Friday, May 18, 2012

การอุทิศถวายตน



เคล็ดลับที่ 5
การอุทิศถวายตน

                พระเจ้าทรงสัญญาไว้แล้วว่า  เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า  (เยเรมีย์ 29:13)  {SC 43.1}
                เรา ต้องมองถวายจิตใจทั้งหมดให้แก่พระเจ้า  มิฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงที่จะนำเรากลับคืนสู่พระฉายาของพระเจ้าจะเกิดขึ้นไม่ ได้  โดยธรรมชาติแล้ว  เราห่างเหินจากพระเจ้า  พระวิญญาณบริสุทธิ์บรรยายสภาพของเราไว้ดังนี้ว่า  ตายแล้วโดยการละเมิดและการบาป  ศีรษะก็เจ็บหมดจิตใจก็อ่อนเปลี้ยไปสิ้น  ไม่มีความปกติในนั้นเลย  เราถูกกับดักของซาตานผูกมัดไว้อย่างหนาแน่น  ดักจับเขาไว้ให้ทำตามความประสงค์ของมัน  (เอเฟซัส 2:1; อิสยาห์ 1:5, 6;2 ทิโมธี 2:26)  พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะรักษาเราให้หายเพื่อปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ  แต่จะทำเช่นนี้ได้นั้น  จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด  ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติทั้งหมดของเรา  เราจึงต้องยอมมอบถวายตัวของเราทั้งหมดให้พระองค์  {SC 43.2}
                สงครามยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการต่อสู้มาคือ  การต่อสู้กับตนเอง  การยอมถวายตน  มอบถวายทุกสิ่งให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้านั้นจำเป็นต้องมีการดิ้นรนต่อสู่  แต่เราจะต้องยอมมอบถวายจิตวิญญาณของเราให้พระเจ้าก่อน  แล้วความบริสุทธิ์ในจิตใจจึงจะถูกสร้างใหม่ได้  {SC 43.3}
                การ ปกครองของพระเจ้าไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักการของการเชื่อฟังอย่างไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งเป็นการควบคุมอย่างไม่มีเหตุผลตามที่ซาตานต้องการให้ทุกคนเชื่อ  ผู้ที่มีปัญญาและมีจิตสำนึกจะซาบซึ้งกับการปกครองของพระองค์คำเชิญชวนของพระ ผู้สร้างที่ทรงยื่นให้แก่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างมานั้นคือ  มาเถิด  ให้เราสู้ความกัน  (อิสยาห์ 1:18)  พระเจ้าไม่ได้บังคับความนึกคิดของผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง  พระองค์จะไม่ทรงยอมรับความจงรักภักดีที่ไม่ได้มอบถวายด้วยความเต็มใจและด้วย ความเข้าใจอย่างมีสติ  การบังคับให้เชื่อฟังจะกีดขวางการพัฒนาสติปัญญาและอุปนิสัยที่แท้จริงทั้ง หมด  และทำให้มนุษย์เป็นแต่เพียงเครื่องจักร  สภาพเช่นนี้ไม่ได้เป็นพระประสงค์ของพระผู้สร้าง  พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้มนุษย์ซึ่งเป็นจิตรกรรมล้ำเลิศที่สุดของ อำนาจการทรงสร้างของพระองค์ก้าวไปให้ถึงการพัฒนาสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้  พระองค์ทรงจัดวางพระพรอันประเสริฐที่สุดไว้อยู่ต่อหน้าเราเพื่อนำเราให้ไป ถึงพระคุณของพระองค์  พระองค์ทรงเชิญชวนให้เรามอบถวายตัวเราเองให้พระองค์  เพื่อพระองค์จะทรงกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ในตัวเราที่เหลือจะขึ้นกับเรา ว่าเราเลือกจะให้หลุดพ้นจากการจองจำของความบาป  เพื่อมีส่วนร่วมกับเสรีภาพที่ยิ่งใหญ่ของพระบุตรของพระเจ้าหรือไม่  {SC 43.4}
                เมื่อเรามอบถวายตัวเราเองให้พระเจ้าแล้วนั้นเราจำเป็นต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่จะแยกตัวเราออกไปจากพระองค์  ด้วยเหตุนี้  พระผู้ช่วยให้รอดตรัสไว้ว่า  ทุกคนในพวกท่านที่มิได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่จะเป็นสาวกของเราไม่ได้  (ลูกา 14:33)  เราต้องสละทุกสิ่งที่จะชักนำจิตใจให้เหินห่างออกจากพระเจ้า  ทรัพย์สมบัติเป็นรูปเคารพของคนมากมาย  การรักเงินทองความปรารถนาที่จะได้สมบัติเป็นโซ่ทองคำที่ผูกมัดเขาเหล่านั้น เข้ากับซาตาน  ชื่อเสียงและเกียรติยศทางฝ่ายโลกเป็นสิ่งที่คนอีกกลุ่มหนึ่งบูชา  ชีวิตที่สุขสบายอย่างเห็นแก่ตัวและอิสระจากการรับผิดชอบเป็นรูปเคารพของคน อีกกลุ่มหนึ่ง  โซ่ความเป็นทาสที่ผูกมัดเหล่านี้จะต้องถูกตัดให้ขาด  เราเป็นคนของพระเจ้าเพียงครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งเป็นของโลกไม่ได้  เรามิใช่บุตรของพระเจ้าเว้นเสียแต่ว่าเราจะเป็นของพระองค์อย่างเต็มบริบูรณ์ เท่านั้น  {SC 44.1}
                มี คนที่อ้างตนว่ารับใช้พระเจ้า  แต่ในขณะเดียวกันก็พึ่งพาความสามารถของตนเองในการประพฤติตามพระบัญญัติของ พระเจ้าปั้นแต่งอุปนิสัยให้ถูกต้องและแสวงหาความรอด  ความรักที่มีต่อพระคริสต์ไม่ได้ขับเคลื่อนอยู่ในจิตใจของเขา  แต่เขาพยายามประพฤติตามวิถีทางของคริสเตียนตามที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้เพื่อจะ ได้ครอบครองสวรรค์  ศาสนาเช่นนี้ไม่มีคุณค่าเลย  เมื่อพระคริสต์เสด็จเข้ามาอยู่ในจิตใจ  จิตวิญญาณก็จะเต็มล้นด้วยความรักของพระองค์  การสื่อสัมพันธ์กับพระองค์จะสร้างความสุขให้แก่เขาอย่างเต็มล้น  เขาจะติดสนิทอยู่กับพระองค์  และเมื่อเขาเพ่งพิจพินิจถึงพระองค์  เขาก็จะลืมมองตนเองไป  ความรักที่มีต่อพระคริสต์จะเป็นแหล่งกำเนิดให้เกิดการกระทำ  ผู้ที่สัมผัสกับความรักของพระเจ้าที่กำลังผลักดันเขาอยู่  จะไม่ถามว่าเขาต้องมอบถวายให้น้อยเพียงไรเพื่อจะไปให้ถึงเป้าหมายที่พระเจ้า กำหนด  พวกเขาจะไม่ถามหามาตรฐานต่ำที่สุด  แต่จะตั้งเป้าหมายที่จะทำตามพระประสงค์ของพระผู้ไถ่ให้สมบูรณ์ที่สุด  ด้วยความปรารถนาที่จริงใจ  พวกเขามอบถวายทุกสิ่งทุกอย่างและแสดงความสนใจเทียบเท่ากับคุณค่าของสิ่งที่ เขาแสวงหา  การยอมรับพระคริสต์โดยขาดความรักที่ลึกซึ้งนี้จะเป็นแต่เพียงการคุยโว  เป็นพิธีกรรมที่แห้งแล้งและเป็นภาระหนักที่น่าเบื่อหน่าย  {SC 44.2}
                ท่านมีความรู้สึกว่า  การมอบถวายทุกสิ่งให้พระคริสต์เป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่เกินไปหรือ  จงถามคำถามนี้กับตนเองว่า  พระคริสต์ทรงประทานอะไรให้แก่ข้าพเจ้า  พระบุตรของพระเจ้าทรงประทานทุกสิ่ง  พระองค์ทรงประทานชีวิต  ความรักและการทนทุกข์ทรมานเพื่อความรอดของเรา  แล้วเราผู้เป็นเป้าหมายอันไม่คู่ควรกับความรักอันยิ่งใหญ่นี้จะยับยั้งหัวใจ ของเราออกจากพระองค์กระนั้นหรือ  ทุกเสี้ยววินาทีในชีวิตของเรา  เราได้รับพระพรแห่งพระคุณของพระองค์  และด้วยเหตุผลนี้  เราไม่สามารถหยั่งรู้ได้อย่างเต็มที่ว่าเราถูกช่วยให้หลุดรอดออกมาจากบ่อลึก ของความโง่เขลาและความทุกข์ยากได้อย่างไร  เราจะมองไปยังพระองค์ที่เราได้ทิ่มแทงด้วยความบาปของเรา  และยังเต็มใจดูหมิ่นความรักและการเสียสละทั้งปวงของพระองค์ได้หรือ  เมื่อเรามองเห็นการถ่อมตนอันไม่มีขอบเขตจำกัดของพระสิริของพระเจ้าแล้ว  เราจะมัวบ่นพึมพำเพียงเพราะเราต้องผ่านความขัดแย้งและการถ่อมตน  เพื่อจะได้ก้าวเข้ามาสู่ชีวิตเท่านั้นหรือ  {SC 45.1}
                หัวใจเย่อหยิ่งของมนุษย์จำนวนมากถามว่า  ทำไมข้าพเจ้าจึงต้องสำนึกผิดและถ่อมใจลงก่อนเพื่อให้มั่นใจว่าพระเจ้าทรงยอมรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอชี้ให้ท่านมองไปยังพระคริสต์ พระองค์ผู้ทรงปราศจากบาปและยิ่งกว่านั้นพระองค์ทรงเป็นเจ้าชายแห่งสวรรค์ แต่เพื่อมนุษย์พระองค์ได้ทรงรับความบาปของมนุษยชาติ พระองค์ถูกนับเข้ากับความทรยศ ถึงกระนั้นท่านก็แบกบาปของคนเป็นอันมาก และทำการอ้อนวอนเพื่อผู้ทรยศ  (อิสยาห์ 53:12)  {SC 45.2}
                แต่ เมื่อเราสละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเราได้ละทิ้งอะไรไปบ้าง  จิตใจที่เปรอะเปื้อนด้วยความบาปเพื่อให้พระเยซูชำระให้บริสุทธิ์  ให้พระองค์ทรงล้างด้วยพระโลหิตของพระองค์  และประทานความรอดให้ด้วยความรักที่ไม่มีสิ่งใดเปรียบเสมอได้  แต่ถึงกระนั้น  มนุษย์ยังคิดว่า  เป็นเรื่องยากลำบากเหลือเกินที่จะยอมทิ้งทุกสิ่งไป  ข้าพเจ้ารู้สึกละอายใจที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้  รู้สึกอับอายที่จะต้องเขียนคำพูดเช่นนี้  {SC 46.1}
                พระ เจ้าไม่ได้บังคับให้เราละทิ้งสิ่งที่ดีใดๆ ที่เราต้องเก็บรักษาไว้เพื่อประโยชน์สูงสุดของเรา  ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้น  พระองค์ทรงมองดูความผาสุกของบุตรทั้งหลายของพระองค์  หากว่าคนทั้งหลายที่ไม่เลือกพระคริสต์จะตระหนักว่าพระองค์ทรงมีสิ่งที่ดี กว่าที่จะมอบให้แก่เขา  ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่เขาสามารถสรรหามาให้แก่ตนเองได้  เมื่อมนุษย์คิดและทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  เขากำลังนำอันตรายและความไม่เป็นธรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุดมายังจิตวิญญาณของเขา เอง  เมื่อเขาไปในทิศทางที่พระองค์ทรงตรัสห้ามไว้  เขาจะพบกับความสุขที่แท้จริงไม่ได้  พระองค์ทรงทราบดีว่าเส้นทางใดดีที่สุด  และทรงเป็นผู้วางแผนเพื่อให้เกิดผลดีแก่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างมานั้น  ส่วนเส้นทางแห่งการล่วงละเมิดเป็นทางแห่งความทุกข์ลำบากและความพินาศ  {SC 46.2}
                เป็น เรื่องผิดที่จะคิดว่า  พระเจ้าทรงพอพระทัยที่เห็นบุตรทั้งหลายของพระองค์ตกอยู่ในความทุกข์ยาก  ชาวสวรรค์ทั้งหมดให้ความสนใจกับความสุขของมนุษย์  พระบิดาในสวรรค์ของเราไม่ได้ปิดช่องทางแห่งความสุขของมนุษย์ที่พระองค์ทรง สร้าง  ข้อบังคับของพระเจ้าทรงเรียกให้เราละทิ้งการหมกมุ่นที่นำมาซึ่งความทุกข์ ทรมานและความผิดหวัง  และนำเราออกไปจากประตูแห่งความสุขและประตูของสวรรค์  พระผู้ไถ่ของโลกทรงยอมรับมนุษย์ในสภาพที่เขาเป็นอยู่  ซึ่งเต็มไปด้วยความร้องการ  ความไม่ดีพร้อม  และความอ่อนแอ  และพระองค์จะไม่ทรงชำระเขาจากบาปและประทานความรอดโดยทางพระโลหิตของพระองค์ เท่านั้น  แต่จะทรงประทานความพึงพอใจให้แก่หัวใจทุกดวงที่แสวงหาพระองค์  ซึ่งยอมรับแอกและแบกรับภาระของพระองค์เป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่จะทรง ประทานสันติสุขและความสงบสุขให้แก่ทุกคนที่เข้ามาหาพระองค์เพื่อแสวงหาทิพย์ อาหารแห่งชีวิต  พระองค์ทรงกำหนดให้เราทำแต่หน้าที่ที่จะนำเราให้ก้าวสูงขึ้นสู่ความสงบสุข ให้แก่ทุกคนที่เข้ามาหาพระองค์เพื่อแสวงหาทิพย์อาหารแห่งชีวิต  พระองค์ทรงกำหนดให้เราทำแต่หน้าที่ที่จะนำเราให้ก้าวสูงขึ้นสู่ความสุขสำราญ ซึ่งผู้ที่ไม่เชื่อฟังจะก้าวไปไม่ถึง  ชีวิตเที่ยงแท้  ความสุขที่แท้จริงจะต้องมีพระคริสต์ทรงสถิตร่วมอยู่ภายใน  พระองค์ผู้ทรงเป็นความหวังใจแห่งพระสิริ  {SC 46.3}
                คนมากมายถามว่า  ข้าพเจ้าจะมอบถวายตนเองให้พระเจ้าได้อย่างไร  ท่านประสงค์ที่จะถวายตนเองให้พระองค์  แต่อำนาจฝ่ายศีลธรรมของท่านนั้นอ่อนแอ  เป็นทาสของความสงสัย  และชีวิตของท่านถูกควบคุมด้วยอุปนิสัยของความบาปผิด  คำมั่นสัญญาและความตั้งใจของท่านเปรียบเหมือนกับเชือกที่ทำด้วยทราย  ท่านควบคุมความคิด  แรงผลักดัน  ความรู้สึกของท่านเองไม่ได้  ท่านตระหนักว่า  การผิดคำมั่นสัญญาและการไม่รักษาคำพูดได้บั่นทอนความมั่นใจในความจริงใจของ ท่าน  และทำให้ท่านรู้สึกว่าพระเจ้าทรงรับท่านไม่ได้  แต่ท่านไม่ต้องท้อใจ  สิ่งที่ท่านต้องเข้าใจคือ  กำลังที่แท้จริงของความตั้งใจ  สิ่งนั้นคืออำนาจที่ควบคุมธรรมชาติของมนุษย์  เป็นอำนาจในการตัดสินใจหรือการเลือก  ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับความตั้งใจที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง  พระเจ้าทรงประทานอำนาจแห่งการเลือกให้แก่มนุษย์  ซึ่งเขาจะต้องนำมาใช้  ท่านเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านไม่ได้  ท่านถวายความรักของท่านให้พระเจ้าด้วยลำพังตัวของท่านเองไม่ได้  แต่ท่านเลือกที่จะรับใช้พระองค์ได้  ท่านถวายความตั้งใจของท่านให้พระองค์ได้  แล้วพระองค์จะทรงกระทำกิจภายในตัวท่านเพื่อให้ความตั้งใจและการกระทำของท่าน เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์  เมื่อเป็นเช่นนี้  ธรรมชาติทั้งหมดของท่านจะเข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมของพระวิญญาณของพระ คริสต์  ความรู้สึกของท่านจะมีศูนย์กลางอยู่ในพระองค์  ความคิดของท่านจะประสานเข้ากับพระประสงค์ของพระองค์  {SC 47.1}
                ความ ปรารถนาคุณความดีและความบริสุทธิ์เป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่ในระดับหนึ่ง  แต่หากท่านหยุดแค่นี้  ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับความปรารถนานี้  คนมากมายสูญหายไปในขณะที่เขาหวังและอยากเป็นคริสเตียน  พวกเขาเข้ามาไม่ถึงจุดที่จะยอมมอบถวายความตั้งใจให้พระเจ้า  เขาจึงไม่ได้เลือกที่จะเป็นคริสเตียน  {SC 47.2}
                เมื่อท่านใช้ความตั้งใจอย่างถูกต้อง  ชีวิตของท่านจะได้รับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด  เมื่อท่านถวายความตั้งใจของท่านให้พระคริสต์  ท่านได้นำตัวของท่านเองเข้ามาผูกพันกับอำนาจที่เหนือกว่าเจ้าผู้ครอบครองและอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น  ท่านจะมีกำลังจากเบื้องบนที่คอยพยุงให้ท่านมั่นคง  และด้วยการมอบถวายตัวให้พระเจ้าอย่างต่อเนื่อง  ท่านจะดำเนินชีวิตใหม่ได้  ซึ่งเป็นชีวิตแห่งความเชื่อ  {SC 48.1}


Visit us for more information http://www.greatesthope.com

For more information, please contact 
Alejandro at mienfield@yahoo.com
or contact
Thailand Adventist Mission 
12 Soi Pridi Banomyong 37, Sukhumvit 71
Klongtan Nua, Wattana, Bangkok 10110
 
Telephone: 02-391-3595, 02-391-0525
Fax: 02-381-1928
 
Information:  
P.O. Box 234 Prakanong Bangkok 10110 Thailand
 

VISIT ALSO


http://www.adventist.or.th/

http://thaivop.com/

No comments: