณของพระองค์
ในขณะที่เราเฝ้ามองพระองค์เมื่อแสงสว่างจากพระผู้ช่วยให้รอดส่องลงมายังเรา
เราก็จะมองเห็นจิตใจของเราเองที่เต็มไปด้วยความบาป {SC 28.2}
เราอาจมีลักษณะเหมือนนิโคเดมัสที่ยกยอตัวเราเองว่าชีวิตของเรานั้นซื่อตรง
อุปนิสัยทางฝ่ายศีลธรรมของเราถูกต้องและคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องถ่อมใจลงต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเหมือนเช่นคนบาปทั่วไป
แต่เมื่อแสงสว่างจากพระคริสต์ส่องลงมายังจิตวิญญาณของเราแล้ว
เราก็จะมองเห็นว่าเราเองนั้นเปรอะเปื้อนเพียงไร เราจะมองเห็นความตั้งใจที่เห็นแก่ตัว
ความเป็นคู่อริกับพระเจ้าทำให้ทุกสิ่งที่เราทำลงไปนั้นเป็นมลทิน
แล้วเราจะได้รู้ว่าความชอบธรรมของเรานั้นแท้จริงแล้วเป็นแต่เพียงผ้าขี้ริ้ว
และมีเพียงพระโลหิตของพระคริสต์เท่านั้นที่จะชำระเราจากความสกปรกของบาปและเปลี่ยนจิตใจของเราใหม่ให้เหมือนของพระองค์ได้ {SC 28.3}
แสง
แห่งพระสิริของพระเจ้าเพียงลำแสงเดียว
ความบริสุทธิ์ของพระคริสต์เพียงแวบเดียวที่ส่องทะลุผ่านจิตวิญญาณจะทำให้มอง
เห็นรอยเปื้อนของมลทินได้
มองเห็นทุกรอยได้อย่างเด่นชัดจนน่าเจ็บปวดและจะเปิดเผยความผิดปกติและจุด
บกพร่องในอุปนิสัยของมนุษย์
ทำให้เขามองเห็นความปรารถนาที่ไม่ได้ผ่านการชำระ หัวใจที่ไม่สัตย์ซื่อ
ริมฝีปากที่ไม่บริสุทธิ์
การกระทำที่ไม่จงรักภักดีของคนบาปในการลบล้างธรรมบัญญัติจะถูกเปิดออกให้เขา
มองเห็น
และภายใต้อิทธิพลการตรวจสอบของพระวิญญาณของพระเจ้า
วิญญาณจิตของเขาจะได้รับผลกระทบและเกิดความปวดร้าว
เมื่อเขามองเห็นพระลักษณะที่บริสุทธิ์และไร้ตำหนิของพระเจ้าเขาจะรังเกียจตน
เอง {SC 29.1}
เมื่อ
ผู้เผยพระวจนะดาเนียลได้มองเห็นพระสิริที่ล้อมรอบผู้สื่อข่าวชาวสวรรค์ที่
ได้รับบัญชาให้มาหาท่านนั้นท่านรู้สึกว่าความอ่อนแอและความไม่บริบูรณ์ในตัว
ได้ครอบงำตัวท่านเองไว้
ท่านได้บรรยายถึงผลลัพธ์จากเหตุการณ์อันอัศจรรย์ใจนี้ไว้ว่า “ข้าพเจ้าก็สิ้นเรี่ยวสิ้นแรง
หน้าตาสุกใสของข้าพเจ้าก็เปลี่ยนเป็นหน้าซีด ข้าพเจ้าหมดแรง” (ดาเนียล 10:8)
จิตวิญญาณที่ได้รับการสัมผัสเช่นนี้จะเกลียดชังความเห็นแก่ตัวในตัวของเขา
เอง รังเกียจการรักตนเอง
และเขาจะแสวงหาความบริสุทธิ์ของจิตใจผ่านความชอบธรรมของพระคริสต์
เพื่อจะผสานเป็นหนึ่งกับพระบัญญัติของพระเจ้าและพระลักษณะของพระคริสต์
{SC 29.2}
เปาโลพูดถึงตัวเองโดยใช้ “ความชอบธรรมซึ่งมีอยู่โดยธรรมบัญญัติ” มาตัดสินภาพลักษณ์ภายนอก ซึ่ง “ไม่มีที่ติได้”
(ฟีลิปปี 3:6)
แต่เมื่อท่านนำสภาพฝ่ายวิญญาณของธรรมบัญญัติมาพิจารณาแล้ว
ท่านมองเห็นว่าตัวเองเป็นคนบาป
เมื่อตัดสินตามตัวอักษรของธรรมบัญญัติดังที่มนุษย์นำมาใช้กับชีวิตภายนอก
แล้ว ท่านได้ละเว้นจากบาป
แต่เมื่อท่านมองเข้าไปถึงส่วนลึกของพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์และได้มองเห็นตน
เองดังที่พระเจ้าทรงมองเห็นแล้ว
ท่านจึงได้กราบลงด้วยความถ่อมใจและสารภาพความผิด ท่านกล่าวว่า
“เมื่อก่อนข้าพเจ้าดำรงชีวิตอยู่นอกเหนือธรรมบัญญัติ แต่เมื่อมีธรรมบัญญัติขึ้น บาปก็เกิดขึ้นและข้าเจ้าก็ตาย” (โรม 7:9)
เมื่อท่านมองเห็นสภาพฝ่ายวิญญาณของธรรมบัญญัติ
ความบาปพร้อมกับความน่าเกลียดที่แท้จริงก็ปรากฏขึ้น และความหยิ่งผยองของท่านก็หายไป {SC 29.3}
พระ
เจ้าไม่ได้ทรงถือว่าความบาปทั้งหมดมีความรุนแรงเท่ากัน
พระองค์ทรงประเมินความผิดไว้หลายระดับ เช่นเดียวกับการประเมินของมนุษย์
แต่ไม่ว่าสายตาของมนุษย์จะเห็นว่าการกระทำผิดนี้หรือการกระทำผิดโน้นจะเล็ก
น้อยเพียงไรก็ตาม ไม่มีบาปใดจะเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระเจ้า
การตัดสินของมนุษย์นั้นลำเอียง ไม่สมบูรณ์
แต่พระเจ้าประเมินทุกสิ่งตามความเป็นจริง
คนขี้เมาจะถูกดูหมิ่นและถูกตราว่าความบาปของเขาจะทำให้เขาไม่มีส่วนในแผ่น
ดินสวรรค์ ในขณะที่ความหยิ่งยโส
ความเห็นแก่ตัวและความโลภมักจะไม่ถูกตำหนิ
แต่พระเจ้าทรงรังเกียจความบาปเหล่านี้มาก
เพราะความบาปเหล่านี้มีลักษณะตรงข้ามกับพระลักษณะนิสัยของพระองค์
ที่มีแต่ความกรุณา เป็นความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว
ซึ่งบรรยากาศที่แท้จริงของจักรวาลที่ไม่ล้มลงในความบาปจะเป็นเช่นนี้
ผู้ที่ได้ทำบาปที่ยิ่งใหญ่กว่าอาจจะรู้สึกอับอายและขัดสน
และเขาต้องการพระคุณของพระคริสต์
แต่ความทะนงทำให้เขาไม่รู้สึกถึงความต้องการของตนเอง
เขาจึงปิดประตูหัวใจให้กับพระคริสต์และปฏิเสธพระพรมากมายที่พระองค์เสด็จมา
เพื่อประทานให้แก่เขา {SC 30.1}
คนเก็บภาษีผู้น่าสงสารได้อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด” (ลูกา 18:13)
เขาคิดว่าตนเองเป็นคนชั่วมากและคนอื่นๆ
ก็มองดูเขาด้วยแนวคิดเดียวกัน
แต่เขารู้สึกถึงความต้องการของเขาและเขาได้เข้ามาเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์
พระเจ้าพร้อมกับภาระความผิดและความอับอาย เขาได้ทูลขอพระเมตตาของพระองค์
จิตใจของเขาเปิดออกให้กับพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อให้พระองค์ได้กระทำการ
แห่งความเมตตาและปลดปล่อยเขาให้หลุดพ้นจากอำนาจของความบาป
ส่วนคำอธิษฐานของพวกฟาริสีที่โอ้อวดและคิดว่าตนเองชอบธรรม
เมื่อเทียบกับความสมบูรณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า
เขารู้สึกว่าเขาไม่ขาดสิ่งใดและเขาจึงไม่ได้รับอะไรเลย {SC 30.2}
หากท่านมองเห็นความบาปในตัวท่าน อย่ารีรอที่จะทำตัวเองให้ดีก่อน มีสักกี่คนที่คิดว่าตนเองยังดีไม่พอที่จะมาหาพระคริสต์
ท่านหวังที่จะเป็นคนดีขึ้นด้วยความพยายามของตัวท่านเองหรือ “คนเอธิโอเปียเปลี่ยนวรรณของตนเองได้หรือ หรือเสือดาวเปลี่ยนลายของมัน
ถ้าได้แล้วเจ้าทั้งหลายผู้ที่เคยต่อการกระทำความชั่วจะมากระทำความดีก็ได้” (เยเรมีย์ 13:23)
การช่วยเหลือมีไว้ให้แก่เรา
เป็นการช่วยเหลือซึ่งจะพบได้ในพระเจ้าเท่านั้น
เราจะต้องไม่คอยให้มีการเรียกร้องมากกว่านี้ คอยโอกาสที่ดีกว่านี้
หรือคอยให้มีอารมณ์ที่บริสุทธิ์กว่านี้ โดยลำพังตัวเราเองแล้ว
เราจะทำอะไรไม่ได้เลย เราจะต้องเข้ามาหาพระคริสต์ในสภาพที่เป็นอยู่ {SC 31.1}
แต่
อย่าให้ผู้ใดหลอกลวงตนเองด้วยความคิดว่า
พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักและพระเมตตาคุณอันยิ่งใหญ่
พระองค์จะประทานความรอดให้แม้กับคนที่ปฏิเสธพระคุณของพระองค์ด้วย
มีเพียงแสงสว่างจากกางเขนเท่านั้นที่จะประเมินความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่ของ
ความบาปได้
เมื่อมนุษย์เร้าให้เชื่อว่าพระเมตตาคุณของพระเจ้าประเสริฐเกินที่จะทำลายคน
บาป ก็ขอให้มองไปยังกางเขนคาล์วารี
เป็นเพราะไม่มีหนทางอื่นแล้วที่มนุษย์จะรอดได้
เป็นเพราะว่าถ้าปราศจากการเสียสละเช่นนี้
เผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่มีทางหนีให้พ้นจากอำนาจชั่วร้ายของบาปและกลับไปสื่อ
สัมพันธ์กับบรรดาชาวสวรรค์ที่บริสุทธิ์ได้
ไม่มีทางใดที่มนุษย์จะมีส่วนในชีวิตฝ่ายวิญญาณได้
ด้วยเหตุฉะนี้พระคริสต์จึงทรงต้องรับความผิดของการไม่เชื่อฟังและรับความ
ทุกข์ของคนบาปมาไว้กับพระองค์เอง
ความรักและการทนทุกข์ทรมานและความมรณาของพระบุตรของพระเจ้าจึงเป็นพยานถึง
ความน่ากลัวอย่างมหันต์ของบาปและประกาศว่าไม่มีทางที่จะหนีให้พ้นจากอำนาจ
ของมันไม่มีความหวังที่จะได้ชีวิตที่สูงส่งกว่า
นอกจากด้วยการมอบถวายจิตวิญญาณแด่พระคริสต์ {SC 31.2}
บางครั้ง คนที่ไม่สำนึกผิดจะแก้ตัวด้วยการเปรียบเทียบกับคนที่อ้างตัวเป็นคริสเตียนว่า “ฉันก็เป็นคนดีพอๆกับพวกเขา ฉันไม่เห็นว่าความประพฤติของพวกเขาในเรื่องการตามใจตนเอง ความสุขุมหรือรอบคอบดีกว่าฉัน
พวกเขาชอบความสนุกสนานและปล่อยตัวตามใจตนเองพอๆกับฉัน” ด้วยการทำเช่นนี้ เขาเอาความผิดของผู้อื่นมาใช้แก้ตัวกับการละเลยหน้าที่ของเขาเอง
แต่ความบาปและความบกพร่องของผู้อื่นไม่อาจแก้ต่างให้กับผู้ใดได้
เพราะพระเจ้าไม่ได้ประทานมนุษย์ที่ทำผิดมาเป็นแบบอย่างของเรา
พระองค์ทรงประทานพระบุตรของพระองค์ผู้ทรงปราศจากด่างพร้อยเป็นแบบอย่างแก่เรา และคนที่ตำหนิผู้ที่อ้างตนเป็นคริสเตียนว่าประพฤติผิด
เขาเองควรจะต้องแสดงให้เห็นชีวิตและแบบอย่างที่ประเสริฐกว่านี้
หากเขามีแนวคิดที่สูงส่งว่าคริสเตียนควรจะเป็นเช่นไรแล้ว ความบาปของเขาเองจะไม่ยิ่งใหญ่กว่านี้หรือ
เพราะเขารู้ว่าอะไรถูกและยังปฏิเสธที่จะทำตาม {SC 32.1}
ขอ
ให้ท่านระวังเรื่องของความผัดวันประกันพรุ่ง
อย่ารอช้าที่จะละทิ้งความบาปของท่านและแสวงหาความบริสุทธิ์ในจิตใจโดยผ่าน
ทางพระเยซู
จุดนี้เองที่ทำให้คนนับพันต้องหลงหายไปชั่วนิรันดร์
ข้าพเจ้าจะไม่ขอกล่าวถึงเรื่องของชีวิตที่แสนสั้นและไม่แน่นอน
แต่จะกล่าวถึงเรื่องน่ากลัวที่เป็นภัยอันตราย
เป็นเรื่องที่เข้าใจกันยังไม่ดีพอ
นั่นคือการรีรอไม่ยอมฟังพระสุรเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่เชิญ
ชวนอยู่ แต่เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในความบาป เพราะการรีรอเช่นนี้คือบาป
การปล่อยตัวให้แก่บาป ไม่ว่าความบาปนั้นจะดูเล็กน้อยเพียงไร
จะนำมาซึ่งความพินาศที่จะหลงหายไปตลอดกาล สิ่งที่เราเอาชนะไม่ได้
สิ่งนั้นจะชนะเราและจะนำเราไปสู่ความพินาศ {SC 32.2}
อา
ดัมและเอวาปลอบใจตัวเองให้เชื่อว่าเรื่องเล็กน้อยเช่นการรับประทานผลไม้ต้อง
ห้ามไม่น่าส่งผลลัพธ์น่ากลัวตามที่พระเจ้าทรงประกาศไว้
แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เป็นการล่วงละเมิดพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของพระ
เจ้าที่แปรเปลี่ยนไม่ได้
และแยกมนุษย์ออกไปจากพระเจ้าและเปิดประตูให้แก่ความตายและความหายนะเหลือคณา
นับให้ไหลบ่าเข้ามาในโลกของเรา
ยุคแล้วยุคเล่าเสียงร้องโศกเศร้าดังมาจากโลกของเราอย่างต่อเนื่อง
และสภาพทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสร้างต่างร้องคร่ำครวญและผจญความทุกข์ยากด้วย
กันอย่างเจ็บปวดจากผลของการไม่เชื่อฟังของมนุษย์
แม้สวรรค์เองก็ยังสัมผัสได้กับผลการกบฏของมนุษย์ที่มีต่อพระเจ้า
กางเขนคาล์วารีตั้งเด่นเป็นอนุสรณ์ของการเสียสละอันอัศจรรย์ที่กำหนดไว้
เพื่อไถ่บาปที่ได้ล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า
ให้เราอย่าถือว่าบาปเป็นเรื่องเล็ก {SC 33.1}
การ
ล่วงละเมิดของแต่ละครั้ง
การละเลยหรือปฏิเสธพระคุณของพระคริสต์ในแต่ละคราวจะมีผลกระทบต่อตัวของท่าน
เอง ทำให้จิตใจแข็งกระด้างไป การตัดสินใจถูกลิดรอน
ความเข้าใจเฉื่อยชาลง
และไม่เพียงแต่ทำให้การยอมมอบถวายของท่านลดลงเท่านั้น
แต่จะทำให้ความสามารถในการยอมจำนนต่อการทรงเรียกด้วยความอ่อนโยนของพระ
วิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าลดลงไปด้วย {SC 33.2}
มี
คนจำนวนมากทำให้ความว้าวุ่นของสามัญสำนึกสงบลงด้วยความคิดที่ว่าเขาเปลี่ยน
วิถีทางแห่งความชั่วตามที่เขาต้องการได้ ฉะนั้น
เขาจึงล้อเล่นกับคำเชิญชวนแห่งพระเมตตาและคาดว่าจะยังคงได้รับคำเชื้อเชิญ
นี้ต่อไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พวกเขาคิดว่าหลังจากที่เขาได้ทำสิ่งที่ดูแคลนพระวิญญาณแห่งพระคุณ
หลังจากที่เขาได้รับอิทธิพลอยู่ในฝ่ายของซาตาน
เขาจะยังคงสามารถเปลี่ยนวิถีทางของตนเองได้ภายในเสี้ยวเวลาอันสั้นเมื่อ
วิกฤติร้ายแรงมาถึง
แต่การกระทำเช่นนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ
ประสบการณ์และการศึกษาที่มีมาตลอดทั้งชีวิตได้หล่อหลอมอุปนิสัยของพวกเขา
อย่างเต็มที่
จนมีคนจำนวนน้อยที่จะอยากรับพระฉายาของพระเยซู {SC 33.3}
หาก
เราจะทะนุถนอมลักษณะอุปนิสัยที่ผิดไว้แม้เพียงประการเดียว
ความปรารถนาชั่วเพียงอันเดียว
ในที่สุดสิ่งเหล่านี้จะลบล้างอำนาจของพระกิตติคุณไป
การปล่อยตัวให้กับความบาปทุกครั้งจะทำให้จิตวิญญาณเกลียดชังพระเจ้าเพิ่มมาก
ขึ้น
ผู้ทนต่อการนอกรีดหรือดื้อดึงไม่ใส่ใจต่อความจริงของพระเจ้ากำลังเก็บเกี่ยว
สิ่งที่เขาเองเป็นผู้หว่าน
ไม่มีคำเตือนใดในพระคัมภีร์ทั้งเล่มที่น่ากลัวไปกว่าคำเตือนของนักปราชญ์ต่อ
การเล่นกับความชั่วซึ่งกล่าวไว้ว่าคนบาปจะ “ติดอยู่กับตาข่ายบาปของเขา” (สุภาษิต 5:22) {SC 34.1}
พระ
คริสต์ทรงพร้อมที่จะปลดปล่อยเราให้หลุดพ้นจากความบาป
แต่พระองค์ไม่ทรงบังคับความตั้งใจของเราและถ้าหากเรายังยืนกรานที่จะล่วง
ละเมิด
ความตั้งใจของเราจะโอนเอียงให้กับความชั่วต่อไปและเราก็ไม่ต้องการรับการปลด
ปล่อย หากเราไม่ยอมรับพระคุณของพระองค์ พระองค์จะทรงทำอะไรให้เราได้อีก
เราทำลายตัวเราเองด้วยการมุ่งมั่นปฏิเสธความรักของพระองค์ “นี่แน่ะ บัดนี้เป็นเวลาอันชอบ
นี่แน่ะ บัดนี้เป็นวันแห่งความรอด” “วันนี้ถ้าท่านทั้งหลายฟังพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าให้จิตใจของท่านดื้อรั้น” (2 โครินธ์
6:2; ฮีบรู 3:7, 8)
{SC 34.2}
“มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ”
จิตใจมนุษย์ที่มีอารมณ์ความสุขและความเศร้าใจขัดแย้งกันอยู่ จิตใจที่คอยตีตัวออกห่าง เต็มไปด้วยความไม่สะอาดและความหลอกลวง (1 ซามูเอล 16:7)
พระองค์ทรงทราบเจตนา
ความตั้งใจและเป้าหมายของเขา
จงไปหาพระองค์ด้วยสภาพวิญญาณจิตที่เปรอะเปื้อนอยู่
จงทำอย่างผู้พระพันธ์สดุดีที่ได้เปิดจิตใจทุกห้องออกให้ตรวจสอบและร้องทูลขอว่า “ข้า
แต่พระเจ้า
ขอทรงค้นดูข้าพระองค์และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์
ขอทรงลองข้าพระองค์และทรงทราบความคิดของข้าพระองค์
และทอดพระเนตรว่ามีทางชั่วใดๆ ในข้าพระองค์หรือไม่
และขอทรงนำข้าพระองค์ไปในมรรคานิรันดร์” (สดุดี 139:23, 24) {SC 34.3}
คนมากมายยอมรับศาสนาที่ใช้ปัญญา
นี่เป็นการถือศาสนาแต่เปลือกนอกแบบหนึ่งเมื่อจิตใจไม่ได้ผ่านการชำระ ขอให้คำอธิษฐานนี้เป็นของท่าน “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์และฟื้นน้ำใจที่หนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์” (สดุดี 51:10)
ขอให้ท่านจัดการกับจิตวิญญาณของท่านอย่างจริงจัง ให้ทำกันอย่างจริงใจ แน่วแน่
เสมือนหนึ่งว่าชีวิตของท่านตกอยู่อันตราย
นี่เป็นเรื่องที่ท่านต้องจัดการระหว่างพระเจ้ากับจิตวิญญาณของท่านเอง เป็นการจัดการเพื่อชีวิตนิรันดร์
ซึ่งเป็นความหวังและไม่มีสิ่งอื่นใดจะนำความหายนะมาให้แก่ท่านได้ {SC 35.1}
จงศึกษาพระคำของพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน พระคำซึ่งอยู่เบื้องหน้าท่าน
ทั้งในพระบัญญัติของพระเจ้าและในชีวิตของพระคริสต์ ซึ่งเป็นหลักการยิ่งใหญ่ของความบริสุทธิ์ หากปราศจากหลักการนี้แล้ว “จะไม่มีผู้ใดเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย” (ฮีบรู 12:14)
หลักการนี้ทำให้รู้สึกสำนึกในการบาป
และเปิดเผยให้เห็นถึงทางที่จะนำไปสู่ความรอดได้อย่างชัดเจนในขณะที่พระ
สุรเสียงของพระเจ้าตรัสกับจิตวิญญาณของท่านอยู่นั้น
ขอให้ท่านใส่ใจในเรื่องนี้ {SC 35.2}
ขณะ
ที่ท่านมองเห็นความร้ายกาจของความบาป
ขณะที่ท่านมองเห็นสภาพที่แท้จริงของตัวท่านเองว่าเป็นเช่นไร
จงอย่าปล่อยตัวไปกับความสิ้นหวัง พระคริสต์เสด็จลงมาช่วยคนบาป
เราไม่จำเป็นต้องหาทางคืนดีกับพระเจ้า แต่ด้วยความรักอัศจรรย์อันประเสริฐ
พระเจ้า
“ทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์” (2 โครินธ์
5:19)
พระองค์ทรงตามหาลูกๆ ที่ทำผิดของพระองค์ด้วยความรักอ่อนโยน
ไม่มีพ่อแม่คนใดในโลกที่จะอดทนต่อความบกพร่องและความผิดของลูกๆ
ได้มากไปกว่าความอดทนนานของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้ที่พระองค์ทรงแสวงหาเพื่อ
จะทรงช่วยให้รอด
ไม่มีผู้ใดจะอ้อนวอนต่อผู้ล่วงละเมิดได้อย่างอ่อนโยนมากเท่านี้
ไม่มีริมฝีปากมนุษย์คนใดที่จะอ้อนวอนอย่างอ่อนโยนต่อผู้ที่หลงไปได้เท่ากับ
พระองค์ พระสัญญาทั้งหมดของพระองค์ คำตักเตือนของพระองค์
เป็นแต่เพียงลมหายใจของความรักที่ไม่อาจพรรณนาได้ {SC 35.3}
เมื่อซาตานมาบอกกับท่านว่า ท่านเป็นคนบาปหนา
จงหันไปหาพระผู้ไถ่ของท่านและพูดถึงพระคุณความดีของพระองค์ สิ่งที่จะช่วยท่านได้คือให้ท่านมองไปยังแสงสว่างของพระองค์
ให้ท่านยอมรับบาปของท่านและบอกศัตรูของท่านว่า “พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลกเพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด”
และความรักของพระองค์ที่ไม่มีรักใดเปรียบได้จะช่วยท่านให้รอดได้ (1 ทิโมธี 1:15)
พระเยซูตรัสถามซีโมนในเรื่องลูกหนี้สองคน
คนหนึ่งเป็นหนี้นายของเขาเพียงเล็กน้อยและอีกคนเป็นหนี้ก้อนใหญ่
แต่นายได้ยกหนี้ให้ทั้งสองคนและพระคริสต์ตรัสถามซีโมนว่าลูกหนี้คนไหนจะรัก
นายของเขามากที่สุด ซีโมนตอบว่า
“คนที่นายได้โปรดยกหนี้ให้มากก็เป็นคนที่รักนายมาก” (ลูกา 7:43)
เราเป็นคนบาปหนา
แต่พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราจะได้รับการอภัย
พระคุณความดีของการเสียสละของพระองค์นั้นพอเพียงที่จะนำเสนอพระบิดาเพื่อ
เรา
ผู้ที่ได้รับการอภัยจากพระองค์มากจะรักพระองค์มากและจะยืนอยู่ใกล้ชิดพระ
บัลลังก์ของพระองค์มากที่สุดเพื่อสรรเสริญพระองค์สำหรับความรักและการเสีย
สละอันยิ่งใหญ่
เราจะตระหนักถึงความร้ายกาจของบาปได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจความรักของพระเจ้า
อย่างเต็มที่เท่านั้น
เมื่อเรามองเห็นความยาวของโซ่ที่หย่อนลงมาให้เรา
เมื่อเราเข้าใจเรื่องการเสียสละอันยิ่งใหญ่
ซึ่งพระคริสต์ทรงกระทำเพื่อเราแล้ว
จิตใจของเราก็จะหลอดละลายลงด้วยความอ่อนโยนและสำนึกผิด {SC 35.4}
Visit us for more information http://www.greatesthope.com
http://www.adventist.or.th/
http://thaivop.com/
For more information, please contact
Alejandro at mienfield@yahoo.com
or contact
Thailand Adventist Mission
12 Soi Pridi Banomyong 37, Sukhumvit 71
Klongtan Nua, Wattana, Bangkok 10110
Telephone: 02-391-3595, 02-391-0525
Fax: 02-381-1928
Information:
P.O. Box 234 Prakanong Bangkok 10110 Thailand
E-mail: sdatam@adventist.or.th
VISIT ALSO
http://www.adventist.or.th/
http://thaivop.com/
No comments:
Post a Comment