Friday, May 18, 2012

คนบาปต้องการพระเยซู


เคล็ดลับที่ 2
คนบาปต้องการพระเยซู

                เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาตั้งแต่แรกนั้น  มนุษย์มีความสามารถเป็นเลิศและมีความคิดอย่างสมดุลที่สุด  เขาเป็นคนสมบูรณ์แบบและร่วมกันเป็นหนึ่งกับพระเจ้า  ความคิดของเขาบริสุทธิ์  เป้าหมายของเขาสูงส่งแต่เพราะความไม่เชื่อฟัง  เขาจึงนำความสามารถต่างๆ ไปใช้ในทางที่ผิด  และความเห็นแก่ตัวก็เข้ามาแทนที่ความรัก  การล่วงละเมิดทำให้ธรรมชาติของเขาอ่อนแอลงจนไม่มีพละกำลังที่จะต้านอำนาจของ ความบาปได้  เขาจึงถูกซาตานควบคุมไว้  และคงจะต้องเป็นเช่นนั้นไปตลอดกาล  ถ้าพระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงเข้ามาแทรกแซงเป็นกรณีพิเศษ  เป็นเป้าหมายของจอมหลอกลวงที่ต้องการทำลายแผนการของพระเจ้าในการสร้าง มนุษย์  และทำให้โลกนี้เต็มล้นไปด้วยความทุกข์ยากและความอ้างว้าง  และมันก็จะชี้ว่าความเลวร้ายทั้งหมดนี้เป็นผลจากพระเจ้าพระราชกิจของพระเจ้า ที่ได้สร้างมนุษย์  {SC 17.1}
                มนุษย์ที่ปราศจากบาปได้สื่อสัมพันธ์อย่างมีความสุขกับพระเจ้าผู้ทรงเป็น คลังสติปัญญา และความรู้ทุกอย่างทรงปิดซ่อนไว้ในพระองค์ (โคโลสี 2:3)  แต่หลังจากมนุษย์ได้ทำบาป เขาไม่ได้ชื่นชอบกับความบริสุทธิ์อีกต่อไป  และเขาพยายามซ่อนตัวให้พ้นจากเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า  นี่คือสภาพของจิตใจที่ยังมิได้รับการเปลี่ยนแปลง  และไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า  และการสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้าไม่ได้สร้างความสุขอันให้แก่เขา  คนบาปไม่มีความสุขที่ได้อยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า  เขาจะหลบหนีให้พ้นจากการต้องเข้าสนิทสนมกับบรรดาผู้บริสุทธิ์  ถ้าหากเขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสวรรค์  การอยู่ในสวรรค์ก็ไม่ได้สร้างความสุขให้แก่เขา  เพราะที่นั่นปกครองด้วยวิญญาณแห่งความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว  จิตใจทุกดวงตอบสนองต่อพระทัยที่เต็มไปด้วยความรักอันไร้ขอบเขตจำกัดของพระ เจ้า   ซึ่งจิตใจของคนบาปไม่อาจที่จะสื่อกับความรักเช่นนี้ได้  ความนึกคิด  ความสนใจ  และแรงบันดาลใจของเขาจะเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดสำหรับชาวเมืองที่ปราศจากบาป  เขาจะกลายเป็นเพียงเสียงเพี้ยนที่ประสานให้เข้ากับเสียงเพลงอันไพเราะของชาว สวรรค์ไม่ได้  สรวงสวรรค์จะกลายเป็นความสว่างและเป็นศูนย์กลางแห่งความชื่นชมยินดี  บรรดาคนชั่วถูกกีดกันออกจากสวรรค์  ไม่ได้เป็นเพราะพระบัญชาอันไร้เหตุผลของพระเจ้า  แต่แท้จริงแล้ว  การที่พวกเขาไม่สามารถเข้ามาร่วมปฏิสัมพันธ์กับชาวสวรรค์ต่างหากที่ได้กีด กันพวกเขาออกไป  พระสิริของพระเจ้าจะเป็นดั่งไฟเผาผลาญพวกเขา  พวกเขาคงปรารถนาการทำลายเพื่อจะได้หนีไปให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ผู้ทรง ยอมสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่พวกเขา {SC 17.2}
                โดยลำพังตัวของเราเอง  เราหลบหนีให้พ้นหลุมพรางแห่งความบาปที่เรากำลังจมดิ่งลงไปไม่ได้  จิตใจของเรานั้นชั่ว  และเปลี่ยนแปลงไม่ได้  ใครจะเอาสิ่งสะอาดออกมาจากสิ่งไม่สะอาดได้  ไม่มีใครสักคน  เหตุว่าใจซึ่งปักอยู่กับเนื้อหนังนั้นก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า  หาได้อยู่ใต้บังคับธรรมบัญญัติของพระเจ้าไม่และที่จริงจะอยู่ใต้บังคับธรรมบัญญัตินั้นไม่ได้ (โยบ 14:4; โรม 8:7)  การศึกษา  วัฒนธรรม  ความตั้งใจ  ความพยายามของมนุษย์  ล้วนมีอิทธิพลที่เหมาะสมในตัวของมันเอง  แต่ในโลกนี้  สิ่งเหล่านี้กลับไม่มีอำนาจ  สิ่งเหล่านี้อาจจะมีผลที่ดีต่อพฤติกรรมภายนอก  แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจได้  และก็ไม่สามารถชำระน้ำพุแห่งชีวิตให้บริสุทธิ์ได้  จำเป็นที่จะต้องมีอำนาจที่มาจากภายใน  ซึ่งเป็นชีวิตใหม่ที่มาจากเบื้องบนที่จะเปลี่ยนแปลงมนุษย์จากความบาปไปสู่ความบริสุทธิ์ได้  พลังอำนาจนั้น   คือ  พระคริสต์  พระคุณของพระองค์เท่านั้นที่สามารถปลุกจิตวิญญาณที่ไร้ชีวิตชีวาขึ้นมา  และดึงดูดให้จิตวิญญาณนั้นกลับเข้ามาหาพระเจ้า  เข้ามาหาความบริสุทธิ์  {SC 18.1}       
                พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่  ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้ (ยอห์น 3:3)  เขาจะต้องได้รับจิตใจดวงใหม่  ความปรารถนาใหม่  จุดมุ่งหมายของชีวิตใหม่  และแรงบันดาลใหม่  เพื่อนำเขาไปสู่ชีวิตใหม่  ความคิดที่ว่า  เพียงแค่พัฒนาสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ก็เป็นการเพียงพอแล้ว  ความคิดเช่นนี้เป็นการหลอกลวงที่อันตรายถึงตาย แต่ มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้  เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา  และเขาไม่สามารถเข้าใจได้  เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ อย่างประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า  ท่านทั้งหลายต้องบังเกิดใหม่ (1โครินธ์ 2:14; ยอห์น 3:7) พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บันทึกถึงพระคริสต์ว่า  พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต  และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย  ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้  ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า (ยอห์น 1:4; กิจการของอัครทูต 4:12) {SC 18.2}
                การ เข้าใจพระกรุณาที่เต็มด้วยความรักของพระเจ้า  การมองเห็นพระเมตตาคุณและความเอ็นดูเยี่ยงความรักของพ่อที่มีอยู่ในพระ ลักษณะนิสัยของพระองค์นั้นไม่เป็นการเพียงพอ  การมองเห็นพระปัญญาและความยุติธรรมที่มีอยู่ในพระบัญญัติของพระเจ้า และมองเห็นว่าพระบัญญัติตั้งอยู่บนหลักการแห่งความรักที่นิรันดร์นั้นก็ยัง ไม่เป็นการเพียงพอ  อัครทูตเปาโลเข้าใจสิ่งทั้งหมดนี้  เมื่อท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้ายอมรับว่าธรรมบัญญัตินั้นดี  “เหตุฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงเป็นสิ่งบริสุทธิ์และข้อบัญญัติก็บริสุทธิ์ยุติธรรมและดีงาม  แต่ด้วยจิตวิญญาณที่เศร้าหมองและสิ้นหวัง  เปาโลได้กล่าวเพิ่มเติมด้วยความขมขื่นว่า แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ถูกขายไว้ให้อยู่ใต้บาป (โรม 7:16, 12, 14)  เปาโลปรารถนาความบริสุทธิ์  ความชอบธรรม  ซึ่งในตัวเขาเองไม่มีอำนาจที่จะครอบครองสิ่งนี้ได้  และจึงร้องออกมาว่า โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้  ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ซึ่งเป็นของความตายได้ (โรม  7:24)  เสียงร้องคร่ำครวญจากจิตใจที่ปวดร้าวเช่นนี้มีให้ได้ยินจากทั่วทุกหนแห่งและ ตลอดทุกยุคทุกสมัย  แต่มีคำตอบอยู่เพียงคำตอบเดียวที่มีไว้สำหรับทุกคน  นั่นคือ จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า  ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย (ยอห์น 1:29) {SC 19.1}
                มี บุคคลมากมายซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสาะแสวงหาเพื่อให้เขาได้รับ รู้ความจริง  และเพื่อให้ความกระจ่างแจ้งแก่จิตวิญญาณทั้งหลายที่อยากหลุดพ้นจากภาระหนัก ของความผิดบาป  ภายหลังจากที่ยาโคบได้หลอกเอซาวแล้ว  เขาได้หลบหนีออกจากบ้านของบิดา  เขาถูกกดดันด้วยความรู้สึกผิด  ในขณะที่เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวและไร้ที่อยู่อาศัย  ถูกตัดขาดจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ครั้งหนึ่งเคยมีค่าต่อชีวิตของเขา  แต่ความคิดหนึ่งที่บีบคั้นเขามากกว่าความคิดอื่นๆ คือ  เขากลัวว่าความบาปของเขาทำให้เขาถูกตัดขาดจากพระเจ้า  และจะถูกสวรรค์ทอดทิ้ง  เขาเอนตัวลงนอนบนพื้นดินที่ว่างเปล่าด้วยความโศกเศร้า  รอบตัวมีแต่เนินเขาที่อ้างว้าง  และเหนือขึ้นไปก็มีแต่ท้องฟ้าที่สว่างสดใจด้วยแสงดาว  ในขณะที่เขานอนหลับอยู่นั้น  เขาได้เห็นแสงประหลาดส่องเจิดจ้ามา  และดูเถิด  จากพื้นราบที่เขานอนอยู่นั้น  มีบันไดลึกลับขนาดมหึมาทอดสูงขึ้นไปจนถึงประตูแห่งสวรรค์  และมีบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าเดินขึ้นลงบันไดนั้น  และจากรัศมีเจิดจ้าที่มาจากเบื้องบน  เขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสข้อความที่ปลอบประโลมใจและให้ความหวัง  จึงทำให้ยาโคบรู้สึกว่า  จิตวิญญาณของเขาได้พบกับสิ่งที่เขาต้องการและโหยหามาช้านาน  นั่นก็คือพระผู้ช่วยให้รอด  เขาเปี่ยมล้นไปด้วยความชื่นชมยินดีและขอบพระคุณ  เมื่อเขามองเห็นหนทางที่ได้เปิดเผยให้แก่เขาได้รู้ว่า  ในสภาพที่เป็นคนบาปเขายังฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้  บันไดลึกลับในฝันของเขานั้นเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระเยซู  ผู้ทรงเป็นสื่อกลางเพียงหนึ่งเดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ {SC 19.2}
                พระคริสต์ทรงใช้สัญลักษณ์เดียวกันนี้เมื่อพระองค์สนทนากับนาธานาเอล  พระองค์ทรงตรัสว่า ท่านจะได้เห็นท้องฟ้าเบิกออก  และบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์ (ยอห์น 1:5)  เมื่อมนุษย์ละทิ้งพระเจ้า  เขาได้นำตัวเองให้เหินห่างไปจากพระองค์  โลกก็ถูกตัดขาดจากสวรรค์  ไม่มีการติดต่อระหว่างสองฟากฝั่งที่ถูกเหวลึกขวางกั้นได้  แต่โดยผ่านทางพระคริสต์  โลกจึงเชื่อมต่อกับสวรรค์ได้อีกครั้งและด้วยความดีที่พระองค์ได้ทรงกระทำ ไว้  พระคริสต์ได้เชื่อมต่อสองฟากฝั่งของเหวลึกที่เกิดจากความบาป  เพื่อว่าเหล่าทูตสวรรค์ผู้รับใช้จะสื่อสัมพันธ์กับมนุษย์ได้  พระคริสต์ทรงนำมนุษย์ที่ล้มลงด้วยความอ่อนแอและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มา เชื่อมต่อกับพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของพลังอำนาจที่ไม่มีขอบเขต จำกัด {SC 20.1}
                ถ้า มนุษย์ไม่สนใจพระองค์ผู้ทรงเป็นบ่อเกิดแห่งความหวังและการช่วยเหลือเพียง แหล่งเดียวของมนุษยชาติที่ได้ล้มลงแล้ว  ความใฝ่ฝันถึงความก้าวหน้าของพวกเขาก็ไร้ประโยชน์  ความพยายามทั้งสิ้นที่จะยกระดับมนุษยชาติก็ไม่เกิดผล  ของประทานอันดีทุกอย่างและของประทานอันเลิศทุกอย่าง  ย่อมมาจากพระเจ้า  (ยากอบ 1:17)  เมื่อเราเหินห่างออกไปจากพระองค์  อุปนิสัยที่ดีเลิศอย่างแท้จริงก็จะไม่เกิดขึ้น  และทางเดียวที่เราจะไปให้ถึงพระเจ้าได้คือไปทางพระคริสต์  พระองค์ทรงตรัสว่า  เราเป็นทางนั้น  เป็นความจริงและเป็นชีวิต  ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา  (ยอห์น 14:6)  {SC 21.1}
                พระทัย ของพระเจ้าถวิลหาบรรดาลูกๆ ของพระองค์ซึ่งอยู่บนโลกใบนี้ด้วยความรักมั่นคงที่ไม่หวั่นเกรงแม้ความตาย  เมื่อพระเจ้าทรงประทานพระบุตรของพระองค์ลงมานั้น  พระองค์ทรงประทานทุกสิ่งที่มีอยู่ในสวรรค์ลงมาในของขวัญล้ำค่าชิ้นนั้น  ชีวิตและความตายและการร้องขอความกรุณาขององค์พระผู้ช่วยให้รอด  การรับใช้ของทูตสวรรค์  การวิงวอนของพระวิญญาณ  พระราชกิจของพระเจ้าทั้งจากเบื้องบนและตลอดเวลาที่ผ่านมา  ความสนใจและเอาใจใส่อย่างไม่หยุดหย่อนของเหล่าชาวสวรรค์  ทุกอย่างที่กล่าวมานี้มีไว้เพื่อการไถ่มนุษย์  {SC 21.2}
                ให้ เราไตร่ตรองถึงการเสียสละอันน่าอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อเราทั้ง หลาย  ให้เราถึงพอใจกับแรงงานและพลังงานที่พระเจ้าได้ทรงใช้ไปเพื่อกอบกู้ผู้ที่ หลงหายและนำกลับคืนสู่บ้านของพระบิดา  ไม่มีแรงจูงใจใดที่แกร่งกล้ากว่าหรือหน่วยงานใดที่มีอำนาจมากกว่าจะสามารถทำ การกอบกู้นี้ได้  ลองคิดถึงรางวัลยิ่งใหญ่สำหรับการทำในสิ่งที่ถูกต้อง  ความเบิกบานหรรษาในสวรรค์  การเข้าร่วมสังคมกับเหล่าทูตสวรรค์  การได้สื่อสัมพันธ์และเป็นที่รักของพระเจ้าและของพระบุตร  การที่เราจะได้รับความสามารถทั้งหมดที่ดีขึ้นและเพิ่มมากขึ้นตลอดชั่ว นิรันดร  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แรงจูงใจและกำลังใจให้เรามอบจิตใจเพื่อการรับใช้ด้วยความ รักแด่พระผู้สร้างและพระผู้ไถ่ของเราหรือ  {SC 21.3}
                และ ในทางกลับกัน  พระวจนะของพระเจ้าได้บรรยายถึงเรื่องพระเจ้าที่พิพากษาความบาป  ผลของความบาปที่เลี่ยงไม่ได้  อุปนิสัยของเราที่ตกต่ำลงและเมื่อความบาปจะถูกทำลายไปในที่สุด  ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตือนพวกเราทุกคนว่าให้ระวังอย่าไปรับใช้ซาตาน  {SC 21.4}
                เรา จะไม่ใส่ใจต่อพระเมตตาคุณของพระเจ้าหรือ  พระองค์จะต้องทำอะไรมากกว่านี้อีกหรือ  ให้เรานำตัวของเราเข้าไปอยู่ในความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์ผู้ทรงรัก เราด้วยความรักอันประเสริฐ  ให้เราฉวยโอกาสด้วยวิถีทางที่ได้จัดเตรียมไว้ให้แก่เรา  เพื่อเราจะถูกเปลี่ยนแปลงจนเป็นเหมือนพระองค์และได้ฟื้นฟูสัมพันธภาพใหม่กับ เหล่าทูตสวรรค์ผู้รับใช้  จนได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและมีส่วนร่วมกับพระบิดาและพระบุตร  {SC 22.1}


Visit us for more information http://www.greatesthope.com

For more information, please contact 
Alejandro at mienfield@yahoo.com
or contact
Thailand Adventist Mission 
12 Soi Pridi Banomyong 37, Sukhumvit 71
Klongtan Nua, Wattana, Bangkok 10110
 
Telephone: 02-391-3595, 02-391-0525
Fax: 02-381-1928
 
Information:  
P.O. Box 234 Prakanong Bangkok 10110 Thailand
 

No comments: