Sunday, May 13, 2012

เคล็ดลับแห่งความสุข


เคล็ดลับแห่งความสุข
Steps to Christ in Thai  
คำนำ
                หนังสือ เคล็ดลับแห่งความสุข (Steps to Christ)  ที่ท่านถืออยู่ในมือนี้  เป็นหนังสือที่ให้กำลังใจและมีอิทธิพลยกระดับศีลธรรมและทำให้เป็นคนดี  และทั้งยังมียอดจำหน่ายสูงถึงหลายล้านเล่ม  หนังสือเล็กๆ เล่มนี้จัดพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรกใน ปี ค.ศ. 1892 และพิมพ์มาแล้วกว่าเจ็ดสิบภาษา  เสริมแรงบันดาลใจให้กับชายหญิงนับร้อยนับพันคนมาแล้วทั่วโลก  เป็นหนังสือที่ได้รับการต้อนรับและเป็นที่ต้องการของคนมากมาย  จนต้องพิมพ์ติดต่อกันมาหลายครั้งเพื่อตอบสนองกับความต้องการ
                เอเลน จี ไวท์ (ค.ศ. 1827-1915) เป็นผู้ประพันธ์หนังสือเล่มนี้  ท่านเป็นนักพูดและนักเขียนด้านศาสนา  ท่านเกิดใกล้เมืองพอร์ทแลนด์  มลรัฐเมน  เริ่มทำงานในแถบมลรัฐนิวอิงแลนด์  ต่อมาภายหลัง  ได้เดินทางและขยายงานไปสู่ดินแดนทางภาคกลางและภาคตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา  ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1885 ถึง 1887 ท่านได้อุทิศตนทำงานในเมืองใหญ่ๆ ของทวีปยุโรป  ในการเทศนาแต่ละครั้งจะมีคนเข้าฟังกันอย่างหนาแน่น  ท่านเขียนหนังสือมากมายและทำงานอย่างเกิดผลทั้งในประเทศออสเตรเลียและประเทศนิวซีแลนด์เป็นเวลา 9 ปี  ผลงานเขียนของท่านมีทั้งหนังสือขนาดใหญ่และขนาดเล็กรวมแล้วกว่าสี่สิบห้าเล่ม  หนังสือเหล่านี้ครอบคลุมเรื่องศาสนา  การศึกษา  สุขอนามัยและครอบครัว  และการดำเนินชีวิตคริสเตียน  หลายเล่มมียอดจำหน่ายเกินล้านเล่ม  หนึ่งในจำนวนนี้มีหนังสือ เคล็ดลับแห่งความสุข อยู่ด้วย  อีกทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบและได้รับการต้อนรับมากที่สุด
                ชื่อหนังสือเล่มนี้บอกให้เราทราบถึงเป้าหมายที่ต้องการ  นำผู้อ่านให้ไปถึงพระเยซูคริสต์  พระผู้ทรงเป็นความปรารถนาของคนทั้งโลก  เป็นหนังสือที่จะนำย่างก้าวของผู้ที่สงสัยและไม่มีความมั่นใจในชีวิตให้ไปสู่เส้นทางแห่งสันติสุข  นำผู้ที่แสวงหาความชอบธรรมและใฝ่หาอุปนิสัยที่สมบูรณ์แบบให้ก้าวเดินต่อไปทีละก้าวตามเส้นทางของชีวิตคริสเตียน  ก้าวไปให้ถึงประสบการณ์ของการรู้จักพระพรอันไพบูลย์  ยังเปิดเผยให้ผู้อ่านได้รู้จักพระองค์ผู้ทรงเป็นเคล็ดลับแห่งชัยชนะ  และให้เห็นถึงพระคุณของการช่วยให้รอดที่เรียบง่ายและวิธีถนอมรักษาอำนาจยิ่งใหญ่ของพระสหายผู้ล้ำเลิศที่สุดของมวลมนุษยชาติ
                พระคริสตธรรมคัมภีร์เดิมบันทึกเรื่องราวของยาโคบไว้ว่า  เขาทำผิดและกลัวว่าความบาปจะตัดเขาออกไปจากพระเจ้า  แต่ในเวลากลางคืน  ในขณะที่เอนกายลงนอน  เขาได้  ฝันว่ามีบันไดอันหนึ่งตั้งขึ้นบนแผ่นดินโลกยอดถึงฟ้าสวรรค์  ทูตทั้งหลายของพระเจ้ากำลังขึ้นลงอยู่บนนั้น  เขาได้ยินพระสุรเสียงที่ตรัสมาจากปลายบันไดนั้น  เป็นพระดำรัสที่ประโลมใจและให้ความหวังแก่ผู้พเนจร  ความฝันนี้ทำให้ยาโคบมองเห็นและเข้าใจว่า  มีช่องทางที่เชื่อมโลกให้เข้ากับสวรรค์  พระเจ้าทรงห่วงใยยาโคบอย่างไร  ในวันนี้พระองค์ยังทรงห่วงใยท่านอยู่เช่นกัน  คณะผู้จัดทำหวังอย่างยิ่งว่า  เมื่อท่านอ่านหนังสือเล่มนี้ท่านจะพบทางแห่งความจริงในองค์พระเยซูคริสต์  มีสันติสุขที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ท่านและจะทรงมอบให้แก่ท่าน  หากเพียงแต่ท่านจะแสวงหา  ด้วยความจริงใจ
                หนังสือเล่มนี้แปลและตรวจสอบความถูกต้องตรงตามต้นฉบับภาษาอังกฤษในส่วนท้ายของทุกย่อหน้า  จะมีอักษรและตัวเลขอ้างอิงถึงฉบับมาตรฐานภาษาอังกฤษ  ตัวอย่างเช่น  SC 75.2  หมายถึง  ย่อหน้านั้นแปลมาจาก  หนังสือ  Steps to Christ ฉบับมาตรฐานภาษาอังกฤษ  หน้า  75  ย่อหน้าที่
                ท่านอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษได้ที่  http//www.whiteestate.org/books/sc/sc.asp

ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรผู้อ่านทุกท่าน


เคล็ดลับที่ 1
ความรักของพระเจ้าที่มีให้แก่มนุษย์

                ธรรมชาติและพระคัมภีร์ต่างเป็นพยานถึงความรักของพระเจ้า  พระบิดาแห่งสรวงสวรรค์ของเราทรงเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิต  สติปัญญาและความชื่นชมยินดี  จงมองดูธรรมชาติที่แสนอัศจรรย์และงดงาม  ลองพิจารณาถึงธรรมชาติที่ปรับเปลี่ยนสภาพของตนเองได้อย่างน่าพิศวง  ซึ่งเกิดขึ้นไม่ใช่เพียงเพื่อผลประโยชน์และความผาสุกของมนุษย์เท่านั้น  แต่เพื่อสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งมวล  แสงแดดและสายฝนที่นำความสุขและความสดชื่นมาให้แก่พื้นผิวโลก  เนินเขา  ทะเลและพื้นที่ราบ  ต่างบอกให้เราทราบถึงเรื่องความรักของพระผู้ทรงสร้างโลก  พระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีพให้แก่สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง  ผู้ประพันธ์สดุดีได้บรรยายไว้อย่างงดงามว่า
                ตาแห่งสรรพสัตว์ที่คอยท่าพระองค์อยู่
                พระองค์ทรงประทานอาหารตามเวลา
                พระองค์ทรงแบพระหัตถ์
                ประทานแก่สรรพสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ให้อิ่มตามความประสงค์
                สดุดี  145:15, 16 {SC 9.1}
                พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ดีพร้อมและมีความสุข  โลกที่สวยงามซึ่งสร้างโดยฝีพระหัตถ์ของพระผู้สร้างนั้นไม่มีร่องรอยของการเปื่อยเน่าหรือเงาของความเลวร้าย  ความหายนะและความตายเข้ามาในโลกนี้ได้ก็เนื่องจากการล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าซึ่งเป็นพระบัญญัติแห่งความรัก  แต่ท่ามกลางความทุกข์ระทมซึ่งเป็นผลของความบาป  ความรักของพระผู้เป็นเจ้าก็ยังสำแดงให้ประจักษ์  พระวจนะได้บันทึกไว้ว่า  พระเจ้าทรงแช่งสาปผืนแผ่นดินก็เพื่อเห็นแก่มนุษย์  (ปฐมกาล  3:17)  ความทุกข์ยากและความลำบากที่เป็นเหมือนเสี้ยนหนาม  ซึ่งทำให้ชีวิตของมนุษย์ต้องตรากตรำและเป็นภาระนั้น  พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้เพื่อประโยชน์แก่เขา  เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝนซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในแผนการของพระองค์ที่จะฉุดเขาให้พ้นจากความหายนะและความเสื่อมสลายที่เป็นผลจากความบาป  ถึงแม้โลกนี้ได้แพ้พ่ายต่อความบาป  แต่โลกนี้ก็ไม่ได้มีแต่ความโศกเศร้าและความน่าสังเวช  ท่ามกลางคมหนาม  และในพงหนามก็ยังประดับด้วยดอกกุหลาบงาม {SC 9.2}
                บนดอกไม้ที่กำลังผลิบาน  บนยอดใบเรียวงามของต้นหญ้าที่งอกขึ้นมาต่างจารึกว่า  พระเจ้าทรงเป็นความรัก  นกน่ารักที่ส่งเสียงร้องก้องในอากาศด้วยบทเพลงไพเราะแห่งความสุข  ดอกไม้ที่ถูกแต่งแต้มอย่างประณีตที่ส่งกลิ่นหอมอันดีเลิศให้แก่บรรยากาศ  ต้นไม้สูงใหญ่ในป่าที่ปกคลุมด้วยใบเขียวชอุ่มต่างเป็นพยานให้เห็นว่าพระเจ้าของเราทรงรักใคร่และห่วงใยเยี่ยงพ่อ  และทรงต้องการให้บุตรทั้งหลายของพระองค์มีความสุข  {SC 10.1}
                พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยให้เห็นพระลักษณะของพระองค์  พระองค์ได้ทรงประกาศถึงความรักและพระเมตตาคุณอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของพระองค์เอง  เมื่อโมเสสกราบทูลว่า ขอทรงโปรดสำแดงพระสิริของพระองค์แก่ข้าพระองค์ นั้น พระเจ้าทรงตรัสตอบว่า เราจะให้คุณความดีของเราประจักษ์แจ้งต่อหน้าเจ้า (อพยพ 33:18, 19)  นี่คือพระสิริของพระองค์  พระผู้เป็นเจ้าทรงเสด็จผ่านโมเสสไป  และพระองค์ทรงประกาศว่า  พระเยโฮวาห์  พระเยโฮวาห์  พระเจ้าผู้ทรงพระกรุณา  ทรงกอปรด้วยพระคุณ  ทรงกริ้วช้าและบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง  และความสัตย์จริง  ผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อมนุษย์กระทั่งพันชั่วอายุ  ผู้ทรงโปรดยกโทษการล่วงละเมิด  การทรยศ  และบาปของเขาเสีย (อพยพ 34:6, 7) พระองค์ ทรงกริ้วช้าและบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง  เพราะว่าพระองค์ทรงพอพระทัยในความรักมั่นคง (โยนาห์ 4:2; มีคาห์ 7:18) {SC 10.2}
                พระเจ้าทรงประทานสิ่งของมากมายทั้งจากสวรรค์และจากโลกนี้เพื่อผูกมัดจิตใจของเราไว้กับพระองค์  พระองค์ทรงใช้สิ่งต่างๆ ในธรรมชาติและทรงใช้ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและลึกซึ้งที่สุดที่มีในโลกเท่าที่จิตใจของมนุษย์จะรู้จักเพื่อสำแดงตัวพระองค์เองให้แก่เรา  แต่สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นความรักของพระองค์ได้ไม่บริบูรณ์  ถึงแม้พระเจ้าจะทรงโปรดประทานหลักฐานต่างๆ ทั้งหมดแล้วก็ตาม  แต่ศัตรูของความดีได้บดบังความนึกคิดของมนุษย์  จนพวกเขามองดูพระเจ้าด้วยความหวาดกลัว  พวกเขามองว่าพระองค์ทรงโหดร้ายและไม่ให้อภัย  ซาตานชักนำมนุษย์ให้เข้าใจว่า  พระลักษณะสำคัญที่สุดของพระเจ้า  คือ  พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาที่เข้มงวด  เป็นผู้ตัดสินที่โหดเหี้ยม  รุนแรง  เป็นเจ้าหนี้ที่เกรี้ยวกราด  ซาตานวาดภาพพระผู้สร้างให้เป็นผู้ที่จ้องมองมนุษย์ด้วยดวงตาที่ริษยาเพื่อคอยจับผิดและหาข้อผิดพลาดและนำมนุษย์มาลงโทษเพื่อที่จะขจัดเงามืดนี้และแสดงให้เห็นถึงความรักอันไร้ขอบเขตของพระเจ้า  พระเยซูจึงได้ทรงเสด็จลงมาดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์  {SC 10.3}
                พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาจากสวรรค์เพื่อเปิดเผยพระบิดาให้ประจักษ์ ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย  พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในพระทรวงของพระบิดา  พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว (ยอห์น 1:18) ไม่มีใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตร  และผู้ที่พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้ (มัทธิว 11:27)  เมื่อสาวกคนหนึ่งทูลขอว่า  ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เห็น พระเยซูตรัสตอบว่า เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียงนี้และท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ  ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา  ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า  ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น (ยอห์น 14:8, 9) {SC 11.1}
                พระเยซูตรัสถึงพระราชกิจของพระองค์ในโลกว่า พระเจ้าได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน  พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย  ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก  ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ (ลูกา 4:18) นี่เป็นพระราชกิจของพระองค์  พระองค์ทรงดำเนินไปทุกหนทุกแห่งเพื่อทำการดีและรักษาผู้ที่ถูกซาตานครอบงำไว้ให้หาย  หมู่บ้านหลายแห่งไม่มีบ้านใดที่มีเสียงร้องคร่ำครวญของความเจ็บปวดเลย  เพราะพระองค์เสด็จดำเนินเข้าไปและทรงรักษาคนป่วยในบ้านเรือนเหล่านั้น  พระราชกิจของพระองค์เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงเจิมพระองค์  พระราชกิจทุกอย่างที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของพระองค์  ได้แสดงให้เห็นถึงความรัก  ความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจพระทัยของพระองค์ทรงเมตตาสงสารเหล่าบุตรของมนุษย์  พระองค์ทรงรับธรรมชาติของมนุษย์  เพื่อพระองค์จะทรงเข้าถึงความต้องการของมนุษย์ได้  ผู้ที่ยากจนและต่ำต้อยที่สุดไม่กลัวที่จะเข้ามาหาพระองค์  แม้เด็กเล็กๆ ก็ยังหลงใหลในพระองค์  พวกเขาชอบที่จะขึ้นนั่งบนตักของพระองค์และจ้องมองดูพระพักตร์ที่เศร้าหมองแต่เต็มเปี่ยมด้วยความรัก  {SC 11.2}
                พระเยซูไม่ทรงปิดบังความจริงแม้เพียงคำเดียว  แต่พระองค์ทรงตรัสความจริงเหล่านั้นด้วยความรักเสมอ  เมื่อพระองค์ทรงติดต่อกับคนทั้งหลาย  พระองค์ทรงใช้ไหวพริบและความรอบคอบและความสนพระทัยที่เปี่ยมด้วยความเมตตา  พระองค์ไม่เคยหยาบคาย  ไม่เคยตรัสคำพูดที่รุนแรงโดยไม่จำเป็น  ไม่เคยทำให้จิตวิญญาณที่อ่อนไหวต้องได้รับความเจ็บปวดโดยไม่จำเป็น  พระองค์ไม่ได้ตำหนิความอ่อนแอของมนุษย์  พระองค์ทรงตรัสอย่างตรงไปตรงมา  แต่ทรงตรัสด้วยความรักเสมอ  พระองค์ทรงประณามความหน้าซื่อใจคด  ความไม่เชื่อ  และความชั่ว  แต่ขณะเมื่อพระองค์ทรงตำหนิด้วยคำพูดที่เสียดแทงนั้น  พระสุรเสียงของพระองค์กลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า  พระองค์ทรงกันแสงให้แก่กรุงเยรูซาเล็มซึ่งเป็นเมืองที่พระองค์ทรงรัก  เป็นเมืองที่ปฏิเสธไม่ยอมรับพระองค์ผู้ทรงเป็นทางนั้น  เป็นความจริง  และเป็นชีวิต  พวกเขาปฏิเสธพระองค์ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  แต่พระองค์ยังทรงมองดูพวกเขาด้วยความอ่อนโยนสงสาร  พระองค์ทรงมีชีวิตที่ละทิ้งตนเองและเอาใจใส่ผู้อื่น  จิตวิญญาณทุกดวงมีค่าในสายพระเนตรของพระองค์  ถึงแม้ว่าพระองค์เองเคยทรงดำรงไว้ซึ่งฐานันดรศักดิ์ของพระเจ้า  แต่พระองค์ทรงก้มลงมายังสมาชิกทุกคนในครอบครัวของพระเจ้าด้วยความสนใจอย่างที่สุด  พระองค์ทรงมองดูมนุษย์ทุกคนและทรงมองเห็นวิญญาณที่ล้มลงในบาป  ซึ่งเป็นพันธกิจที่พระองค์ทรงต้องการช่วยจิตวิญญาณเหล่านี้ให้รอด {SC 12.1}
                นี่เป็นพระลักษณะของพระคริสต์ตามที่ปรากฏให้เห็นในชีวิตของพระองค์  พระเจ้าทรงมีพระลักษณะเช่นเดียวกัน  พระเมตตาคุณของพระเจ้าที่ไหลบ่ามาจากพระทัยของพระบิดา  ได้ปรากฏให้เห็นในพระคริสต์  และได้ไหลบ่าไปยังบรรดาบุตรทั้งหลายของมนุษย์  พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาและความสงสาร  ทรงเป็นพระเจ้าเสด็จมา  ปรากฏเป็นมนุษย์  (1 ทิโมธี 3:16) {SC 12.2}
                พระเยซูเสด็จมาในโลกและทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยเราให้รอด  พระองค์จึงได้กลาย เป็นคนที่รับความเศร้าโศก (อิสยาห์ 53:3)  เพื่อเราจะได้รับความสุขนิรันดร  พระเจ้าทรงอนุญาตให้พระบุตรที่พระองค์ทรงรัก  พระบุตรผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณและความจริง  เสด็จลงมาจากโลกที่มีรัศมีอันสุดจะบรรยายได้  มายังโลกที่เปรอะเปื้อนและถูกทำลายด้วยความบาป  โลกที่มืดมนด้วยเงามืดแห่งความตายและคำสาปแช่ง  พระเจ้าทรงอนุญาตให้พระองค์ออกมาจากอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความรักของพระองค์  ออกมาจากทูตสวรรค์ที่เทิดทูลพระองค์  เพื่อมารับความอับอาย  การเหยียดหยาม  ความอัปยศอดสูตกแก่ท่าน  ที่ท่านต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี (อิสยาห์ 53:5) จงมองดูพระองค์ขณะที่พระองค์อยู่ในป่ากันดาร  ในสวนเกทเสมนี  และบนกางเขน  พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงปราศจากด่างพร้อย  ต้องทนรับภาระบาปมาใส่พระองค์เอง  พระองค์ผู้ทรงเป็นหนึ่งร่วมกับพระเจ้า  ภายในวิญญาณของพระองค์  พระองค์ทรงรู้สึกถึงความน่าสะพรึงกลัวที่บาปได้แยกพระเจ้าออกไปจากมนุษย์จนทำให้พระองค์ต้องร้องขึ้นมาด้วยความปวดร้าวว่า พระเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย (มัทธิว 27:46)  เป็นเพราะภาระหนักของบาป  ความรู้สึกถึงความเลวร้ายน่ากลัวของมัน  ที่แยกจิตวิญญาณของพระองค์ออกไปจากพระเจ้า  ทำให้พระทัยของพระบุตรพระเจ้าแตกสลายไป {SC 13:1}
                แต่การเสียสละที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อทำให้พระทัยของพระบิดาเกิดความรักในตัวมนุษย์  ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อให้พระองค์เต็มใจช่วยมนุษย์  ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก  จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ (ยอห์น 3:16)  พระบิดาทรงรักเรา  ไม่ใช่เพราะการลบล้างพระอาชญาที่ยิ่งใหญ่โดยพระโลหิตของพระเยซู  แต่พระองค์ทรงจัดเตรียมการลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระเยซูเพราะพระองค์ทรงรักเรา  พระคริสต์ทรงเป็นสื่อกลางที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อให้ความรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัดของพระองค์ให้หลั่งลงมายังโลกที่พ่ายแพ้แก่บาปได้  พระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์ (2 โครินธ์ 5:19) พระเจ้าทรงร่วมทุกข์กับพระบุตรของพระองค์ในความปวดร้าวทรมานที่สวนเกทเสมนี  ในความมรณาบนกางเขนคาล์วารี  พระทัยแห่งความรักอันไร้ขอบเขตจำกัดของพระเจ้าได้ชำระราคาค่าไถ่บาปของเราแล้ว  {SC 13:2}
                พระเยซูตรัสว่า ด้วยเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา  เพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก (ยอห์น 10:17)  หมายความว่า  พระบิดาของเราทรงรักท่านทั้งหลายมาก  และพระองค์ทรงรักเรามากยิ่งขึ้นเมื่อเรายอมถวายชีวิตของเราเพื่อไถ่ท่านทั้งหลาย  เราเป็นตัวแทนของท่านทั้งหลายเป็นผู้ประกันท่านทั้งหลาย  เรายอมสละชีวิต  รับภาระหนี้และการล่วงละเมิดของท่านทั้งหลาย  พระบิดาจึงชื่นชอบเรามาก  เพราะโดยการเสียสละของเราจึงเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า  พระเจ้าทรงความเที่ยงธรรม  ไม่เพียงแต่เท่านั้นยังพิสูจน์ให้เห็นว่า  ผู้ที่เชื่อในพระเยซูจะได้เป็นผู้ชอบธรรมเช่นกัน {SC 14.1}
                ไม่มีผู้ใดนอกจากพระบุตรของพระเจ้าที่จะทำการไถ่เราได้สำเร็จ  เพราะผู้ที่ทรงสถิตอยู่ในพระบิดาเท่านั้นที่จะประกาศเรื่องของพระองค์ได้  มีเพียงผู้ที่เข้าใจความสูงและความลึกที่มีอยู่ในความรักของพระเจ้าเท่านั้นจึงจะเปิดเผยความรักนั้นให้เห็นแจ้งได้  ไม่มีวิธีอื่นนอกจากการเสียสละที่เหลือคณานับของพระคริสต์ที่ทรงทำเพื่อมนุษย์ที่พลาดพลั้งในบาปจะกล่าวถึงความรักของพระบิดาที่มีต่อมวลมนุษย์ที่หลงหายได้  {SC 14.2}
                “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก  จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงแต่ทรงประทานพระเยซูให้มาทรงพระชนม์อยู่ท่ามกลางมนุษย์เท่านั้น  แต่ทรงเสด็จมาเพื่อแบกรับบาปของเราและสิ้นพระชนม์  เพื่อเป็นเครื่องบูชาของพวกเราด้วย  พระเจ้าทรงประทานพระคริสต์ให้แก่เผ่าพันธุ์ที่พลั้งพลาดไปในบาป  พระองค์จึงนำตัวพระองค์เองให้เข้ามามีส่วนร่วมกับผลประโยชน์และความต้องการของมนุษยชาติ  พระองค์ผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียวร่วมกับพระเจ้าได้ทรงเชื่อมสัมพันธ์กับเหล่าบุตรของมนุษย์ด้วยสายสัมพันธ์ที่ไม่มีวันขาด  พระองค์จึงไม่ทรงละอายที่จะทรงเรียกเขาเหล่านั้นว่าเป็นพี่น้อง (ฮีบรู 2:11) พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของเรา  ทรงเป็นผู้แก้ต่างของเรา  ทรงเป็นพี่ชายของเรา  พระองค์อยู่เบื้องพระบัลลังก์ของพระบิดาทรงมีสภาพมนุษย์เหมือนกันกับเรา  และพระองค์ผู้ทรงเป็นบุตรมนุษย์จะทรงอยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์ที่พระองค์ได้ทรงไถ่ให้รอดตลอดชั่วนิรันดร์  และทั้งหมดนี้ก็เพื่อยกระดับมนุษย์ขึ้นมาจากการพินาศและความเสื่อมสลายของบาป  เพื่อให้มนุษย์ได้สะท้อนความรักของพระเจ้าและมีส่วนร่วมในความสุขของความบริสุทธิ์  {SC 14:3}
                ค่าไถ่ที่จ่ายไปเพื่อไถ่เราให้รอด  ซึ่งเป็นการเสียสละที่เหลือคณานับของพระบิดาบนสวรรค์ที่ทรงประทานพระบุตรของพระองค์ให้มาสิ้นพระชนม์แทนเรานั้น  ควรทำให้เรามีแนวคิดที่สูงส่งว่า  โดยทางพระคริสต์เราจะเป็นคนเช่นไร  ขณะที่อัครทูตยอห์นผู้ได้รับการดลใจได้มองเห็นความสูง  ความลึกและความกว้างของความรักของพระบิดาที่มีต่อเผ่าพันธุ์ที่กำลังจะพินาศนั้น  ท่านเปี่ยมล้นด้วยการเทิดทูนและความเคารพ  ท่านไม่สามารถหาคำพูดที่เหมาะสมเพื่อมาบรรยายถึงความยิ่งใหญ่และความนุ่มนวลของความรักนี้ได้  ท่านจึงเชิญชวนให้โลกมาดูว่า จงดูเถิด  พระบิดาทรงโปรดประทานความรักแก่เราทั้งหลายเพียงไร  ที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า (1 ยอห์น 3:1) สิ่งที่มนุษย์เราได้รับนั้น  ช่างมีคุณค่าสูงอะไรเช่นนี้  แต่เนื่องจากมนุษย์ได้กระทำผิด  พวกเขาจึงตกไปอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตาน  โดยทางความเชื่อในการเสียสละของพระคริสต์ที่ทรงประทานพระองค์เองมาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป  เหล่าบุตรของอาดัมจะได้กลายมาเป็นบุตรของพระเจ้า  เมื่อพระคริสต์ทรงรับธรรมชาติของมนุษย์มาไว้กับตัวพระองค์เองแล้ว  พระองค์ได้ทรงยกระดับมนุษยชาติขึ้น  โดยการสัมพันธ์กับพระคริสต์  มนุษย์ที่ล้มลงในบาปจึงจะคู่ควรกับการได้ชื่อว่าเป็น  บุตรของพระเจ้า  อย่างแท้จริง  {SC 15.1}
                ไม่มีสิ่งใดจะมาเทียบเท่ากับความรักเช่นนี้ได้  เราได้เป็นบุตรของพระราชาแห่งสรวงสวรรค์  นี่เป็นพระสัญญาที่ประเสริฐยิ่ง  เป็นหัวข้อที่ลึกซึ่งที่สุดที่เราจะใช้ในการใคร่ครวญ  ความรักที่ไม่มีรักใดเปรียบได้ของพระเจ้าที่ให้กับโลกที่ไม่รักพระองค์  ความคิดเช่นนี้มีอำนาจควบคุมจิตวิญญาณและนำความคิดให้มาอยู่ภายใต้น้ำพระทัยของพระเจ้า  ยิ่งเราศึกษาพระลักษณะของพระเจ้าภายใต้ความสว่างของกางเขนมากขึ้นเพียงไร  เราก็จะยิ่งมองเห็นพระเมตตาคุณความอ่อนโยนและการอภัยที่ประสานกันด้วยความมีเหตุผลและยุติธรรมได้มากขึ้นเท่านั้น  และเราก็จะมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นถึงหลักฐานมากมายของความรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัด  และความเมตตาสงสาร  ที่มีมากกว่าเสียงร้องน่าสงสารของแม่ที่ตามหาลูกที่หลงหายไป  {SC 15.2}


เคล็ดลับที่ 2
คนบาปต้องการพระเยซู

                เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาตั้งแต่แรกนั้น  มนุษย์มีความสามารถเป็นเลิศและมีความคิดอย่างสมดุลที่สุด  เขาเป็นคนสมบูรณ์แบบและร่วมกันเป็นหนึ่งกับพระเจ้า  ความคิดของเขาบริสุทธิ์  เป้าหมายของเขาสูงส่งแต่เพราะความไม่เชื่อฟัง  เขาจึงนำความสามารถต่างๆ ไปใช้ในทางที่ผิด  และความเห็นแก่ตัวก็เข้ามาแทนที่ความรัก  การล่วงละเมิดทำให้ธรรมชาติของเขาอ่อนแอลงจนไม่มีพละกำลังที่จะต้านอำนาจของความบาปได้  เขาจึงถูกซาตานควบคุมไว้  และคงจะต้องเป็นเช่นนั้นไปตลอดกาล  ถ้าพระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงเข้ามาแทรกแซงเป็นกรณีพิเศษ  เป็นเป้าหมายของจอมหลอกลวงที่ต้องการทำลายแผนการของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์  และทำให้โลกนี้เต็มล้นไปด้วยความทุกข์ยากและความอ้างว้าง  และมันก็จะชี้ว่าความเลวร้ายทั้งหมดนี้เป็นผลจากพระเจ้าพระราชกิจของพระเจ้าที่ได้สร้างมนุษย์  {SC 17.1}
                มนุษย์ที่ปราศจากบาปได้สื่อสัมพันธ์อย่างมีความสุขกับพระเจ้าผู้ทรงเป็น คลังสติปัญญา และความรู้ทุกอย่างทรงปิดซ่อนไว้ในพระองค์ (โคโลสี 2:3)  แต่หลังจากมนุษย์ได้ทำบาป เขาไม่ได้ชื่นชอบกับความบริสุทธิ์อีกต่อไป  และเขาพยายามซ่อนตัวให้พ้นจากเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า  นี่คือสภาพของจิตใจที่ยังมิได้รับการเปลี่ยนแปลง  และไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า  และการสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้าไม่ได้สร้างความสุขอันให้แก่เขา  คนบาปไม่มีความสุขที่ได้อยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า  เขาจะหลบหนีให้พ้นจากการต้องเข้าสนิทสนมกับบรรดาผู้บริสุทธิ์  ถ้าหากเขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสวรรค์  การอยู่ในสวรรค์ก็ไม่ได้สร้างความสุขให้แก่เขา  เพราะที่นั่นปกครองด้วยวิญญาณแห่งความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว  จิตใจทุกดวงตอบสนองต่อพระทัยที่เต็มไปด้วยความรักอันไร้ขอบเขตจำกัดของพระเจ้า   ซึ่งจิตใจของคนบาปไม่อาจที่จะสื่อกับความรักเช่นนี้ได้  ความนึกคิด  ความสนใจ  และแรงบันดาลใจของเขาจะเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดสำหรับชาวเมืองที่ปราศจากบาป  เขาจะกลายเป็นเพียงเสียงเพี้ยนที่ประสานให้เข้ากับเสียงเพลงอันไพเราะของชาวสวรรค์ไม่ได้  สรวงสวรรค์จะกลายเป็นความสว่างและเป็นศูนย์กลางแห่งความชื่นชมยินดี  บรรดาคนชั่วถูกกีดกันออกจากสวรรค์  ไม่ได้เป็นเพราะพระบัญชาอันไร้เหตุผลของพระเจ้า  แต่แท้จริงแล้ว  การที่พวกเขาไม่สามารถเข้ามาร่วมปฏิสัมพันธ์กับชาวสวรรค์ต่างหากที่ได้กีดกันพวกเขาออกไป  พระสิริของพระเจ้าจะเป็นดั่งไฟเผาผลาญพวกเขา  พวกเขาคงปรารถนาการทำลายเพื่อจะได้หนีไปให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ผู้ทรงยอมสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่พวกเขา {SC 17.2}
                โดยลำพังตัวของเราเอง  เราหลบหนีให้พ้นหลุมพรางแห่งความบาปที่เรากำลังจมดิ่งลงไปไม่ได้  จิตใจของเรานั้นชั่ว  และเปลี่ยนแปลงไม่ได้  ใครจะเอาสิ่งสะอาดออกมาจากสิ่งไม่สะอาดได้  ไม่มีใครสักคน  เหตุว่าใจซึ่งปักอยู่กับเนื้อหนังนั้นก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า  หาได้อยู่ใต้บังคับธรรมบัญญัติของพระเจ้าไม่และที่จริงจะอยู่ใต้บังคับธรรมบัญญัตินั้นไม่ได้ (โยบ 14:4; โรม 8:7)  การศึกษา  วัฒนธรรม  ความตั้งใจ  ความพยายามของมนุษย์  ล้วนมีอิทธิพลที่เหมาะสมในตัวของมันเอง  แต่ในโลกนี้  สิ่งเหล่านี้กลับไม่มีอำนาจ  สิ่งเหล่านี้อาจจะมีผลที่ดีต่อพฤติกรรมภายนอก  แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจได้  และก็ไม่สามารถชำระน้ำพุแห่งชีวิตให้บริสุทธิ์ได้  จำเป็นที่จะต้องมีอำนาจที่มาจากภายใน  ซึ่งเป็นชีวิตใหม่ที่มาจากเบื้องบนที่จะเปลี่ยนแปลงมนุษย์จากความบาปไปสู่ความบริสุทธิ์ได้  พลังอำนาจนั้น   คือ  พระคริสต์  พระคุณของพระองค์เท่านั้นที่สามารถปลุกจิตวิญญาณที่ไร้ชีวิตชีวาขึ้นมา  และดึงดูดให้จิตวิญญาณนั้นกลับเข้ามาหาพระเจ้า  เข้ามาหาความบริสุทธิ์  {SC 18.1}       
                พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่  ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้ (ยอห์น 3:3)  เขาจะต้องได้รับจิตใจดวงใหม่  ความปรารถนาใหม่  จุดมุ่งหมายของชีวิตใหม่  และแรงบันดาลใหม่  เพื่อนำเขาไปสู่ชีวิตใหม่  ความคิดที่ว่า  เพียงแค่พัฒนาสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ก็เป็นการเพียงพอแล้ว  ความคิดเช่นนี้เป็นการหลอกลวงที่อันตรายถึงตาย แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้  เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา  และเขาไม่สามารถเข้าใจได้  เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ อย่างประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า  ท่านทั้งหลายต้องบังเกิดใหม่ (1โครินธ์ 2:14; ยอห์น 3:7) พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บันทึกถึงพระคริสต์ว่า  พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต  และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย  ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้  ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า (ยอห์น 1:4; กิจการของอัครทูต 4:12) {SC 18.2}
                การเข้าใจพระกรุณาที่เต็มด้วยความรักของพระเจ้า  การมองเห็นพระเมตตาคุณและความเอ็นดูเยี่ยงความรักของพ่อที่มีอยู่ในพระลักษณะนิสัยของพระองค์นั้นไม่เป็นการเพียงพอ  การมองเห็นพระปัญญาและความยุติธรรมที่มีอยู่ในพระบัญญัติของพระเจ้า และมองเห็นว่าพระบัญญัติตั้งอยู่บนหลักการแห่งความรักที่นิรันดร์นั้นก็ยังไม่เป็นการเพียงพอ  อัครทูตเปาโลเข้าใจสิ่งทั้งหมดนี้  เมื่อท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้ายอมรับว่าธรรมบัญญัตินั้นดี  “เหตุฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงเป็นสิ่งบริสุทธิ์และข้อบัญญัติก็บริสุทธิ์ยุติธรรมและดีงาม  แต่ด้วยจิตวิญญาณที่เศร้าหมองและสิ้นหวัง  เปาโลได้กล่าวเพิ่มเติมด้วยความขมขื่นว่า แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ถูกขายไว้ให้อยู่ใต้บาป (โรม 7:16, 12, 14)  เปาโลปรารถนาความบริสุทธิ์  ความชอบธรรม  ซึ่งในตัวเขาเองไม่มีอำนาจที่จะครอบครองสิ่งนี้ได้  และจึงร้องออกมาว่า โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้  ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ซึ่งเป็นของความตายได้ (โรม  7:24)  เสียงร้องคร่ำครวญจากจิตใจที่ปวดร้าวเช่นนี้มีให้ได้ยินจากทั่วทุกหนแห่งและตลอดทุกยุคทุกสมัย  แต่มีคำตอบอยู่เพียงคำตอบเดียวที่มีไว้สำหรับทุกคน  นั่นคือ จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า  ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย (ยอห์น 1:29) {SC 19.1}
                มีบุคคลมากมายซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสาะแสวงหาเพื่อให้เขาได้รับรู้ความจริง  และเพื่อให้ความกระจ่างแจ้งแก่จิตวิญญาณทั้งหลายที่อยากหลุดพ้นจากภาระหนักของความผิดบาป  ภายหลังจากที่ยาโคบได้หลอกเอซาวแล้ว  เขาได้หลบหนีออกจากบ้านของบิดา  เขาถูกกดดันด้วยความรู้สึกผิด  ในขณะที่เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวและไร้ที่อยู่อาศัย  ถูกตัดขาดจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ครั้งหนึ่งเคยมีค่าต่อชีวิตของเขา  แต่ความคิดหนึ่งที่บีบคั้นเขามากกว่าความคิดอื่นๆ คือ  เขากลัวว่าความบาปของเขาทำให้เขาถูกตัดขาดจากพระเจ้า  และจะถูกสวรรค์ทอดทิ้ง  เขาเอนตัวลงนอนบนพื้นดินที่ว่างเปล่าด้วยความโศกเศร้า  รอบตัวมีแต่เนินเขาที่อ้างว้าง  และเหนือขึ้นไปก็มีแต่ท้องฟ้าที่สว่างสดใจด้วยแสงดาว  ในขณะที่เขานอนหลับอยู่นั้น  เขาได้เห็นแสงประหลาดส่องเจิดจ้ามา  และดูเถิด  จากพื้นราบที่เขานอนอยู่นั้น  มีบันไดลึกลับขนาดมหึมาทอดสูงขึ้นไปจนถึงประตูแห่งสวรรค์  และมีบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าเดินขึ้นลงบันไดนั้น  และจากรัศมีเจิดจ้าที่มาจากเบื้องบน  เขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสข้อความที่ปลอบประโลมใจและให้ความหวัง  จึงทำให้ยาโคบรู้สึกว่า  จิตวิญญาณของเขาได้พบกับสิ่งที่เขาต้องการและโหยหามาช้านาน  นั่นก็คือพระผู้ช่วยให้รอด  เขาเปี่ยมล้นไปด้วยความชื่นชมยินดีและขอบพระคุณ  เมื่อเขามองเห็นหนทางที่ได้เปิดเผยให้แก่เขาได้รู้ว่า  ในสภาพที่เป็นคนบาปเขายังฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้  บันไดลึกลับในฝันของเขานั้นเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระเยซู  ผู้ทรงเป็นสื่อกลางเพียงหนึ่งเดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ {SC 19.2}
                พระคริสต์ทรงใช้สัญลักษณ์เดียวกันนี้เมื่อพระองค์สนทนากับนาธานาเอล  พระองค์ทรงตรัสว่า ท่านจะได้เห็นท้องฟ้าเบิกออก  และบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์ (ยอห์น 1:5)  เมื่อมนุษย์ละทิ้งพระเจ้า  เขาได้นำตัวเองให้เหินห่างไปจากพระองค์  โลกก็ถูกตัดขาดจากสวรรค์  ไม่มีการติดต่อระหว่างสองฟากฝั่งที่ถูกเหวลึกขวางกั้นได้  แต่โดยผ่านทางพระคริสต์  โลกจึงเชื่อมต่อกับสวรรค์ได้อีกครั้งและด้วยความดีที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้  พระคริสต์ได้เชื่อมต่อสองฟากฝั่งของเหวลึกที่เกิดจากความบาป  เพื่อว่าเหล่าทูตสวรรค์ผู้รับใช้จะสื่อสัมพันธ์กับมนุษย์ได้  พระคริสต์ทรงนำมนุษย์ที่ล้มลงด้วยความอ่อนแอและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มาเชื่อมต่อกับพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของพลังอำนาจที่ไม่มีขอบเขตจำกัด {SC 20.1}
                ถ้ามนุษย์ไม่สนใจพระองค์ผู้ทรงเป็นบ่อเกิดแห่งความหวังและการช่วยเหลือเพียงแหล่งเดียวของมนุษยชาติที่ได้ล้มลงแล้ว  ความใฝ่ฝันถึงความก้าวหน้าของพวกเขาก็ไร้ประโยชน์  ความพยายามทั้งสิ้นที่จะยกระดับมนุษยชาติก็ไม่เกิดผล  ของประทานอันดีทุกอย่างและของประทานอันเลิศทุกอย่าง  ย่อมมาจากพระเจ้า  (ยากอบ 1:17)  เมื่อเราเหินห่างออกไปจากพระองค์  อุปนิสัยที่ดีเลิศอย่างแท้จริงก็จะไม่เกิดขึ้น  และทางเดียวที่เราจะไปให้ถึงพระเจ้าได้คือไปทางพระคริสต์  พระองค์ทรงตรัสว่า  เราเป็นทางนั้น  เป็นความจริงและเป็นชีวิต  ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา  (ยอห์น 14:6)  {SC 21.1}
                พระทัยของพระเจ้าถวิลหาบรรดาลูกๆ ของพระองค์ซึ่งอยู่บนโลกใบนี้ด้วยความรักมั่นคงที่ไม่หวั่นเกรงแม้ความตาย  เมื่อพระเจ้าทรงประทานพระบุตรของพระองค์ลงมานั้น  พระองค์ทรงประทานทุกสิ่งที่มีอยู่ในสวรรค์ลงมาในของขวัญล้ำค่าชิ้นนั้น  ชีวิตและความตายและการร้องขอความกรุณาขององค์พระผู้ช่วยให้รอด  การรับใช้ของทูตสวรรค์  การวิงวอนของพระวิญญาณ  พระราชกิจของพระเจ้าทั้งจากเบื้องบนและตลอดเวลาที่ผ่านมา  ความสนใจและเอาใจใส่อย่างไม่หยุดหย่อนของเหล่าชาวสวรรค์  ทุกอย่างที่กล่าวมานี้มีไว้เพื่อการไถ่มนุษย์  {SC 21.2}
                ให้เราไตร่ตรองถึงการเสียสละอันน่าอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อเราทั้งหลาย  ให้เราถึงพอใจกับแรงงานและพลังงานที่พระเจ้าได้ทรงใช้ไปเพื่อกอบกู้ผู้ที่หลงหายและนำกลับคืนสู่บ้านของพระบิดา  ไม่มีแรงจูงใจใดที่แกร่งกล้ากว่าหรือหน่วยงานใดที่มีอำนาจมากกว่าจะสามารถทำการกอบกู้นี้ได้  ลองคิดถึงรางวัลยิ่งใหญ่สำหรับการทำในสิ่งที่ถูกต้อง  ความเบิกบานหรรษาในสวรรค์  การเข้าร่วมสังคมกับเหล่าทูตสวรรค์  การได้สื่อสัมพันธ์และเป็นที่รักของพระเจ้าและของพระบุตร  การที่เราจะได้รับความสามารถทั้งหมดที่ดีขึ้นและเพิ่มมากขึ้นตลอดชั่วนิรันดร  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แรงจูงใจและกำลังใจให้เรามอบจิตใจเพื่อการรับใช้ด้วยความรักแด่พระผู้สร้างและพระผู้ไถ่ของเราหรือ  {SC 21.3}
                และในทางกลับกัน  พระวจนะของพระเจ้าได้บรรยายถึงเรื่องพระเจ้าที่พิพากษาความบาป  ผลของความบาปที่เลี่ยงไม่ได้  อุปนิสัยของเราที่ตกต่ำลงและเมื่อความบาปจะถูกทำลายไปในที่สุด  ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตือนพวกเราทุกคนว่าให้ระวังอย่าไปรับใช้ซาตาน  {SC 21.4}
                เราจะไม่ใส่ใจต่อพระเมตตาคุณของพระเจ้าหรือ  พระองค์จะต้องทำอะไรมากกว่านี้อีกหรือ  ให้เรานำตัวของเราเข้าไปอยู่ในความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์ผู้ทรงรักเราด้วยความรักอันประเสริฐ  ให้เราฉวยโอกาสด้วยวิถีทางที่ได้จัดเตรียมไว้ให้แก่เรา  เพื่อเราจะถูกเปลี่ยนแปลงจนเป็นเหมือนพระองค์และได้ฟื้นฟูสัมพันธภาพใหม่กับเหล่าทูตสวรรค์ผู้รับใช้  จนได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและมีส่วนร่วมกับพระบิดาและพระบุตร  {SC 22.1}

เคล็ดลับที่ 3
การกลับใจ

                มนุษย์จะทำตัวให้เป็นคนเที่ยงธรรมจำเพาะพระเจ้าได้อย่างไร  คนบาปจะทำตัวให้เป็นคนชอบธรรมได้อย่างไร  โดยทางพระคริสต์เท่านั้นที่เราจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระเจ้าและร่วมในความบริสุทธิ์ของพระองค์ได้  แต่เราจะเข้ามาหาพระคริสต์ได้อย่างไร  มีคนมากมายได้ถามคำถามเดียวกันกับฝูงชนที่สำนึกในบาปถามกันในวันเพ็นเทคศเตว่า  เราจะทำอย่างไรดี  ประโยคแรกที่เปโตรตอบคือ  จงกลับใจใหม่  (กิจการของอัครทูต  2:37, 38)  หลังจากนั้นไม่นาน  ท่านได้พูดอีกว่า  จงหันกลับและตั้งใจใหม่   เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย  (กิจการของอัครทูต 3:19{SC 23.1}
                การกลับใจจะต้องมีการเสียใจในความบาปที่ได้ทำลงไปและหันหลังให้กับบาปนั้น  เราจะไม่ละทิ้งความบาปนอกเสียจากว่าเราจะมองเห็นความชั่วร้ายของมัน  ชีวิตของเราจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงจนกว่าเราจะหันหลังให้กับความบาปด้วยความเต็มใจ  {SC 23.2}
                มีคนมากมายที่ไม่เข้าใจธาตุแท้ของการกลับใจ  คนมากมายเสียใจกับความบาปที่ได้ทำลงไปและยังแสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงภายนอกเพราะกลัวว่าความผิดของเขาจะนำความทุกข์ยากมายังตัวเขาเอง  แต่นี่ไม่ใช้การกลับใจที่พระคัมภีร์ได้สอนไว้  พวกเขาโศกเศร้าให้กับความทุกข์ยากแทนที่จะโศกเศร้าให้กับการบาป  เอซาวตกลงสู่ความโศกเศร้าทุกข์ใจเช่นนี้เมื่อเขารู้สึกตัวว่าได้สูญเสียสิทธิบุตรหัวปีไปตลอดกาล  บาลาอัมตกใจกลัวเมื่อเห็นทูตสวรรค์ยืนถือดาบขวางอยู่กลางทาง  เขายอมรับผิดเพราะกลัวตาย  แต่ไม่ได้กลับใจจากความบาปอย่างจริงใจ  เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงความตั้งใจและไม่ได้รังเกียจความชั่วของเขา  เมื่อยูดาส  อิสคาริโอทได้ทรยศพระอาจารย์ของเขาแล้วเขาได้ร้องอุทานขึ้นมาว่า  ข้าพเจ้าทำบาปที่ได้อายัดคนบริสุทธิ์มาให้ถึงความตาย  (มัทธิว  27:4)  {SC 23.3}
                คำสารภาพเช่นนี้ถูกบีบคั้นออกมาจากจิตใจที่รู้สึกผิด  โดยกลัวว่าจะถูกกำหนดโทษและกลัวการพิพากษาที่เขาจะต้องเผชิญ  ตัวเขาเต็มล้นไปด้วยความหวาดผวาต่อผลที่เขาจะได้รับ  แต่ภายในจิตวิญญาณของเขา  เขาไม่ได้เสียใจอย่างลึกซึ้งและไม่มีความปวดร้าวอยู่ภายในใจของเขา  เขาได้ทรยศพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงปราศจากความผิดและปฏิเสธองค์ผู้บริสุทธิ์ของชนชาติอิสราเอล  เมื่อฟาโรห์ต้องตกลงสู่ความทุกข์ในการพิพากษาของพระเจ้า  เขายอมรับบาปของเขาเพียงเพื่อให้หลุดพ้นจากการต้องรับโทษเพิ่มเติม  แต่เขาหวนกลับเยาะเย้ยพระเจ้าแห่งสวรรค์อีกในทันทีที่ภัยพิบัติสงบลง  คนเหล่านี้โศกเศร้ากับผลของความบาป  แต่ไม่ได้เสียใจให้กับบาปที่ได้ทำไป  {SC 24.1}
                แต่เมื่อหัวใจยอมอยู่ภายใต้อิทธิพลพระวิญญาณของพระเจ้า  ความสำนึกของเขาก็จะตื่นขึ้น  และคนบาปก็จะเข้าใจสิ่งที่ล้ำลึกและศักดิ์สิทธิ์บางประการที่มีอยู่ในพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า  ซึ่งเป็นพื้นฐานการปกครองของทั้งในสวรรค์และในโลก  แสงสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงนั้นได้แม้ขณะนั้นกำลังเข้ามาในโลก  ได้ส่องเข้าไปในห้องชั้นในของวิญญาณและทำให้มองเห็นสิ่งของที่ซ่อนอยู่ในความมืด (ยอห์น 1:9)  ความรู้สึกสำนึกจะเกิดขึ้นภายในความนึกคิดและในจิตใจ  คนบาปจะรู้สึกถึงความชอบธรรมของพระเยโฮวาห์และรู้สึกกลัวที่จะต้องไปปรากฏอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงตรวจสอบจิตใจพร้อมกับสภาพที่ผิดและไม่สะอาดตาของเขา  เขามองเห็นความรักของพระเจ้า  ความบริสุทธิ์ที่งดงามยิ่ง  ความบริสุทธิ์ที่น่าชื่นชม  เขาหวังที่จะได้รับการชำระและนำกลับคืนไปสู่การสื่อสัมพันธ์กับสวรรค์  {SC 24.2}
                คำอธิษฐานของดาวิดหลังจากที่ท่านล้มลงในความบาปเป็นแบบอย่างที่แสดงให้เห็นถึงสภาพของความเสียใจต่อความบาปอย่างแท้จริง  การกลับใจของท่านนั้นจริงใจและลึกซึ้ง  คำอธิษฐานของท่านไม่ได้เกิดจากความพยายามที่จะลดโทษความผิดของท่านลงไป  หรือต้องการหลีกเลี่ยงการพิพากษาที่ท่านจะต้องเผชิญ  ดาวิดมองเห็นถึงความเลวร้ายของการล่วงละเมิดของตนเอง  ท่านมองเห็นความสกปรกในจิตวิญญาณของท่าน  ท่านรังเกียจบาปของท่าน ท่านอธิษฐานไม่ใช่เพียงเพื่อขอการอภัยเท่านั้น  แต่ได้ทูลขอจิตใจที่บริสุทธิ์ด้วย  ท่านปรารถนาที่จะได้รับความบริสุทธิ์ที่ก่อให้เกิดความสุข  เพื่อจะได้กลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและเข้าสัมพันธ์กับพระเจ้า  คำพูดที่ออกมาจากจิตวิญญาณของท่านมีอยู่ว่า
                บุคคลผู้ซึ่งได้รับอภัยการละเมิดแล้วก็เป็นสุข
                คือผู้ทรงกลบเกลื่อนบาปให้นั้น
                บุคคลซึ่งพระเจ้ามิได้ทรงถือโทษก็เป็นสุข
                คือผู้ที่ไม่มีการหลอกลวงในใจของเขา
                (สดุดี 32:1, 2)
                ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงแสดงพระกรุณาต่อข้าพระองค์
                ตามความรักมั่นคงของพระองค์
                ขอทรงลบการทรยศของข้าพระองค์ออกไป
                ตามแต่พระกรุณาอันอุดมของพระองค์.....
                เพราะข้าพระองค์ทราบถึงการละเมิดของข้าพระองค์แล้ว
                และบาปของข้าพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพระองค์เสมอ.....
                ขอทรงชำระข้าพระองค์ด้วยต้นหุสบ  ข้าพระองค์จึงจะสะอาด
                ขอทรงล้างข้าพระองค์  และข้าพระองค์จะขาวกว่าหิมะ.....
                ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์
                และฟื้นน้ำใจที่หนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์
                ขออย่าทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ไปเสียจากเบื้องพระพักตร์พระองค์
                และขออย่าทรงนำวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ไปจากข้าพระองค์
                ขอทรงคืนความชื่นบานในความรอดแก่ข้าพระองค์
                และชูข้าพระองค์ไว้ด้วยเต็มพระทัย.....
                ข้าแต่พระเจ้า  คือพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์
                ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากกรรมชั่วเพราะทำโลหิตเขาตก
                และลิ้นของข้าพระองค์จะร้องเพลงเรื่อง  การช่วยกู้ของพระองค์
                (สดุดี 51:1-14)  {SC 24.3}
                การกลับใจเช่นนี้อยู่ไกลเกินกว่าอำนาจของเราเองที่จะกระทำให้สำเร็จได้  การกลับใจเช่นนี้จะได้มาโดยทางพระคริสต์เท่านั้น  พระองค์เสด็จขึ้นไปยังที่สูงแล้วและทรงประทานของขวัญให้แก่บรรดามนุษย์  {SC 25.1}
                มีคนมากมายเข้าใจเรื่องนี้ผิดไปและจึงไม่ได้รับการทรงช่วยที่พระคริสต์  ทรงปรารถนาจะประทานให้แก่พวกเขา  พวกเขาคิดว่าจะเข้ามาหาพระคริสต์ไม่ได้นอกเสียจากได้กลับใจแล้วและการกลับใจนี้จะเตรียมเขาให้พร้อมเพื่อรับการอภัยจากบาป  จริงอยู่การกลับใจจะต้องเกิดขึ้นก่อนการอภัยบาป  มีเพียงจิตใจที่สำนึกผิดและชอกช้ำที่จะรู้สึกว่าเขาต้องการพระผู้ช่วยให้รอด  แต่คนบาปจะต้องรอจนกว่าเขากลับใจเรียบร้อยแล้วจึงเข้ามาหาพระเยซูหรือ  จะต้องปล่อยให้การกลับใจเป็นอุปสรรค์ระหว่างคนบาปและพระผู้ช่วยให้รอดหรือ {SC 26.1}
                พระคัมภีร์ไม่ได้สอนว่าคนบาปจะต้องกลับใจก่อนแล้วจึงตอบสนองคำเชิญของพระคริสต์ได้  บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา  และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข  (มันธิว 11:28)  เป็นเพราะพระคุณความดีที่ออกมาจากพระคริสต์ต่างหากที่นำให้เกิดการกลับใจที่แท้จริง  เมื่อเปโตพูดกับชนชาติอิสราเอลถึงเรื่องนี้  ท่านได้อธิบายอย่างแจ่มแจ้งว่า  พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์  ให้เป็นองค์พระผู้นำและองค์พระผู้ช่วยให้รอด  เพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่แล้วจะทรงโปรดยกความบาปผิดของเขา  (กิจการของอัครทูต 5:31)  เรากลับใจไม่ได้เมื่อปราศจากพระวิญญาณของพระคริสต์ที่จะปลุกจิตสำนึกของเราให้ตื่นขึ้นฉันใด  เราก็จะรับการอภัยบาปไม่ได้เมื่อปราศจากพระคริสต์ฉันนั้น  {SC 26.2}
                พระคริสต์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของแรงบันดาลใจที่ดีทั้งปวง  พระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะทรงปลูกฝังความเป็นคู่อริต่อความบาปเข้าไปในจิตใจได้  ในทุกความปรารถนาที่อยากได้ความจริงและความบริสุทธิ์  ในทุกความสำนึกที่มีต่อบาปหนาของเรา  ล้วนเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณของพระองค์กำลังขับเคลื่อนอยู่ในหัวใจของเรา  {SC 26.3}
                พระเยซูตรัสไว้ว่า  เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว  เราก็จะชักนำคนเป็นอันมากให้มาหาเรา  (ยอห์น 12:32)  เราจะต้องเปิดเผยให้คนบาปมองเห็นว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อความบาปของโลก  และเมื่อเรามองดูพระเมษโปดกของพระเจ้าบนกางเขนแห่งคาล์วารี  ความลึกลับของการไถ่บาปจะเริ่มปรากฏขึ้นในสมองของเราและพระคุณความดีของพระเจ้าจะทรงนำเราให้กลับใจ  ในการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์เพื่อคนบาปนั้น  พระองค์ทรงสำแดงให้เห็นความรักที่เราไม่อาจจะเข้าใจได้  และเมื่อคนบาปมองดูความรักนี้ ความรักนี้จะทำให้จิตใจอ่อนลง  ประทับลงในความคิดและดลบันดาลให้จิตวิญญาณเกิดการสำนึกผิด  {SC 26.4}
                จริงอยู่  ในบางครั้งมนุษย์อาจจะรู้สึกอับอายต่อชีวิตบาปของเขาและละทิ้งนิสัยชั่วบางประการของเขาไป  ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวว่าเขากำลังถูกชักนำเข้าไปหาพระคริสต์  แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาพยายามปฏิรูปด้วยความตั้งใจจริงที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว  นั่นก็เป็นเพราะอำนาจของพระคริสต์กำลังชักนำเขาอยู่เป็นอิทธิพลที่ทำงานในจิตวิญญาณของเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว  และปลุกจิตใต้สำนึกของเขาให้ตื่นขึ้น  และชีวิตภายนอกของเขาก็ได้รับการเปลี่ยนแปลง  และในขณะที่พระคริสต์ทรงชักนำให้เขาหันกลับไปมองกางเขนของพระองค์  มองดูความบาปของเขาที่ได้แทงพระองค์  พระบัญญัติของพระเจ้าจะกลับเข้ามายังสามัญสำนึกของเขา  ความบาปชั่วในชีวิตของเขาและที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณก็จะถูกเปิดเผยให้เขามองเห็น  พวกเขาจะเริ่มเข้าใจเรื่องความชอบธรรมของพระคริสต์ได้บางส่วนและร้องออกมาว่า  ความบาปคืออะไรหนอที่ทำให้ต้องมีการเสียสละมากมายเช่นนี้เพื่อไถ่บาปของเหยื่อเหล่านั้น  จะต้องใช้ความรักทั้งหมดนี้  การทรมานทั้งหมดนี้  การขายหน้าทั้งหมดนี้เพื่อให้เราไม่ต้องพินาศและมีชีวิตนิรันดร์หรือ  {SC 27.1}
                คนบาปอาจต่อต้านความรักนี้  เขาอาจปฏิเสธไม่ยอมเข้ามาหาพระคริสต์  แต่หากเขาไม่ดื้อดึง  เขาก็จะถูกชักนำให้เข้ามายังพระเยซู  ความรู้เรื่องแผนการ  แห่งการไถ่ให้รอดจะนำเขาเข้าไปยังกางเขนด้วยการกลับใจจากบาปของเขา  ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้พระบุตรของพระเจ้าต้องได้รับความทุกข์ทรมาน  {SC 27.2}
                พระปัญญาเดียวกันกับที่กระทำการในธรรมชาติกำลังตรัสกับจิตใจของมนุษย์และก่อให้เกิดความกระหายในสิ่งที่เขาไม่มี  สิ่งของในโลกสร้างความพึงพอใจให้แก่เขาไม่ได้  พระวิญญาณของพระเจ้ากำลังอ้อนวอนเขาให้ค้นหาสิ่งเดียวที่จะให้สันติสุขและการพักผ่อนได้  สิ่งนั้นคือพระคุณของพระคริสต์ซึ่งเป็นความสุขที่บริสุทธิ์  พระผู้ช่วยให้รอดทรงกระทำการอยู่อย่างต่อเนื่องโดยผ่านทางอิทธิพลที่ตามองเห็นและมองไม่เห็น  เพื่อดึงดูดความคิดของมนุษย์ให้ออกจากความสุขสำราญของความบาปที่ไม่รู้จักอิ่มไปยังพระพรของพระเจ้าที่จะตกเป็นของเขาเมื่อเขาอยู่ในพระองค์  สำหรับจิตวิญญาณเหล่านี้ที่ยังค้นหาเพื่อที่จะดื่มน้ำจากถึงน้ำแตกของโลกแต่ต้องพบกับความผิดหวังนั้น  ข่าวของพระเจ้าที่มายังเขาคือ  ให้ผู้ที่กระหายเข้ามา  ผู้ใดมีใจปรารถนาก็ให้ผู้นั้นมารับน้ำแห่งชีวิต  โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย  (วิวรณ์  22:17)  {SC 28.1}
                สำหรับท่านที่มีจิตใจปรารถนาที่จะได้บางสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่โลกนี้จะมอบให้ได้นั้น  จะมองเห็นว่าความปรารถนานี้เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับวิญญาณจิต  จงทูลขอให้พระองค์ทรงประทานการกลับใจให้แก่ท่าน  ขอพระองค์ทรงเปิดเผยพระคริสต์ให้แก่ท่านด้วยความรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัด  ให้ท่านมีความบริสุทธิ์อันไพบูลย์ของพระองค์  ชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอดเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของหลักการแห่งพระบัญญัติของพระเจ้า  หลักการนั้นคือรักพระเจ้าและรักมนุษย์  ความเมตตากรุณาและความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวเป็นชีวิตของวิญญาณของพระองค์  ในขณะที่เราเฝ้ามองพระองค์เมื่อแสงสว่างจากพระผู้ช่วยให้รอดส่องลงมายังเรา  เราก็จะมองเห็นจิตใจของเราเองที่เต็มไปด้วยความบาป  {SC 28.2}
                เราอาจมีลักษณะเหมือนนิโคเดมัสที่ยกยอตัวเราเองว่าชีวิตของเรานั้นซื่อตรง  อุปนิสัยทางฝ่ายศีลธรรมของเราถูกต้องและคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องถ่อมใจลงต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเหมือนเช่นคนบาปทั่วไป  แต่เมื่อแสงสว่างจากพระคริสต์ส่องลงมายังจิตวิญญาณของเราแล้ว  เราก็จะมองเห็นว่าเราเองนั้นเปรอะเปื้อนเพียงไร  เราจะมองเห็นความตั้งใจที่เห็นแก่ตัว  ความเป็นคู่อริกับพระเจ้าทำให้ทุกสิ่งที่เราทำลงไปนั้นเป็นมลทิน  แล้วเราจะได้รู้ว่าความชอบธรรมของเรานั้นแท้จริงแล้วเป็นแต่เพียงผ้าขี้ริ้ว  และมีเพียงพระโลหิตของพระคริสต์เท่านั้นที่จะชำระเราจากความสกปรกของบาปและเปลี่ยนจิตใจของเราใหม่ให้เหมือนของพระองค์ได้  {SC 28.3}
                แสงแห่งพระสิริของพระเจ้าเพียงลำแสงเดียว  ความบริสุทธิ์ของพระคริสต์เพียงแวบเดียวที่ส่องทะลุผ่านจิตวิญญาณจะทำให้มองเห็นรอยเปื้อนของมลทินได้  มองเห็นทุกรอยได้อย่างเด่นชัดจนน่าเจ็บปวดและจะเปิดเผยความผิดปกติและจุดบกพร่องในอุปนิสัยของมนุษย์  ทำให้เขามองเห็นความปรารถนาที่ไม่ได้ผ่านการชำระ  หัวใจที่ไม่สัตย์ซื่อ  ริมฝีปากที่ไม่บริสุทธิ์  การกระทำที่ไม่จงรักภักดีของคนบาปในการลบล้างธรรมบัญญัติจะถูกเปิดออกให้เขามองเห็น  และภายใต้อิทธิพลการตรวจสอบของพระวิญญาณของพระเจ้า  วิญญาณจิตของเขาจะได้รับผลกระทบและเกิดความปวดร้าว  เมื่อเขามองเห็นพระลักษณะที่บริสุทธิ์และไร้ตำหนิของพระเจ้าเขาจะรังเกียจตนเอง  {SC 29.1}
                เมื่อผู้เผยพระวจนะดาเนียลได้มองเห็นพระสิริที่ล้อมรอบผู้สื่อข่าวชาวสวรรค์ที่ได้รับบัญชาให้มาหาท่านนั้นท่านรู้สึกว่าความอ่อนแอและความไม่บริบูรณ์ในตัวได้ครอบงำตัวท่านเองไว้  ท่านได้บรรยายถึงผลลัพธ์จากเหตุการณ์อันอัศจรรย์ใจนี้ไว้ว่า  ข้าพเจ้าก็สิ้นเรี่ยวสิ้นแรง  หน้าตาสุกใสของข้าพเจ้าก็เปลี่ยนเป็นหน้าซีด  ข้าพเจ้าหมดแรง  (ดาเนียล 10:8)  จิตวิญญาณที่ได้รับการสัมผัสเช่นนี้จะเกลียดชังความเห็นแก่ตัวในตัวของเขาเอง  รังเกียจการรักตนเอง  และเขาจะแสวงหาความบริสุทธิ์ของจิตใจผ่านความชอบธรรมของพระคริสต์  เพื่อจะผสานเป็นหนึ่งกับพระบัญญัติของพระเจ้าและพระลักษณะของพระคริสต์  {SC 29.2}
                เปาโลพูดถึงตัวเองโดยใช้  ความชอบธรรมซึ่งมีอยู่โดยธรรมบัญญัติ  มาตัดสินภาพลักษณ์ภายนอก  ซึ่ง  ไม่มีที่ติได้  (ฟีลิปปี 3:6)  แต่เมื่อท่านนำสภาพฝ่ายวิญญาณของธรรมบัญญัติมาพิจารณาแล้ว  ท่านมองเห็นว่าตัวเองเป็นคนบาป  เมื่อตัดสินตามตัวอักษรของธรรมบัญญัติดังที่มนุษย์นำมาใช้กับชีวิตภายนอกแล้ว  ท่านได้ละเว้นจากบาป  แต่เมื่อท่านมองเข้าไปถึงส่วนลึกของพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์และได้มองเห็นตนเองดังที่พระเจ้าทรงมองเห็นแล้ว  ท่านจึงได้กราบลงด้วยความถ่อมใจและสารภาพความผิด  ท่านกล่าวว่า  เมื่อก่อนข้าพเจ้าดำรงชีวิตอยู่นอกเหนือธรรมบัญญัติ  แต่เมื่อมีธรรมบัญญัติขึ้น  บาปก็เกิดขึ้นและข้าเจ้าก็ตาย  (โรม 7:9)  เมื่อท่านมองเห็นสภาพฝ่ายวิญญาณของธรรมบัญญัติ  ความบาปพร้อมกับความน่าเกลียดที่แท้จริงก็ปรากฏขึ้น  และความหยิ่งผยองของท่านก็หายไป  {SC 29.3}
                พระเจ้าไม่ได้ทรงถือว่าความบาปทั้งหมดมีความรุนแรงเท่ากัน  พระองค์ทรงประเมินความผิดไว้หลายระดับ  เช่นเดียวกับการประเมินของมนุษย์  แต่ไม่ว่าสายตาของมนุษย์จะเห็นว่าการกระทำผิดนี้หรือการกระทำผิดโน้นจะเล็กน้อยเพียงไรก็ตาม  ไม่มีบาปใดจะเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระเจ้า  การตัดสินของมนุษย์นั้นลำเอียง  ไม่สมบูรณ์  แต่พระเจ้าประเมินทุกสิ่งตามความเป็นจริง  คนขี้เมาจะถูกดูหมิ่นและถูกตราว่าความบาปของเขาจะทำให้เขาไม่มีส่วนในแผ่นดินสวรรค์  ในขณะที่ความหยิ่งยโส  ความเห็นแก่ตัวและความโลภมักจะไม่ถูกตำหนิ  แต่พระเจ้าทรงรังเกียจความบาปเหล่านี้มาก  เพราะความบาปเหล่านี้มีลักษณะตรงข้ามกับพระลักษณะนิสัยของพระองค์  ที่มีแต่ความกรุณา  เป็นความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว  ซึ่งบรรยากาศที่แท้จริงของจักรวาลที่ไม่ล้มลงในความบาปจะเป็นเช่นนี้  ผู้ที่ได้ทำบาปที่ยิ่งใหญ่กว่าอาจจะรู้สึกอับอายและขัดสน  และเขาต้องการพระคุณของพระคริสต์  แต่ความทะนงทำให้เขาไม่รู้สึกถึงความต้องการของตนเอง  เขาจึงปิดประตูหัวใจให้กับพระคริสต์และปฏิเสธพระพรมากมายที่พระองค์เสด็จมาเพื่อประทานให้แก่เขา  {SC 30.1}
                คนเก็บภาษีผู้น่าสงสารได้อธิษฐานว่า  ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงโปรดเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด  (ลูกา 18:13)  เขาคิดว่าตนเองเป็นคนชั่วมากและคนอื่นๆ ก็มองดูเขาด้วยแนวคิดเดียวกัน  แต่เขารู้สึกถึงความต้องการของเขาและเขาได้เข้ามาเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าพร้อมกับภาระความผิดและความอับอาย  เขาได้ทูลขอพระเมตตาของพระองค์  จิตใจของเขาเปิดออกให้กับพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อให้พระองค์ได้กระทำการแห่งความเมตตาและปลดปล่อยเขาให้หลุดพ้นจากอำนาจของความบาป  ส่วนคำอธิษฐานของพวกฟาริสีที่โอ้อวดและคิดว่าตนเองชอบธรรม  เมื่อเทียบกับความสมบูรณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า  เขารู้สึกว่าเขาไม่ขาดสิ่งใดและเขาจึงไม่ได้รับอะไรเลย  {SC 30.2}
                หากท่านมองเห็นความบาปในตัวท่าน  อย่ารีรอที่จะทำตัวเองให้ดีก่อน  มีสักกี่คนที่คิดว่าตนเองยังดีไม่พอที่จะมาหาพระคริสต์  ท่านหวังที่จะเป็นคนดีขึ้นด้วยความพยายามของตัวท่านเองหรือ  คนเอธิโอเปียเปลี่ยนวรรณของตนเองได้หรือ  หรือเสือดาวเปลี่ยนลายของมัน  ถ้าได้แล้วเจ้าทั้งหลายผู้ที่เคยต่อการกระทำความชั่วจะมากระทำความดีก็ได้  (เยเรมีย์ 13:23)  การช่วยเหลือมีไว้ให้แก่เรา  เป็นการช่วยเหลือซึ่งจะพบได้ในพระเจ้าเท่านั้น  เราจะต้องไม่คอยให้มีการเรียกร้องมากกว่านี้  คอยโอกาสที่ดีกว่านี้  หรือคอยให้มีอารมณ์ที่บริสุทธิ์กว่านี้  โดยลำพังตัวเราเองแล้ว  เราจะทำอะไรไม่ได้เลย  เราจะต้องเข้ามาหาพระคริสต์ในสภาพที่เป็นอยู่  {SC 31.1}
                แต่อย่าให้ผู้ใดหลอกลวงตนเองด้วยความคิดว่า  พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักและพระเมตตาคุณอันยิ่งใหญ่  พระองค์จะประทานความรอดให้แม้กับคนที่ปฏิเสธพระคุณของพระองค์ด้วย  มีเพียงแสงสว่างจากกางเขนเท่านั้นที่จะประเมินความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่ของความบาปได้  เมื่อมนุษย์เร้าให้เชื่อว่าพระเมตตาคุณของพระเจ้าประเสริฐเกินที่จะทำลายคนบาป  ก็ขอให้มองไปยังกางเขนคาล์วารี  เป็นเพราะไม่มีหนทางอื่นแล้วที่มนุษย์จะรอดได้  เป็นเพราะว่าถ้าปราศจากการเสียสละเช่นนี้  เผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่มีทางหนีให้พ้นจากอำนาจชั่วร้ายของบาปและกลับไปสื่อสัมพันธ์กับบรรดาชาวสวรรค์ที่บริสุทธิ์ได้  ไม่มีทางใดที่มนุษย์จะมีส่วนในชีวิตฝ่ายวิญญาณได้  ด้วยเหตุฉะนี้พระคริสต์จึงทรงต้องรับความผิดของการไม่เชื่อฟังและรับความทุกข์ของคนบาปมาไว้กับพระองค์เอง  ความรักและการทนทุกข์ทรมานและความมรณาของพระบุตรของพระเจ้าจึงเป็นพยานถึงความน่ากลัวอย่างมหันต์ของบาปและประกาศว่าไม่มีทางที่จะหนีให้พ้นจากอำนาจของมันไม่มีความหวังที่จะได้ชีวิตที่สูงส่งกว่า  นอกจากด้วยการมอบถวายจิตวิญญาณแด่พระคริสต์  {SC 31.2}
                บางครั้ง  คนที่ไม่สำนึกผิดจะแก้ตัวด้วยการเปรียบเทียบกับคนที่อ้างตัวเป็นคริสเตียนว่า  ฉันก็เป็นคนดีพอๆกับพวกเขา  ฉันไม่เห็นว่าความประพฤติของพวกเขาในเรื่องการตามใจตนเอง  ความสุขุมหรือรอบคอบดีกว่าฉัน  พวกเขาชอบความสนุกสนานและปล่อยตัวตามใจตนเองพอๆกับฉัน  ด้วยการทำเช่นนี้  เขาเอาความผิดของผู้อื่นมาใช้แก้ตัวกับการละเลยหน้าที่ของเขาเอง  แต่ความบาปและความบกพร่องของผู้อื่นไม่อาจแก้ต่างให้กับผู้ใดได้  เพราะพระเจ้าไม่ได้ประทานมนุษย์ที่ทำผิดมาเป็นแบบอย่างของเรา  พระองค์ทรงประทานพระบุตรของพระองค์ผู้ทรงปราศจากด่างพร้อยเป็นแบบอย่างแก่เรา  และคนที่ตำหนิผู้ที่อ้างตนเป็นคริสเตียนว่าประพฤติผิด  เขาเองควรจะต้องแสดงให้เห็นชีวิตและแบบอย่างที่ประเสริฐกว่านี้  หากเขามีแนวคิดที่สูงส่งว่าคริสเตียนควรจะเป็นเช่นไรแล้ว  ความบาปของเขาเองจะไม่ยิ่งใหญ่กว่านี้หรือ  เพราะเขารู้ว่าอะไรถูกและยังปฏิเสธที่จะทำตาม  {SC 32.1}
                ขอให้ท่านระวังเรื่องของความผัดวันประกันพรุ่ง  อย่ารอช้าที่จะละทิ้งความบาปของท่านและแสวงหาความบริสุทธิ์ในจิตใจโดยผ่านทางพระเยซู  จุดนี้เองที่ทำให้คนนับพันต้องหลงหายไปชั่วนิรันดร์  ข้าพเจ้าจะไม่ขอกล่าวถึงเรื่องของชีวิตที่แสนสั้นและไม่แน่นอน  แต่จะกล่าวถึงเรื่องน่ากลัวที่เป็นภัยอันตราย  เป็นเรื่องที่เข้าใจกันยังไม่ดีพอ  นั่นคือการรีรอไม่ยอมฟังพระสุรเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่เชิญชวนอยู่  แต่เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในความบาป  เพราะการรีรอเช่นนี้คือบาป  การปล่อยตัวให้แก่บาป  ไม่ว่าความบาปนั้นจะดูเล็กน้อยเพียงไร  จะนำมาซึ่งความพินาศที่จะหลงหายไปตลอดกาล  สิ่งที่เราเอาชนะไม่ได้  สิ่งนั้นจะชนะเราและจะนำเราไปสู่ความพินาศ  {SC 32.2}
                อาดัมและเอวาปลอบใจตัวเองให้เชื่อว่าเรื่องเล็กน้อยเช่นการรับประทานผลไม้ต้องห้ามไม่น่าส่งผลลัพธ์น่ากลัวตามที่พระเจ้าทรงประกาศไว้  แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เป็นการล่วงละเมิดพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าที่แปรเปลี่ยนไม่ได้  และแยกมนุษย์ออกไปจากพระเจ้าและเปิดประตูให้แก่ความตายและความหายนะเหลือคณานับให้ไหลบ่าเข้ามาในโลกของเรา  ยุคแล้วยุคเล่าเสียงร้องโศกเศร้าดังมาจากโลกของเราอย่างต่อเนื่อง  และสภาพทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสร้างต่างร้องคร่ำครวญและผจญความทุกข์ยากด้วยกันอย่างเจ็บปวดจากผลของการไม่เชื่อฟังของมนุษย์  แม้สวรรค์เองก็ยังสัมผัสได้กับผลการกบฏของมนุษย์ที่มีต่อพระเจ้า  กางเขนคาล์วารีตั้งเด่นเป็นอนุสรณ์ของการเสียสละอันอัศจรรย์ที่กำหนดไว้เพื่อไถ่บาปที่ได้ล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า  ให้เราอย่าถือว่าบาปเป็นเรื่องเล็ก  {SC 33.1}
                การล่วงละเมิดของแต่ละครั้ง  การละเลยหรือปฏิเสธพระคุณของพระคริสต์ในแต่ละคราวจะมีผลกระทบต่อตัวของท่านเอง  ทำให้จิตใจแข็งกระด้างไป  การตัดสินใจถูกลิดรอน  ความเข้าใจเฉื่อยชาลง  และไม่เพียงแต่ทำให้การยอมมอบถวายของท่านลดลงเท่านั้น  แต่จะทำให้ความสามารถในการยอมจำนนต่อการทรงเรียกด้วยความอ่อนโยนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าลดลงไปด้วย  {SC 33.2}
                มีคนจำนวนมากทำให้ความว้าวุ่นของสามัญสำนึกสงบลงด้วยความคิดที่ว่าเขาเปลี่ยนวิถีทางแห่งความชั่วตามที่เขาต้องการได้  ฉะนั้น  เขาจึงล้อเล่นกับคำเชิญชวนแห่งพระเมตตาและคาดว่าจะยังคงได้รับคำเชื้อเชิญนี้ต่อไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า  พวกเขาคิดว่าหลังจากที่เขาได้ทำสิ่งที่ดูแคลนพระวิญญาณแห่งพระคุณ  หลังจากที่เขาได้รับอิทธิพลอยู่ในฝ่ายของซาตาน  เขาจะยังคงสามารถเปลี่ยนวิถีทางของตนเองได้ภายในเสี้ยวเวลาอันสั้นเมื่อวิกฤติร้ายแรงมาถึง  แต่การกระทำเช่นนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ ประสบการณ์และการศึกษาที่มีมาตลอดทั้งชีวิตได้หล่อหลอมอุปนิสัยของพวกเขาอย่างเต็มที่  จนมีคนจำนวนน้อยที่จะอยากรับพระฉายาของพระเยซู  {SC 33.3}
                หากเราจะทะนุถนอมลักษณะอุปนิสัยที่ผิดไว้แม้เพียงประการเดียว  ความปรารถนาชั่วเพียงอันเดียว  ในที่สุดสิ่งเหล่านี้จะลบล้างอำนาจของพระกิตติคุณไป  การปล่อยตัวให้กับความบาปทุกครั้งจะทำให้จิตวิญญาณเกลียดชังพระเจ้าเพิ่มมากขึ้น  ผู้ทนต่อการนอกรีดหรือดื้อดึงไม่ใส่ใจต่อความจริงของพระเจ้ากำลังเก็บเกี่ยวสิ่งที่เขาเองเป็นผู้หว่าน  ไม่มีคำเตือนใดในพระคัมภีร์ทั้งเล่มที่น่ากลัวไปกว่าคำเตือนของนักปราชญ์ต่อการเล่นกับความชั่วซึ่งกล่าวไว้ว่าคนบาปจะ  ติดอยู่กับตาข่ายบาปของเขา  (สุภาษิต 5:22)  {SC 34.1}
                พระคริสต์ทรงพร้อมที่จะปลดปล่อยเราให้หลุดพ้นจากความบาป  แต่พระองค์ไม่ทรงบังคับความตั้งใจของเราและถ้าหากเรายังยืนกรานที่จะล่วงละเมิด  ความตั้งใจของเราจะโอนเอียงให้กับความชั่วต่อไปและเราก็ไม่ต้องการรับการปลดปล่อย  หากเราไม่ยอมรับพระคุณของพระองค์  พระองค์จะทรงทำอะไรให้เราได้อีก  เราทำลายตัวเราเองด้วยการมุ่งมั่นปฏิเสธความรักของพระองค์   นี่แน่ะ บัดนี้เป็นเวลาอันชอบ  นี่แน่ะ  บัดนี้เป็นวันแห่งความรอด  วันนี้ถ้าท่านทั้งหลายฟังพระสุรเสียงของพระองค์  อย่าให้จิตใจของท่านดื้อรั้น  (2 โครินธ์ 6:2; ฮีบรู 3:7, 8)  {SC 34.2}
                “มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก  แต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ  จิตใจมนุษย์ที่มีอารมณ์ความสุขและความเศร้าใจขัดแย้งกันอยู่  จิตใจที่คอยตีตัวออกห่าง  เต็มไปด้วยความไม่สะอาดและความหลอกลวง (1 ซามูเอล 16:7)  พระองค์ทรงทราบเจตนา  ความตั้งใจและเป้าหมายของเขา  จงไปหาพระองค์ด้วยสภาพวิญญาณจิตที่เปรอะเปื้อนอยู่  จงทำอย่างผู้พระพันธ์สดุดีที่ได้เปิดจิตใจทุกห้องออกให้ตรวจสอบและร้องทูลขอว่า  ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงค้นดูข้าพระองค์และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์  ขอทรงลองข้าพระองค์และทรงทราบความคิดของข้าพระองค์  และทอดพระเนตรว่ามีทางชั่วใดๆ ในข้าพระองค์หรือไม่  และขอทรงนำข้าพระองค์ไปในมรรคานิรันดร์  (สดุดี 139:23, 24)  {SC 34.3}
                คนมากมายยอมรับศาสนาที่ใช้ปัญญา  นี่เป็นการถือศาสนาแต่เปลือกนอกแบบหนึ่งเมื่อจิตใจไม่ได้ผ่านการชำระ  ขอให้คำอธิษฐานนี้เป็นของท่าน  ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์และฟื้นน้ำใจที่หนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์  (สดุดี 51:10)  ขอให้ท่านจัดการกับจิตวิญญาณของท่านอย่างจริงจัง  ให้ทำกันอย่างจริงใจ  แน่วแน่  เสมือนหนึ่งว่าชีวิตของท่านตกอยู่อันตราย  นี่เป็นเรื่องที่ท่านต้องจัดการระหว่างพระเจ้ากับจิตวิญญาณของท่านเอง  เป็นการจัดการเพื่อชีวิตนิรันดร์  ซึ่งเป็นความหวังและไม่มีสิ่งอื่นใดจะนำความหายนะมาให้แก่ท่านได้  {SC 35.1}
                จงศึกษาพระคำของพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน  พระคำซึ่งอยู่เบื้องหน้าท่าน  ทั้งในพระบัญญัติของพระเจ้าและในชีวิตของพระคริสต์  ซึ่งเป็นหลักการยิ่งใหญ่ของความบริสุทธิ์  หากปราศจากหลักการนี้แล้ว  จะไม่มีผู้ใดเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย  (ฮีบรู 12:14)  หลักการนี้ทำให้รู้สึกสำนึกในการบาป  และเปิดเผยให้เห็นถึงทางที่จะนำไปสู่ความรอดได้อย่างชัดเจนในขณะที่พระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสกับจิตวิญญาณของท่านอยู่นั้น  ขอให้ท่านใส่ใจในเรื่องนี้  {SC 35.2}
                ขณะที่ท่านมองเห็นความร้ายกาจของความบาป  ขณะที่ท่านมองเห็นสภาพที่แท้จริงของตัวท่านเองว่าเป็นเช่นไร  จงอย่าปล่อยตัวไปกับความสิ้นหวัง  พระคริสต์เสด็จลงมาช่วยคนบาป  เราไม่จำเป็นต้องหาทางคืนดีกับพระเจ้า  แต่ด้วยความรักอัศจรรย์อันประเสริฐ  พระเจ้า  ทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์  (2 โครินธ์ 5:19)  พระองค์ทรงตามหาลูกๆ ที่ทำผิดของพระองค์ด้วยความรักอ่อนโยน  ไม่มีพ่อแม่คนใดในโลกที่จะอดทนต่อความบกพร่องและความผิดของลูกๆ ได้มากไปกว่าความอดทนนานของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้ที่พระองค์ทรงแสวงหาเพื่อจะทรงช่วยให้รอด  ไม่มีผู้ใดจะอ้อนวอนต่อผู้ล่วงละเมิดได้อย่างอ่อนโยนมากเท่านี้  ไม่มีริมฝีปากมนุษย์คนใดที่จะอ้อนวอนอย่างอ่อนโยนต่อผู้ที่หลงไปได้เท่ากับพระองค์  พระสัญญาทั้งหมดของพระองค์  คำตักเตือนของพระองค์  เป็นแต่เพียงลมหายใจของความรักที่ไม่อาจพรรณนาได้  {SC 35.3}
                เมื่อซาตานมาบอกกับท่านว่า  ท่านเป็นคนบาปหนา  จงหันไปหาพระผู้ไถ่ของท่านและพูดถึงพระคุณความดีของพระองค์  สิ่งที่จะช่วยท่านได้คือให้ท่านมองไปยังแสงสว่างของพระองค์  ให้ท่านยอมรับบาปของท่านและบอกศัตรูของท่านว่า  พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลกเพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด  และความรักของพระองค์ที่ไม่มีรักใดเปรียบได้จะช่วยท่านให้รอดได้  (1 ทิโมธี 1:15)  พระเยซูตรัสถามซีโมนในเรื่องลูกหนี้สองคน  คนหนึ่งเป็นหนี้นายของเขาเพียงเล็กน้อยและอีกคนเป็นหนี้ก้อนใหญ่  แต่นายได้ยกหนี้ให้ทั้งสองคนและพระคริสต์ตรัสถามซีโมนว่าลูกหนี้คนไหนจะรักนายของเขามากที่สุด  ซีโมนตอบว่า  คนที่นายได้โปรดยกหนี้ให้มากก็เป็นคนที่รักนายมาก  (ลูกา 7:43)  เราเป็นคนบาปหนา  แต่พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราจะได้รับการอภัย  พระคุณความดีของการเสียสละของพระองค์นั้นพอเพียงที่จะนำเสนอพระบิดาเพื่อเรา  ผู้ที่ได้รับการอภัยจากพระองค์มากจะรักพระองค์มากและจะยืนอยู่ใกล้ชิดพระบัลลังก์ของพระองค์มากที่สุดเพื่อสรรเสริญพระองค์สำหรับความรักและการเสียสละอันยิ่งใหญ่  เราจะตระหนักถึงความร้ายกาจของบาปได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจความรักของพระเจ้าอย่างเต็มที่เท่านั้น  เมื่อเรามองเห็นความยาวของโซ่ที่หย่อนลงมาให้เรา  เมื่อเราเข้าใจเรื่องการเสียสละอันยิ่งใหญ่  ซึ่งพระคริสต์ทรงกระทำเพื่อเราแล้ว  จิตใจของเราก็จะหลอดละลายลงด้วยความอ่อนโยนและสำนึกผิด  {SC 35.4}

เคล็ดลัดที่ 4
การสารภาพบาป

บุคคลที่ซ่อนการละเมิดของตนจะไม่จำเริญ  แต่บุคคลที่สารภาพและทิ้งความชั่วเสียจะได้ความกรุณา  (สุภาษิต 28:13)  {SC 37.1}
เงื่อนไขที่จะรับพระเมตตาคุณของพระเจ้านั้นง่ายและยุติธรรมและสมเหตุสมผล  พระเจ้าไม่บังคับให้เราต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อจะได้การอภัยจากบาป  พระองค์ไม่ได้บังคับให้เราเดินทางไปแสวงหาบุญที่ยืดเยื้อและน่าเบื่อหน่ายหรือแก้บาปด้วยการทรมานร่างกายให้เจ็บปวด  เพื่อให้พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ยอมรับจิตวิญญาณของเราหรือลบล้างบาปการล่วงละเมิดของเรา  แต่ผู้ที่สารภาพและละทิ้งบาปจะได้รับพระเมตตาคุณ  {SC 37.2}
อัครทูตกล่าวว่า  จงสารภาพบาปต่อกันและกัน  และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน  เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย  (ยกกอบ 5:16)  จงสารภาพบาปของท่านกับพระเจ้า  พระองค์เท่านั้นที่จะทรงให้อภัยบาปได้และจงสารภาพความผิดต่อกันและกัน  หากท่านทำผิดต่อมิตรสหายหรือเพื่อนบ้านของท่านท่านจะต้องยอมรับผิด  และเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะอภัยให้ท่านด้วยความเต็มใจ  แล้วท่านจะต้องทูลขอพระเจ้าทรงอภัยให้ท่านด้วย  เพราะพี่น้องที่ท่านได้ทำผิดต่อเขานั้นเป็นสมบัติของพระเจ้า  และเมื่อท่านทำร้ายเขา  ท่านก็ได้ทำบาปต่อพระผู้สร้างและพระผู้ไถ่ของเขาด้วย  และคดีความนี้จะถูกนำขึ้นไปยังเบื้องพระพักตร์ของพระผู้ไกล่เกลี่ยแท้จริงพระองค์เดียว  พระองค์ผู้ทรงเป็นมหาปุโรหิตยิ่งใหญ่ของเรา  ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ  ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป  และพระองค์ทรง  เห็นใจในความอ่อนแอของเราทุกประการ  และทรงชำระเราจากความเปรอะเปื้อนของความชั่วทุกประการ  (ฮีบรู 4:15)  {SC 37.3}
ผู้ที่ไม่ได้ถ่อมจิตใจลงเพื่อยอมรับความผิดของเขาต่อพระเจ้าก็ยังไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อแรกเพื่อให้พระเจ้าทรงยอมรับ  หากเรายังไม่เคยมีประสบการณ์ของการกลับใจ  ไม่เคยรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำไปและไม่ได้ถ่อมจิตใจลงอย่างแท้จริง  และวิญญาณจิตไม่รู้สึกชอกช้ำที่ต้องสารภาพความบาปและรู้สึกเกลียดชังความชั่วของตัวเองแล้ว  เราก็ยังไม่เคยทูลขอการอภัยบาปอย่างแท้จริง  และหากเรายังไม่เคยทูลขอ  เราก็จะยังไม่เคยพบกับสันติสุขในพระเจ้า  มีเหตุผลเดียวที่ทำให้บาปผิดในอดีตที่ผ่านมาไม่ได้รับการอภัยคือ  เราไม่เต็มใจที่จะถ่อมจิตใจของเราลงและทำตามเงื่อนไขที่จารึกไว้ในพระวจนะแห่งความจริง  สำหรับเรื่องนี้ได้ทรงประทานคำแนะนำไว้อย่างชัดเจน  การสารภาพบาปไม่ว่าจะทำในที่ลี้ลับหรือในที่สาธารณะจะต้องทำด้วยความจริงใจและด้วยความสมัครใจ  คนบาปจะต้องไม่ถูกบีบบังคับให้สารภาพบาป  การสารภาพบาปจะต้องไม่ทำอย่างเล่นๆ หรืออย่างไม่ใส่ใจ  หรือเป็นการบังคับผู้ที่ไม่รู้สึกสำนึกถึงความน่ารังเกียจของความบาป  การสารภาพบาปที่ทำด้วยการเปิดส่วนลึกที่สุดของจิตใจออก  จะพบหนทางที่นำไปถึงพระเจ้า  ผู้ทรงกอปรด้วยพระเมตตาที่ไม่มีขอบเขต  ผู้ประพันธ์สดุดีตรัสว่า  พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ผู้ที่จิตใจฟกช้ำและทรงช่วยผู้ที่จิตใจสำนึกผิด  (สดุดี 34:18)  {SC 37.4}
การสารภาพบาปที่จริงใจจะต้องมีลักษณะเฉพาะเจาะจงและยอมรับบาปที่ได้ทำไปแล้ว  อาจจะเป็นความบาปที่เราต้องสารภาพต่อเบื้องพระเจ้าเท่านั้นหรือเป็นความบาปที่เราต้องสารภาพกับบุคคลที่ต้องทนทุกข์อันเนื่องมาจากความผิดที่เราได้ทำไป  หรือเป็นความบาปที่ทำต่อส่วนรวมซึ่งต้องสารภาพอย่างเปิดเผย  แต่การสารภาพความบาปทั้งปวงนั้นจะต้องชัดเจนและเจาะจง  ยอมรับบาปที่ท่านได้ทำไป  {SC 38.1}
ในสมัยของซามูเอล  ชนชาติอิสราเอลเดินหลงออกไปจากทางของพระเจ้า  พวกเขาต้องตกอยู่ในความทุกข์ยากอันเนื่องจากผลของความบาปเพราะพวกเขาได้ละทิ้งความเชื่อในพระเจ้า  มองไม่เห็นอำนาจและพระปัญญาของพระองค์ที่ปกครองประเทศ  สูญเสียความเชื่อมั่นในอำนาจของพระเจ้าที่พิทักษ์และรักษาผลประโยชน์ของพระองค์  พวกเขาหันออกไปจากพระเจ้ายิ่งใหญ่ผู้ทรงปกครองจักรวาลและปรารถนาการปกครองแบบเดียวกันกับประเทศที่อยู่รอบข้าง  ก่อนที่พวกเขาจะพบกันสันติสุขได้อีกครั้งหนึ่งนั้น  พวกเขาได้สารภาพบาปอย่างตรงๆ ว่า  เพราะเราได้เพิ่มความชั่วนี้เข้ากับบาปทั้งสิ้นของเราคือขอให้มีพระราชาสำหรับเราทั้งหลาย  (2 ซามูเอล 12:19)  พวกเขาต้องสารภาพบาปที่ได้ทำไปแล้ว  ความอกตัญญูของพวกเขาบีบบังคับจิตวิญญาณและได้ตัดพวกเขาออกไปจากพระเจ้า  {SC 38.2}
พระเจ้าจะไม่ยอมรับการสารภาพบาปที่ปราศจากการกลับใจและการปฏิรูปด้วยความจริงใจ  จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างแน่วแน่  จะต้องขจัดสิ่งที่พระเจ้ารังเกียจทิ้งไปให้หมด  เป็นผลงานที่เกิดจากการเสียใจต่อบาปอย่างสุดซึ้ง  ส่วนที่เราจะต้องทำนั้นได้จัดวางไว้อยู่หน้าเราอย่างชัดเจนว่า  จงชำระตัว  จงทำตัวให้สะอาด  จงเอากรรมชั่วของเจ้าออกไปให้พ้นจากสายตาของเรา  จงเลิกกระทำชั่ว  จงฝึกกระทำดี  จงแสวงหาความยุติธรรม  จงบรรเทาผู้ถูกบีบบังคับ  จงป้องกันให้ลูกกำพร้าพ่อ  จงสู้ความเพื่อหญิงม่าย  (อิสยาห์ 1:16, 17ถ้าคนอธรรมได้คืนของประกัน  ขโมยอะไรของเขามาก็คืนเสีย  และดำเนินตามกฎเกณฑ์แห่งชีวิต  ไม่กระทำความบาปชั่วเลย  เขาจะดำรงชีวิตอยู่แน่  เขาไม่ต้องตาย  เปาโลกล่าวถึงการกลับใจว่า  จงพิจารณาดูว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า  กระทำให้เกิดความกระตือรือร้นมากทีเดียว  ทำให้เกิดความขวนขวายที่จะแก้ตัวใหม่และการเดือดร้อนแทนความตื่นตัว  ความอาลัย  และความกระตือรือร้น  และการลงโทษในทุกสิ่งเหล่านี้  ท่านได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าท่านก็ไม่ได้กระทำผิด  (2 โครินธ์ 7:11)  {SC 39.1}
เมื่อความบาปทำให้การรับรู้ทางศีลธรรมตายด้านไป  ผู้ที่ทำผิดมองไม่เห็นความบกพร่องในอุปนิสัยของตนเอง  หรือตระหนักถึงความร้ายกาจของความชั่วที่เขาได้ทำ  และถ้าเขาไม่ยอมรับอำนาจการตักเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว  ตาของเขาก็จะยังคงมืดมนต่อความบาปที่เขาได้ทำ  เขาจะไม่จริงใจและไม่จริงจังต่อการสารภาพของเขา  สำหรับความผิดทุกเรื่องที่เขารู้เขาจะมีข้ออ้างเพื่อแก้ตัวให้กับสิ่งที่เขาทำ  โดยกล่าวว่า  หากไม่ใช่เป็นเพราะสถานการณ์บังคับแล้ว  เขาก็คงจะไม่ทำสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้ที่ทำตัวเขาต้องถูกตำหนิ  {SC 40.1}
หลังจากอาดัมและเอวาได้รับประทานผลไม้ต้องห้ามแล้ว  พวกเขาอับอายและหวาดกลัวอย่างเต็มที่  ในช่วงแรก  พวกเขาได้แต่คิดว่าจะแก้ตัวให้กับการกระทำบาปอย่างไร  และหนีให้พ้นความตายซึ่งเป็นคำตัดสินที่น่ากลัวได้อย่างไร  เมื่อพระเจ้าตรัสถามถึงบาปของเขา  อาดัมตอบด้วยการโยนความผิดส่วนหนึ่งให้พระเจ้าและอีกส่วนหนึ่งให้แก่คู่ชีวิตของเขา  หญิงที่พระองค์ประทานให้อยู่กินกับข้าพระองค์นั้นส่งผลไม้นั้นให้ข้าพระองค์  ข้าพระองค์จึงรับประทาน  ส่วนหญิงนั้นโยนความผิดใส่งูด้วยการพูดว่า  งูล่อลวงข้าพระองค์ข้าพระองค์จึงได้รับประทาน  (ปฐมกาล 3:12, 13)  ทำไมพระองค์จึงทรงสร้างงู  ทำไมพระองค์จึงปล่อยให้มันเข้ามาในสวนเอเดน  นี่คือความหมายของคำตอบที่เธอใช้แก้ตัวให้กับบาปของเธอ  ผิดด้วยประการฉะนี้  พวกเขาจึงโยนความรับผิดชอบต่อการล้มลงในบาปให้พระเจ้า  วิญญาณแห่งการชอบแก้ตัวที่กำเนิดมาจากบิดาแห่งการพูดมุสาจึงปรากฏอยู่ในบุตรชายและบุตรหญิงทั้งปวงของอาดัม  การสารภาพบาปในรูปแบบเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณของพระเจ้าและพระองค์จะไม่ทรงยอมรับ  การกลับใจที่แท้จริงจะนำบุคคลนั้นให้ยอมรับความผิดว่าเป็นของตนเองและยอมรับโดยไม่มีการแอบแฝงหรือเสแสร้ง  เขาจะเป็นเหมือนคนเก็บภาษีผู้น่าสงสารซึ่งไม่กล้าแม้จะแหงนหน้าดูฟ้า  แต่ได้ร้องว่า  ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงโปรดพระเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด  (ลูกา 18:13)  และผู้ที่ยอมรับความผิดของตนเองจะได้รับการแก้ให้เป็นผู้ชอบธรรม  เพราะว่าพระเยซูจะทรงทูลขอแทนจิตวิญญาณที่ได้กลับใจด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง  {SC 40.2}
แบบอย่างของการกลับใจด้วยความจริงใจและถ่อมใจดังที่มีจารึกไว้ในพระวจนะของพระเจ้านั้น  เปิดเผยให้เห็นการสารภาพบาปโดยไม่มีการแก้ตัวหรือพยายามทำให้ตนเองไม่มีความผิด  เปาโลไม่ได้คอยหาทางที่จะปกปิดตัวเอง  ท่านป้ายสีความบาปของท่านด้วยสีเข้มที่สุดซึ่งไม่ทำให้ความผิดของท่านเบาบางลง  ท่านกล่าวว่า  สิ่งเหล่านั้นข้าพระบาทได้กระทำในกรุงเยรูซาเล็มเมื่อข้าพระบาทรับอำนาจจากพวกมหาปุโรหิตแล้ว  ข้าพระบาทได้ขังวิสุทธิชนหลายคนไว้ในคุก  และครั้นเขาถูกลงโทษถึงตาย  ข้าพระบาทก็เห็นดีด้วย  ข้าพระบาทได้ทำโทษเขาบ่อยๆ ในธรรมศาลาทุกแห่งและบังคับเขาให้กล่าวคำหมิ่นประมาทพระเจ้า  และเพราะข้าพระบาทโกรธเขายิ่งนักข้าพระบาทได้ตามไปข่มเหงถึงเมืองในต่างประเทศ  (กิจการของอัครทูต 26:10-11)  ท่านไม่รีรอที่จะประกาศว่า  พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลกเพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด  และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอก  (1 ทิโมธี 1:15)  {SC 41.1}
ผู้ที่กลับใจอย่างแท้จริงและมีจิตใจที่ถ่อมและชอกช้ำจะซาบซึ้งกับความรักองพระเจ้าและราคาที่พระองค์ต้องทรงชำระที่บนกางเขนแห่งคาล์วารีและดั่งเช่นบุตรที่เข้ามาสารภาพความผิดกับบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรัก  ผู้ที่สำนึกผิดอย่างจริงจังและนำความบาปทั้งสิ้นของเขาเข้ามายังพระเจ้าก็จะเป็นเช่นนั้น  ด้วยมีคำเขียนไว้ว่า  ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น  (1 ยอห์น 1:9)  {SC 41.2}



เคล็ดลับที่ 5
การอุทิศถวายตน

                พระเจ้าทรงสัญญาไว้แล้วว่า  เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า  (เยเรมีย์ 29:13)  {SC 43.1}
                เราต้องมองถวายจิตใจทั้งหมดให้แก่พระเจ้า  มิฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงที่จะนำเรากลับคืนสู่พระฉายาของพระเจ้าจะเกิดขึ้นไม่ได้  โดยธรรมชาติแล้ว  เราห่างเหินจากพระเจ้า  พระวิญญาณบริสุทธิ์บรรยายสภาพของเราไว้ดังนี้ว่า  ตายแล้วโดยการละเมิดและการบาป  ศีรษะก็เจ็บหมดจิตใจก็อ่อนเปลี้ยไปสิ้น  ไม่มีความปกติในนั้นเลย  เราถูกกับดักของซาตานผูกมัดไว้อย่างหนาแน่น  ดักจับเขาไว้ให้ทำตามความประสงค์ของมัน  (เอเฟซัส 2:1; อิสยาห์ 1:5, 6;2 ทิโมธี 2:26)  พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะรักษาเราให้หายเพื่อปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ  แต่จะทำเช่นนี้ได้นั้น  จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด  ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติทั้งหมดของเรา  เราจึงต้องยอมมอบถวายตัวของเราทั้งหมดให้พระองค์  {SC 43.2}
                สงครามยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการต่อสู้มาคือ  การต่อสู้กับตนเอง  การยอมถวายตน  มอบถวายทุกสิ่งให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้านั้นจำเป็นต้องมีการดิ้นรนต่อสู่  แต่เราจะต้องยอมมอบถวายจิตวิญญาณของเราให้พระเจ้าก่อน  แล้วความบริสุทธิ์ในจิตใจจึงจะถูกสร้างใหม่ได้  {SC 43.3}
                การปกครองของพระเจ้าไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักการของการเชื่อฟังอย่างไม่ลืมหูลืมตาซึ่งเป็นการควบคุมอย่างไม่มีเหตุผลตามที่ซาตานต้องการให้ทุกคนเชื่อ  ผู้ที่มีปัญญาและมีจิตสำนึกจะซาบซึ้งกับการปกครองของพระองค์คำเชิญชวนของพระผู้สร้างที่ทรงยื่นให้แก่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างมานั้นคือ  มาเถิด  ให้เราสู้ความกัน  (อิสยาห์ 1:18)  พระเจ้าไม่ได้บังคับความนึกคิดของผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง  พระองค์จะไม่ทรงยอมรับความจงรักภักดีที่ไม่ได้มอบถวายด้วยความเต็มใจและด้วยความเข้าใจอย่างมีสติ  การบังคับให้เชื่อฟังจะกีดขวางการพัฒนาสติปัญญาและอุปนิสัยที่แท้จริงทั้งหมด  และทำให้มนุษย์เป็นแต่เพียงเครื่องจักร  สภาพเช่นนี้ไม่ได้เป็นพระประสงค์ของพระผู้สร้าง  พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้มนุษย์ซึ่งเป็นจิตรกรรมล้ำเลิศที่สุดของอำนาจการทรงสร้างของพระองค์ก้าวไปให้ถึงการพัฒนาสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้  พระองค์ทรงจัดวางพระพรอันประเสริฐที่สุดไว้อยู่ต่อหน้าเราเพื่อนำเราให้ไปถึงพระคุณของพระองค์  พระองค์ทรงเชิญชวนให้เรามอบถวายตัวเราเองให้พระองค์  เพื่อพระองค์จะทรงกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ในตัวเราที่เหลือจะขึ้นกับเราว่าเราเลือกจะให้หลุดพ้นจากการจองจำของความบาป  เพื่อมีส่วนร่วมกับเสรีภาพที่ยิ่งใหญ่ของพระบุตรของพระเจ้าหรือไม่  {SC 43.4}
                เมื่อเรามอบถวายตัวเราเองให้พระเจ้าแล้วนั้นเราจำเป็นต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่จะแยกตัวเราออกไปจากพระองค์  ด้วยเหตุนี้  พระผู้ช่วยให้รอดตรัสไว้ว่า  ทุกคนในพวกท่านที่มิได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่จะเป็นสาวกของเราไม่ได้  (ลูกา 14:33)  เราต้องสละทุกสิ่งที่จะชักนำจิตใจให้เหินห่างออกจากพระเจ้า  ทรัพย์สมบัติเป็นรูปเคารพของคนมากมาย  การรักเงินทองความปรารถนาที่จะได้สมบัติเป็นโซ่ทองคำที่ผูกมัดเขาเหล่านั้นเข้ากับซาตาน  ชื่อเสียงและเกียรติยศทางฝ่ายโลกเป็นสิ่งที่คนอีกกลุ่มหนึ่งบูชา  ชีวิตที่สุขสบายอย่างเห็นแก่ตัวและอิสระจากการรับผิดชอบเป็นรูปเคารพของคนอีกกลุ่มหนึ่ง  โซ่ความเป็นทาสที่ผูกมัดเหล่านี้จะต้องถูกตัดให้ขาด  เราเป็นคนของพระเจ้าเพียงครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งเป็นของโลกไม่ได้  เรามิใช่บุตรของพระเจ้าเว้นเสียแต่ว่าเราจะเป็นของพระองค์อย่างเต็มบริบูรณ์เท่านั้น  {SC 44.1}
                มีคนที่อ้างตนว่ารับใช้พระเจ้า  แต่ในขณะเดียวกันก็พึ่งพาความสามารถของตนเองในการประพฤติตามพระบัญญัติของพระเจ้าปั้นแต่งอุปนิสัยให้ถูกต้องและแสวงหาความรอด  ความรักที่มีต่อพระคริสต์ไม่ได้ขับเคลื่อนอยู่ในจิตใจของเขา  แต่เขาพยายามประพฤติตามวิถีทางของคริสเตียนตามที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้เพื่อจะได้ครอบครองสวรรค์  ศาสนาเช่นนี้ไม่มีคุณค่าเลย  เมื่อพระคริสต์เสด็จเข้ามาอยู่ในจิตใจ  จิตวิญญาณก็จะเต็มล้นด้วยความรักของพระองค์  การสื่อสัมพันธ์กับพระองค์จะสร้างความสุขให้แก่เขาอย่างเต็มล้น  เขาจะติดสนิทอยู่กับพระองค์  และเมื่อเขาเพ่งพิจพินิจถึงพระองค์  เขาก็จะลืมมองตนเองไป  ความรักที่มีต่อพระคริสต์จะเป็นแหล่งกำเนิดให้เกิดการกระทำ  ผู้ที่สัมผัสกับความรักของพระเจ้าที่กำลังผลักดันเขาอยู่  จะไม่ถามว่าเขาต้องมอบถวายให้น้อยเพียงไรเพื่อจะไปให้ถึงเป้าหมายที่พระเจ้ากำหนด  พวกเขาจะไม่ถามหามาตรฐานต่ำที่สุด  แต่จะตั้งเป้าหมายที่จะทำตามพระประสงค์ของพระผู้ไถ่ให้สมบูรณ์ที่สุด  ด้วยความปรารถนาที่จริงใจ  พวกเขามอบถวายทุกสิ่งทุกอย่างและแสดงความสนใจเทียบเท่ากับคุณค่าของสิ่งที่เขาแสวงหา  การยอมรับพระคริสต์โดยขาดความรักที่ลึกซึ้งนี้จะเป็นแต่เพียงการคุยโว  เป็นพิธีกรรมที่แห้งแล้งและเป็นภาระหนักที่น่าเบื่อหน่าย  {SC 44.2}
                ท่านมีความรู้สึกว่า  การมอบถวายทุกสิ่งให้พระคริสต์เป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่เกินไปหรือ  จงถามคำถามนี้กับตนเองว่า  พระคริสต์ทรงประทานอะไรให้แก่ข้าพเจ้า  พระบุตรของพระเจ้าทรงประทานทุกสิ่ง  พระองค์ทรงประทานชีวิต  ความรักและการทนทุกข์ทรมานเพื่อความรอดของเรา  แล้วเราผู้เป็นเป้าหมายอันไม่คู่ควรกับความรักอันยิ่งใหญ่นี้จะยับยั้งหัวใจของเราออกจากพระองค์กระนั้นหรือ  ทุกเสี้ยววินาทีในชีวิตของเรา  เราได้รับพระพรแห่งพระคุณของพระองค์  และด้วยเหตุผลนี้  เราไม่สามารถหยั่งรู้ได้อย่างเต็มที่ว่าเราถูกช่วยให้หลุดรอดออกมาจากบ่อลึกของความโง่เขลาและความทุกข์ยากได้อย่างไร  เราจะมองไปยังพระองค์ที่เราได้ทิ่มแทงด้วยความบาปของเรา  และยังเต็มใจดูหมิ่นความรักและการเสียสละทั้งปวงของพระองค์ได้หรือ  เมื่อเรามองเห็นการถ่อมตนอันไม่มีขอบเขตจำกัดของพระสิริของพระเจ้าแล้ว  เราจะมัวบ่นพึมพำเพียงเพราะเราต้องผ่านความขัดแย้งและการถ่อมตน  เพื่อจะได้ก้าวเข้ามาสู่ชีวิตเท่านั้นหรือ  {SC 45.1}
                หัวใจเย่อหยิ่งของมนุษย์จำนวนมากถามว่า  ทำไมข้าพเจ้าจึงต้องสำนึกผิดและถ่อมใจลงก่อนเพื่อให้มั่นใจว่าพระเจ้าทรงยอมรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอชี้ให้ท่านมองไปยังพระคริสต์ พระองค์ผู้ทรงปราศจากบาปและยิ่งกว่านั้นพระองค์ทรงเป็นเจ้าชายแห่งสวรรค์ แต่เพื่อมนุษย์พระองค์ได้ทรงรับความบาปของมนุษยชาติ พระองค์ถูกนับเข้ากับความทรยศ ถึงกระนั้นท่านก็แบกบาปของคนเป็นอันมาก และทำการอ้อนวอนเพื่อผู้ทรยศ  (อิสยาห์ 53:12)  {SC 45.2}
                แต่เมื่อเราสละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเราได้ละทิ้งอะไรไปบ้าง  จิตใจที่เปรอะเปื้อนด้วยความบาปเพื่อให้พระเยซูชำระให้บริสุทธิ์  ให้พระองค์ทรงล้างด้วยพระโลหิตของพระองค์  และประทานความรอดให้ด้วยความรักที่ไม่มีสิ่งใดเปรียบเสมอได้  แต่ถึงกระนั้น  มนุษย์ยังคิดว่า  เป็นเรื่องยากลำบากเหลือเกินที่จะยอมทิ้งทุกสิ่งไป  ข้าพเจ้ารู้สึกละอายใจที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้  รู้สึกอับอายที่จะต้องเขียนคำพูดเช่นนี้  {SC 46.1}
                พระเจ้าไม่ได้บังคับให้เราละทิ้งสิ่งที่ดีใดๆ ที่เราต้องเก็บรักษาไว้เพื่อประโยชน์สูงสุดของเรา  ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้น  พระองค์ทรงมองดูความผาสุกของบุตรทั้งหลายของพระองค์  หากว่าคนทั้งหลายที่ไม่เลือกพระคริสต์จะตระหนักว่าพระองค์ทรงมีสิ่งที่ดีกว่าที่จะมอบให้แก่เขา  ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่เขาสามารถสรรหามาให้แก่ตนเองได้  เมื่อมนุษย์คิดและทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  เขากำลังนำอันตรายและความไม่เป็นธรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุดมายังจิตวิญญาณของเขาเอง  เมื่อเขาไปในทิศทางที่พระองค์ทรงตรัสห้ามไว้  เขาจะพบกับความสุขที่แท้จริงไม่ได้  พระองค์ทรงทราบดีว่าเส้นทางใดดีที่สุด  และทรงเป็นผู้วางแผนเพื่อให้เกิดผลดีแก่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างมานั้น  ส่วนเส้นทางแห่งการล่วงละเมิดเป็นทางแห่งความทุกข์ลำบากและความพินาศ  {SC 46.2}
                เป็นเรื่องผิดที่จะคิดว่า  พระเจ้าทรงพอพระทัยที่เห็นบุตรทั้งหลายของพระองค์ตกอยู่ในความทุกข์ยาก  ชาวสวรรค์ทั้งหมดให้ความสนใจกับความสุขของมนุษย์  พระบิดาในสวรรค์ของเราไม่ได้ปิดช่องทางแห่งความสุขของมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง  ข้อบังคับของพระเจ้าทรงเรียกให้เราละทิ้งการหมกมุ่นที่นำมาซึ่งความทุกข์ทรมานและความผิดหวัง  และนำเราออกไปจากประตูแห่งความสุขและประตูของสวรรค์  พระผู้ไถ่ของโลกทรงยอมรับมนุษย์ในสภาพที่เขาเป็นอยู่  ซึ่งเต็มไปด้วยความร้องการ  ความไม่ดีพร้อม  และความอ่อนแอ  และพระองค์จะไม่ทรงชำระเขาจากบาปและประทานความรอดโดยทางพระโลหิตของพระองค์เท่านั้น  แต่จะทรงประทานความพึงพอใจให้แก่หัวใจทุกดวงที่แสวงหาพระองค์  ซึ่งยอมรับแอกและแบกรับภาระของพระองค์เป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่จะทรงประทานสันติสุขและความสงบสุขให้แก่ทุกคนที่เข้ามาหาพระองค์เพื่อแสวงหาทิพย์อาหารแห่งชีวิต  พระองค์ทรงกำหนดให้เราทำแต่หน้าที่ที่จะนำเราให้ก้าวสูงขึ้นสู่ความสงบสุขให้แก่ทุกคนที่เข้ามาหาพระองค์เพื่อแสวงหาทิพย์อาหารแห่งชีวิต  พระองค์ทรงกำหนดให้เราทำแต่หน้าที่ที่จะนำเราให้ก้าวสูงขึ้นสู่ความสุขสำราญซึ่งผู้ที่ไม่เชื่อฟังจะก้าวไปไม่ถึง  ชีวิตเที่ยงแท้  ความสุขที่แท้จริงจะต้องมีพระคริสต์ทรงสถิตร่วมอยู่ภายใน  พระองค์ผู้ทรงเป็นความหวังใจแห่งพระสิริ  {SC 46.3}
                คนมากมายถามว่า  ข้าพเจ้าจะมอบถวายตนเองให้พระเจ้าได้อย่างไร  ท่านประสงค์ที่จะถวายตนเองให้พระองค์  แต่อำนาจฝ่ายศีลธรรมของท่านนั้นอ่อนแอ  เป็นทาสของความสงสัย  และชีวิตของท่านถูกควบคุมด้วยอุปนิสัยของความบาปผิด  คำมั่นสัญญาและความตั้งใจของท่านเปรียบเหมือนกับเชือกที่ทำด้วยทราย  ท่านควบคุมความคิด  แรงผลักดัน  ความรู้สึกของท่านเองไม่ได้  ท่านตระหนักว่า  การผิดคำมั่นสัญญาและการไม่รักษาคำพูดได้บั่นทอนความมั่นใจในความจริงใจของท่าน  และทำให้ท่านรู้สึกว่าพระเจ้าทรงรับท่านไม่ได้  แต่ท่านไม่ต้องท้อใจ  สิ่งที่ท่านต้องเข้าใจคือ  กำลังที่แท้จริงของความตั้งใจ  สิ่งนั้นคืออำนาจที่ควบคุมธรรมชาติของมนุษย์  เป็นอำนาจในการตัดสินใจหรือการเลือก  ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับความตั้งใจที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง  พระเจ้าทรงประทานอำนาจแห่งการเลือกให้แก่มนุษย์  ซึ่งเขาจะต้องนำมาใช้  ท่านเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านไม่ได้  ท่านถวายความรักของท่านให้พระเจ้าด้วยลำพังตัวของท่านเองไม่ได้  แต่ท่านเลือกที่จะรับใช้พระองค์ได้  ท่านถวายความตั้งใจของท่านให้พระองค์ได้  แล้วพระองค์จะทรงกระทำกิจภายในตัวท่านเพื่อให้ความตั้งใจและการกระทำของท่านเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์  เมื่อเป็นเช่นนี้  ธรรมชาติทั้งหมดของท่านจะเข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมของพระวิญญาณของพระคริสต์  ความรู้สึกของท่านจะมีศูนย์กลางอยู่ในพระองค์  ความคิดของท่านจะประสานเข้ากับพระประสงค์ของพระองค์  {SC 47.1}
                ความปรารถนาคุณความดีและความบริสุทธิ์เป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่ในระดับหนึ่ง  แต่หากท่านหยุดแค่นี้  ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับความปรารถนานี้  คนมากมายสูญหายไปในขณะที่เขาหวังและอยากเป็นคริสเตียน  พวกเขาเข้ามาไม่ถึงจุดที่จะยอมมอบถวายความตั้งใจให้พระเจ้า  เขาจึงไม่ได้เลือกที่จะเป็นคริสเตียน  {SC 47.2}
                เมื่อท่านใช้ความตั้งใจอย่างถูกต้อง  ชีวิตของท่านจะได้รับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด  เมื่อท่านถวายความตั้งใจของท่านให้พระคริสต์  ท่านได้นำตัวของท่านเองเข้ามาผูกพันกับอำนาจที่เหนือกว่าเจ้าผู้ครอบครองและอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น  ท่านจะมีกำลังจากเบื้องบนที่คอยพยุงให้ท่านมั่นคง  และด้วยการมอบถวายตัวให้พระเจ้าอย่างต่อเนื่อง  ท่านจะดำเนินชีวิตใหม่ได้  ซึ่งเป็นชีวิตแห่งความเชื่อ  {SC 48.1}



เคล็ดลับที่ 6
ความเชื่อและการยอมรับ

                เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ปลุกสามัญสำนึกของท่านให้ตื่นขึ้น  ท่านจึงเริ่มมองเห็นความเลวร้ายของบาป  มองเห็นอำนาจของมัน  ความผิดของมันความทุกข์ยากของมัน  และท่านจะมองความบาปด้วยความรังเกียจ  ท่านรู้สึกว่า  บาปได้แยกตัวท่านออกไปจากพระเจ้า  ท่านถูกจองจำด้วยอำนาจของความชั่ว  เมื่อท่านดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นมากขึ้นเท่าใด  ท่านก็จะยิ่งพบว่า  ท่านช่วยตัวเองไม่ได้  เป้าหมายของท่านไม่บริสุทธิ์  จิตใจของท่านไม่สะอาด  ท่านมองเห็นว่าชีวิตของท่านเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวและความบาป  ท่านปรารถนาที่จะได้รับการอภัย  ได้รับการชำระ  ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระท่านจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้ปรองดองกับพระเจ้าและมีลักษณะเหมือนพระองค์  {SC 49.1}
                สันติสุขเป็นสิ่งที่ท่านต้องการ  คือการอภัยและความสงบสุขและความรักจากสวรรค์เบื้องบนที่อยู่ภายในวิญญาณจิตของท่าน  เงินทองจัดซื้อเอาไว้ไม่ได้  ปัญญาจัดหามาให้ไม่ได้  ความรอบรู้นำไปให้ถึงไม่ได้  ท่านหวังที่จะได้สันติสุขนี้มาครอบครองด้วยความพยายามของท่านเองไม่ได้  แต่พระเจ้าทรงยื่นมาเป็นของประทานให้แก่ท่าน  โดยไม่ต้องเสียเงินเสียค่า  (อิสยาห์ 55:1)  สันติสุขนี้จะเป็นของท่าน  เพียงแต่ท่านจะยื่นมือของท่านและรับเอาไว้  พระเจ้าตรัสว่า  ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้ม  ก็จะขาวอย่างหิมะ  ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดง  ก็จะกลายเป็นอย่างขนแกะ  (อิสยาห์ 1:18เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้าและเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า (เอเสเคียล 36:26)  {SC 49.2}
                ท่านสารภาพบาปของท่านแล้ว  ละทิ้งไปด้วยความเต็มใจ  ท่านตัดสินใจที่จะมอบถวายตัวของท่านเองให้พระเจ้า  ขอให้ท่านไปหาพระองค์เดี๋ยวนี้และทูลขอพระองค์ให้ชำระบาปของท่านและประทานจิตใจใหม่ให้แก่ท่าน  แล้วเชื่อว่าพระองค์ทรงประทานให้แก่ท่าน  เพราะว่าพระองค์ทรงสัญญาไว้แล้ว  นี่คือบทเรียนที่พระเยซูทรงสอนในขณะที่ทรงดำเนินอยู่ในโลกนี้ว่า  ของประทานที่พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานให้แก่เรานั้น  เราจะต้องเชื่อว่าเราได้รับแล้ว  และของประทานนั้นจะเป็นของเรา  พระเยซูทรงรักษาประชาชนให้หายจากโรคต่างๆ เมื่อพวกเขาวางใจในอำนาจของพระองค์  พระองค์ทรงประทานการช่วยเหลือในสิ่งที่ตามองเห็น ซึ่งเป็นสิ่งที่หนุนใจให้เขาวางใจพระองค์  ในสิ่งที่ตามองไม่เห็นนั่นคือ  นำพวกเขาให้เชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระองค์ที่จะทรงอภัยบาปผิดได้  ในเรื่องนี้  พระองค์ทรงกล่าวไว้อย่างชัดเจนเมื่อพระองค์ทรงรักษาชายง่อย  แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า  บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้  พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า  จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านเถิด  (มัทธิว 9:6)  ยอห์นผู้ประกาศก็ได้กล่าวถึงการอัศจรรย์ของพระคริสต์ไว้เช่นกันว่า  แต่การที่ได้บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้  ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า  พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์  พระบุตรของพระเจ้า  และเมื่อมีความเชื่อแล้ว  ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์ (ยอห์น 20:31)  {SC 49.3}
                จากเหตุการณ์เรียบง่ายที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ซึ่งกล่าวถึงวิธีที่พระเยซูรักษาคนเจ็บป่วย  เราเรียนรู้บางเรื่องว่าเราจะต้องเชื่อพระองค์อย่างไรเพื่อจะได้รับการอภัยจากบาป  ให้เราไปดูเรื่องของชายง่อยที่ข้างสระน้ำเบธซาธา  ผู้ป่วยน่าสงสารคนนี้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  เขาไม่ได้ใช้ขามานานถึงสามสิบแปดปีแล้ว  แต่ถึงกระนั้น  พระเยซูทรงบัญชาว่า  จงลุกขึ้นยกแคร่ของเจ้าเดินไปเถิด  คนป่วยผู้นี้อาจจะตอบพระองค์ว่า  ท่านเจ้าข้า  หากท่านจะรักษาให้ข้าพเจ้าหายดีแล้ว  ข้าพเจ้าจะเชื่อฟังพระคำของพระองค์  แต่เขาไม่ได้พูดเช่นนี้  เขาเชื่อพระดำรัสของพระคริสต์  เขาเชื่อว่าพระองค์ทรงรักษาเขาให้หายได้และเขาก็ทำตามทันที  เขาอยากเดินและเขาก็เดินได้  เขาทำตามพระดำรัสของพระคริสต์และพระเจ้าทรงประทานกำลังให้เขา  เขาก็หายเป็นปกติ  {SC 50.1}
                ในทำนองเดียวกัน  ท่านเป็นคนบาป  ท่านลบความบาปที่ท่านทำมาแล้วในอดีตไม่ได้  ท่านเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านและทำให้ตัวของท่านบริสุทธิ์ไม่ได้  แต่พระเจ้าทรงสัญญาที่จะทำสิ่งทั้งหมดนี้ให้ท่านโดยผ่านทางพระคริสต์  ท่านเชื่อพระสัญญานั้น  ท่านสารภาพความบาปของท่านและถวายตัวของท่านเองให้พระเจ้า  ท่านตั้งใจที่จะรับใช้พระองค์  ทันทีที่ท่านทำเช่นนี้พระเจ้าจะทรงกระทำตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ให้แก่ท่าน  ถ้าท่านเชื่อพระสัญญาของพระเจ้า  คือเชื่อว่าท่านได้รับการอภัยและการชำระแล้ว  พระเจ้าจะทรงประทานความจริงให้ท่าน  ท่านจะได้รับการรักษาให้หาย  เหมือนที่พระคริสต์ทรงประทานกำลังให้คนง่อยเดินได้  เมื่อเขาเชื่อว่าเขาหายจากโรคแล้ว  หากท่านเชื่อท่านก็จะหายได้เช่นกัน  {SC 51.1}
                อย่ารีรอจนท่านรู้สึกตัวว่า  ท่านหายดีแล้ว  แต่จงพูดว่า  ข้าพเจ้าเชื่อแล้วก็จะเป็นเช่นนั้น  ไม่ใช่เพราะข้าพเจ้ารู้สึก  แต่เพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้แล้ว  {SC 51.2}
                พระเยซูตรัสว่า  เมื่อท่านอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด  จงเชื่อว่าได้รับและท่านจะได้รับสิ่งนั้น  (มาระโก 11:24)  มีเงื่อนไขผูกติดอยู่กับพระสัญญานี้  คือ  เราจะต้องอธิษฐานให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  แต่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะทรงชำระเราจากความบาป  เพื่อให้เราเป็นบุตรของพระองค์และช่วยให้เราดำเนินชีวิตที่ชอบธรรม  ดังนั้น  เราจึงทูลขอพระพรเหล่นี้ได้และเชื่อว่าเราได้รับและขอบพระคุณพระเจ้าที่เราได้รับแล้ว  เป็นสิทธิพิเศษที่เราเข้ามาหาพระเยซูและรับการชำระให้สะอาดได้  และเราจะยืนอยู่หน้าพระบัญญัติเหล่านี้โดยปราศจากความละอายหรือความเสียใจ  เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์  (โรม 8:1)  {SC 51.3}
                ต่อแต่นี้ไป  ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง  ท่านถูกซื้อด้วยราคาสูง  พระองค์ได้ทรงไถ่ท่านทั้งหลาย.....มิใช่ไถ่ไว้ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้  เช่นเงินและทอง  แต่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตประเสริฐของพระคริสต์  ดังเลือดลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่าง  (1 เปโตร 1:18, 19) ด้วยวิธีการเชื่อพระเจ้าที่ง่ายๆ เช่นนี้  พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เริ่มชีวิตใหม่ในจิตใจของท่านแล้ว  ท่านเป็นเหมือนเด็กเกิดใหม่มาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้าและพระองค์ทรงรักท่านเหมือนที่พระองค์ทรงรักพระบุตรของพระองค์  {SC 51.4}
                บัดนี้  ท่านได้มอบตัวท่านเองให้พระเยซูแล้ว  จงอย่าหันหลังกลับ  จงอย่านำตัวของท่านออกไปจากพระองค์  แต่ในทุกๆ วัน  ให้ท่านพูดว่า  ข้าพเจ้าเป็นของพระคริสต์  ข้าพเจ้าได้มอบถวายตัวข้าพเจ้าให้พระองค์แล้ว  และทูลขอพระองค์ให้พระทานพระวิญญาณของพระองค์แก่ท่าน  และรักษาท่านไว้  โดยพระคุณของพระองค์  เมื่อท่านมอบถวายตัวท่านเองให้พระเจ้า  และเชื่อในพระองค์  อัครทูตเปาโลได้กล่าวว่า  เมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์เจ้าแล้วฉันใด  จงปฏิบัติพระองค์ด้วยฉันนั้น  (โคโลสี 2:6)  {SC 52.1}
                บางคนอาจจะรู้สึกว่า  เขาจะต้องถูกทดสอบและพิสูจน์ตนให้พระเจ้าเห็นว่าเขาได้ปฏิรูปแล้วเสียก่อนเขาจึงจะขอรับพระพรของพระองค์ได้  แต่พวกเขาเข้ามารับพระพรในเวลานี้ได้เลย  เขาต้องมีพระคุณของพระเจ้า  พระวิญญาณของพระคริสต์เพื่อช่วยความอ่อนแอในตัวของเรา  ความผิดของเรา  ความบาปของเรา  และกราบลงแทบพระบาทของพระองค์ด้วยความเสียใจต่อบาป  พระสิริของพระเจ้าจะโอบล้อมเราในอ้อมแขนแห่งความรักของพระองค์  และจะรักษาบาดแผลของเรา  และชำระเราให้พ้นจากความผิดทั้งหมด  {SC 52.2}
                คนมากมายล้มลงในเรื่องนี้  พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงอภัยให้เขาเป็นการส่วนตัวและเป็นรายบุคคล  พวกเขาไม่เชื่อตามพระดำรัสของพระเจ้า  เป็นสิทธิพิเศษของทุกคนที่ทำตามเงื่อนไขจะรู้ได้ด้วยตนเองว่า  การบาปผิดทุกรายจะได้รับการอภัยโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ  จงทิ้งความสงสัยที่ว่า  พระสัญญาของพระเจ้าไม่ได้มีไว้ให้ท่าน พระสัญญานี้มีไว้ให้ผู้ล่วงละเมิดทุกคนที่กลับใจ  โดยทางพระคริสต์  พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมกำลังและพระคุณเพื่อทูตสวรรค์ผู้รับใช้จะนำไปให้แก่จิตวิญญาณทุกดวงที่มีความเชื่อ  ไม่มีผู้ใดมีบาปที่หนาเกินไปที่จะเข้ามาหาพละกำลัง  ความบริสุทธิ์และความชอบธรรมที่มีอยู่ในพระเยซูผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อทุกคนไม่ได้  พระองค์ทรงรอคอยที่จะถอดเสื้อที่เปรอะเปื้อนและสกปรกด้วยบาปของพวกเขาออก  และสวมเสื้อแห่งความชอบธรรมให้แก่เขา  พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เขามีชีวิตอยู่และไม่ต้องตาย  {SC 52.3}
                พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติต่อเราเหมือนเช่นมนุษย์ที่เป็นเนื้อหนังปฏิบัติต่อกัน  ความคิดของพระองค์เป็นความคิดแห่งความเมตตา  ความรักและเอ็นดูพระองค์ตรัสว่า  ให้คนอธรรมละทิ้งทางของเขา  และคนไม่ชอบธรรมสละความคิดของเขา  ให้เขากลับยังพระเจ้า  เพื่อพระองค์จะทรงกรุณาเขา  และยังพระเจ้าของเรา  เพราะพระองค์จะทรงอภัยอย่างล้นเหลือ  เราได้ลบล้างการทรยศของเจ้าเสียเหมือนเมฆ  และลบล้างบาปของเจ้าเหมือนหมอก  จงกลับมาหาเรา  เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว (อิสยาห์ 55:7; 44:22)  {SC 53.1}
                “พระเจ้าตรัสว่า  เราไม่มีความพอใจในความตายของผู้หนึ่งผู้ใดเลย  จงหันกลับและดำรงชีวิตอยู่  (เอเสเคียล 18:32)  ซาตานพร้อมที่จะฉกชิงพระสัญญาอันประเสริฐของพระเจ้าไป  มันมุ่งมั่นที่จะเอาแสงแห่งความหวังที่ริบหรี่และลำแสงแห่งความจริงทั้งหมดออกไปจากจิตวิญญาณ  แต่ท่านจะต้องไม่ปล่อยให้มันทำเช่นนี้  จงอย่าฟังผู้ล่อลวง  แต่ให้ท่านพูดว่า  พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่  พระองค์ทรงรักข้าพเจ้า  และไม่ทรงประสงค์ให้ข้าพเจ้าพินาศ  ข้าพเจ้ามีพระบิดาบนสวรรค์ที่ทรงเมตตาปราณี  และถึงแม้ข้าพเจ้าได้ใช้ความรักของพระองค์ไปในทางที่ผิด  แม้ข้าพเจ้าได้ใช้พระพรที่พระองค์ทรงประทานให้แก่ข้าพเจ้าอย่างสุรุ่ยสุร่าย  ข้าพเจ้าจะลุกขึ้นไปหาพระบิดาของเรา  และพูดกับท่านว่า  บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย  ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป  ขอท่านให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างของท่านคนหนึ่งเถิด  อุปมานี้บอกท่านให้ทราบว่า  ผู้ที่หลงหายไปได้รับการต้อนรับอย่างไร  เมื่อเขายังอยู่แต่ไกลบิดาแลเห็นเขาก็มีความเมตตา  จึงวิ่งออกไปกอดคอจูบเขา  (ลูกา 15:18-20)  {SC 53.2}
                ถึงแม้อุปมานี้จะอ่อนหวานและจับใจเพียงไรก็ตาม  แต่ก็ยังบรรยายถึงพระเมตตาคุณของพระเจ้าแห่งสวรรค์ได้ไม่หมด  พระเจ้าทรงประกาศผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า  เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์  เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป (เยเรมีย์ 31:3)  ในขณะที่คนบาปยังอยู่ไกลบ้านของพระบิดา  เขาผลาญทรัพย์ของตนอยู่ในเมืองไกล  พระหทัยของพระบิดายังห่วงหาถึงเขา  และจิตวิญญาณทุกดวงที่ตื่นขึ้นและอยากจะกลับไปยังพระเจ้าก็เกิดจากการร้องขออย่างแผ่วเบาของพระวิญญาณของพระองค์ที่กำลังเรียกร้อง  เชิญชวน  ชักนำผู้ที่หลงหายไปให้กลับมายังพระหทัยที่เปี่ยมด้วยความรักของพระบิดา  {SC 54.1}
                ด้วยพระสัญญามากมายในพระคัมภีร์ที่อยู่ต่อหน้าท่าน  ท่านจะเปิดทางให้กับความสงสัยได้อย่างไร  ท่านจะเชื่อได้อย่างไรว่าเมื่อคนบาปผู้น่าสงสารอยากจะหันหลังกลับ  อยากจะละทิ้งความบาปของเขา  พระเจ้าจะทรงเกรี้ยวกราดไม่ยอมให้เขาเมายังแทบพระบาทของพระองค์เพื่อกลับใจหรือให้ท่านทิ้งความคิดเช่นนี้ออกไปเสีย  ไม่มีสิ่งใดจะทำความเสียหายให้แก่จิตวิญญาณของท่านได้มากกว่าการที่ท่านจะสนุกกับความคิดที่ว่าพระบิดาบนสวรรค์ของเราเป็นเช่นนี้  พระองค์ทรงเกลียดชังบาป  แต่พระองค์ทรงรักคนบาปและพระองค์ทรงประทานพระองค์เองในพระคริสต์  เพื่อให้ทุกคนที่ต้องการได้รับความรอด  และพระพรชั่วนิรันดร์ในแผ่นดินแห่งพระสิริ  พระองค์จะทรงใช้ภาษาใดที่หนักแน่นกว่าและอ่อนโยนกว่านี้เพื่อบรรยายถึงความรักของพระองค์ที่มีต่อเราได้  พระองค์ทรงประกาศว่า  ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง  และจะไม่เมตตาบุตรจากครรภ์ของนางได้หรือ  แม้ว่าคนเหล่านี้ยังลืมได้กระนั้นเราก็จะไม่ลืมเจ้า  (อิสยาห์ 49:15) {SC 54.2}
                จงแหงนหน้ามองขึ้นไป  ท่านทั้งหลายที่สงสัยตัวสั่นสะท้านอยู่  เพราะพระเยซูทรงพระชนม์อยู่เพื่อเป็นผู้แก้ต่างของเรา  ขอบคุณพระเจ้าสำหรับของประทาน  คือ  พระบุตรอันเป็นที่รักของพระองค์  และจงอธิษฐานเพื่อการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เพื่อท่านนั้นจะไม่เป็นการสูญเปล่า  พระวิญญาณทรงเชิญท่านในวันนี้  ขอให้ท่านเข้ามาหาพระเยซูด้วยหัวใจทั้งหมดของท่าน  และท่านยื่นมือรับพระพรของพระองค์ได้  {SC 54.3}
                ในขณะที่ท่านอ่านพระสัญญา  จงจดจำไว้เสมอว่าพระสัญญาเหล่านั้นเป็นการแสดงความรักและพระเมตตาที่ไม่อาจจะเปล่งออกมาเป็นวาจาได้  พระหทัยยิ่งใหญ่ของพระองค์ผู้มีความรักที่ไม่มีที่สิ้นสุดจะเข้ามาหาคนบาปด้วยความเมตตาอันไร้ขอบเขต  เราได้รับการไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์  คือได้รับการอภัยโทษบาปของเราโดยพระกรุณาอันอุดมของพระองค์  (เอเฟซัส 1:17)  ถูกแล้ว  เพียงเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยของท่าน  พระองค์ทรงประสงค์ที่จะนำพระฉายาด้านศีลธรรมกลับคืนมาให้มนุษย์  ในขณะที่ท่านเข้ามาใกล้พระองค์ด้วยการสารภาพและการกลับใจ  พระองค์จะทรงเข้ามาใกล้ท่านด้วยความเมตตาและการอภัย  {SC 55.1}



เคล็ดลับที่ 7
การทดสอบการเป็นสาวก

                ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์  ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว  สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป  นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”  (2 โครินธ์ 5:17)  {SC 57.1}
                คนๆ หนึ่งไม่อาจบอกเวลาหรือสถานที่แน่นอนหรือลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในขบวนการของการกลับใจ  แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้กลับใจ  พระคริสต์ตรัสกับนิโคเดมัสว่า  ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้นและท่านได้ยินเสียงลมนั้น  แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากทางไหนและไปที่ไหน  คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน  (ยอห์น 3:8)  พระวิญญาณของพระเจ้าก็เป็นเหมือนเช่นลมที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น  แต่เรามองเห็นและสัมผัสผลของพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทำงานในจิตใจมนุษย์ได้อย่างชัดเจน  อำนาจการบังเกิดใหม่ซึ่งสายตามนุษย์ไม่อาจจะมองเห็นได้นั้นจะทำให้เกิดชีวิตใหม่ขึ้นในจิตวิญญาณ  อำนาจนั้นสร้างคนใหม่ที่มีพระฉายาของพระเจ้าในตัวเขา  ในขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานอย่างเงียบๆ และสัมผัสไม่ได้  แต่ผลของการกระทำนั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจน  หากพระวิญญาณของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่แล้ว  ชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจะเป็นพยานให้เห็นถึงความจริง  ในขณะที่เราเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราและนำตนเองให้มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้าไม่ได้  ในขณะที่เราจะต้องไม่วางใจในตัวเราหรือในการดีที่เราทำ  แต่ชีวิตของเราจะแสดงออกให้เห็นว่า  เรามีพระคุณของพระเจ้าที่ทรงร่วมสถิตอยู่ด้วยหรือไม่  เราจะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบุคลิก  ในอุปนิสัยและในการงาน  เราจะมองเห็นความแตกต่างระหว่างชีวิตในอดีตที่ผ่านมากับชีวิตในปัจจุบันได้อย่างชัดเจนและแน่นอน  เราจะมองเห็นอุปนิสัยที่โน้มเอียงในการทำการดีทั้งทางวาจาและการกระทำ  แทนที่จะเป็นการกระทำความชอบในโอกาสนี้และทำการไม่ดีในโอกาสอื่น  {SC 57.2}
                ความประพฤติดีที่แสดงออกมาให้เห็นภายนอกอาจเกิดขึ้นได้โดยปราศจากอำนาจการบังเกิดใหม่ของพระคริสต์  จิตใจที่ปรารถนาจะได้อำนาจเหนือผู้อื่นและได้คำสรรเสริญจากผู้อื่น  อาจทำให้ชีวิตมีระเบียบขึ้นมาได้  ความเคารพตนเองนำเราให้หลีกเลี่ยงการกระทำชั่ว  จิตใจที่มีแต่ความเห็นแก่ตัวอาจแสดงตนเป็นผู้ที่มีใจกว้างได้  แล้วจะนำอะไรมาใช้เพื่อตัดสินว่าเราอยู่ฝ่ายใด  {SC 58.1}
                ใครเป็นผู้ครอบครองหัวใจของเรา ใครอยู่ในความนึกคิดของเรา  เราชื่นชอบที่จะสนทนากับผู้ใด  ใครได้ความรู้สึกดีที่สุดและได้พละกำลังที่ดีเลิศสุดของเรา  หากเราเป็นของพระคริสต์  ความนึกคิดของเราจะอยู่กับพระองค์  และความคิดหวานชื่นที่สุดจะเป็นเรื่องของพระคริสต์  ทุกสิ่งที่เรามีและที่เราเป็นอยู่จะมอบถวายให้พระองค์  เราปรารถนาที่จะได้พระฉายาของพระองค์  หายใจด้วยวิญญาณของพระองค์  กระทำตามพระประสงค์ของพระองค์และทำทุกสิ่งให้เป็นที่พอพระทัยพระองค์  {SC 58.2}
                ผู้ที่ได้รับการสร้างใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์จะเกิดผลของพระวิญญาณ  ความรัก  ความปลาบปลื้มใจ  สันติสุข  ความอดกลั้นใจ  ความปราณี  ความดี  ความสัตย์ซื่อ  ความสุภาพอ่อนน้อม  การรู้จักบังคับตน  (กาลาเทีย 5:22, 23)  พวกเขาจะไม่ใส่ใจต่อกิเลสตัณหาในอดีต  แต่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า  พวกเขาจะดำเนินตามพระองค์  สะท้อนพระอุปนิสัยของพระองค์และชำระตัวให้บริสุทธิ์เหมือนพระองค์  สิ่งที่เขาเคยเกลียดชัง  บัดนี้เขารัก  และสิ่งที่เขาเคยรักบัดนี้เขาเกลียดชัง  ผู้ที่ยโสและเห็นแก่ตัวจะกลายเป็นคนเอาจริงเอาจังและไม่โอ้อวด  คนเมากลับเป็นคนที่มีเหตุมีผลและคนไร้ศีลธรรมกลายเป็นคนที่ไม่มีราคี  ธรรมเนียมและความนิยมของชาวโลกจะถูกปัดทิ้งไป  คริสเตียนจะไม่แสวงหา  การประดับภายนอก  แต่จะ  ประดับภายในจิตใจ  แต่งด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลายคือ  ด้วยจิตใจที่สงบและสุภาพ  (1 เปโตร 3:3, 4)  {SC 58.3}
                ไม่มีหลักฐานใดที่จะแสดงให้เห็นว่ามีการกลับใจที่แท้จริงนอกจากว่าการกลับใจนั้นจะก่อให้เกิดการปฏิรูป  หากเขาทำตามสิ่งที่ได้สัญญาไว้  ส่งคืนสิ่งของที่ได้ปล้นมา  สารภาพบาปของเขาและรักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์  คนบาปนั้นจึงอาจจะมั่นใจได้ว่าเขาได้ก้าวจากความตายไปสู่ชีวิต  {SC 59.1}
                เมื่อเราเข้ามาหาพระคริสต์ในสภาพของคนบาปและได้รับพระคุณแห่งการอภัยบาปของพระองค์แล้ว  ความรักจะเกิดขึ้นภายในจิตใจ  ทุกภาระจะเบาลง  เพราะแอกที่พระคริสต์ทรงวางไว้ให้นั้นพอเหมาะ  ภาระหน้าที่กลายเป็นเรื่องที่ทำด้วยความยินดี  การเสียสละจะเป็นสิ่งที่สร้างความสุข  หนทางเบื้องหน้าที่เคยดูประหนึ่งว่า  ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด  จะสว่างไสวด้วยลำแสงจากดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม  {SC 59.2}
                พระลักษณะที่น่ารักของพระคริสต์จะปรากฏให้เห็นในตัวของผู้ติดตามพระองค์  พระคริสต์ทรงชื่นชอบกับการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  ความรักที่พระองค์ถวายพระเจ้าและความร้อนรนในการถวายพระสิริให้พระเจ้าคืออำนาจที่คอยควบคุมในชีวิตองพระผู้ช่วยให้รอดของเรา  ความรักส่งผลให้ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำแลดูสวยงามและสูงส่ง  ความรักจากพระเจ้าจิตใจที่ยังไม่ได้อุทิศถวายพระเจ้าจะก่อให้เกิดหรือแสดงความรักเช่นนี้ออกมาไม่ได้  ความรักเช่นนี้จะพบได้ในจิตใจที่มีพระเยซูครอบครองอยู่เท่านั้น  เราทั้งหลายรักก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน (1 ยอห์น 4:19)  ในจิตใจที่สร้างขึ้นมาใหม่ด้วยพระคุณของพระเจ้านั้นจะมีความรักเป็นหลักการของการกระทำ  ความรักนี้จะหล่อหลอมอุปนิสัย  บังคับความรู้สึก  ควบคุมกิเลสตัณหา   ลดความเป็นศัตรูกันและทำให้ความรักสูงส่ง  ความรักเช่นนี้จะถนอมจิตวิญญาณและทำให้ชีวิตหวานชื่นและกระจายอิทธิพลบริสุทธิ์ให้แก่ทุกคนที่อยู่รอบข้าง  {SC 59.3}
                มีความผิดอยู่สองประการที่บุตรทั้งหลายของพระเจ้าจะต้องระวัง  โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเข้ามามอบความวางใจในพระคุณของพระองค์ได้ไม่นาน  ประการแรก  เป็นเรื่องที่กล่าวมาแล้ว  คือการมองไปที่ผลงานของตนเองและเชื่อมั่นในการกระทำเพื่อนำตัวเองให้เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า  ผู้ที่พยามทำตัวเองให้บริสุทธิ์ด้วยการถือรักษาพระบัญญัติกำลังพยายามทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  การกระทำทั้งหมดที่มนุษย์ทำไปโดยปราศจากพระคริสต์ล้วนเปรอะเปื้อนด้วยความเห็นแก่ตัวและความบาป  มีเพียงพระคุณของพระเจ้าที่เราได้รับโดยความเชื่อเท่านั้นที่จะทำให้เราบริสุทธิ์  {SC 59.4}
                ความผิดในทางกลับกันและอันตรายไม่น้อยกว่ากันคือการเชื่อว่าพระคริสต์ทรงปลดปล่อยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากการถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าแล้ว  โดยให้เหตุผลว่าเราจะมีส่วนในพระคุณของพระคริสต์ได้ด้วยความเชื่อเท่านั้น  การกระทำไม่มีผลต่อความรอดของเราเลย  {SC 60.1}
                แต่ขอให้สังเกตว่า  การเชื่อฟังไม่ใช่เป็นการร่วมมือที่ปรากฏให้เห็นแต่เพียงภายนอก  การเชื่อฟังเป็นการรับใช้แห่งรัก  พระบัญญัติของพระเจ้าซึ่งแสดงให้เห็นธรรมชาติของพระเจ้า  เป็นศูนย์รวมแห่งหลักการที่ยิ่งใหญ่ของความรักและเป็นรากฐานการปกครองของพระเจ้าทั้งในสวรรค์และบนโลก  หากหัวใจของเราถูกเปลี่ยนใหม่ให้เหมือนของพระเจ้า  หากบัญญัติแห่งรักของพระเจ้าถูกปลูกฝังเข้าไปอยู่ในจิตวิญญาณ  พระบัญญัติของพระเจ้าจะไม่ปรากฏออกให้เห็นในชีวิตของเราหรือ  เมื่อหลักการแห่งความรักถูกปลูกฝังลงในจิตใจ  เมื่อมนุษย์ถูกสร้างขึ้นใหม่ตามแบบพระฉายาของพระองค์ผู้ทรงสร้างเขามานั้น  พระสัญญาใหม่ก็จะเกิดขึ้น  เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในใจของเขาทั้งหลาย  และเราจะจารึกพระธรรมนั้นไว้ในจิตใจของเขาทั้งหลาย (ฮีบรู 10:16)  และหากบทบัญญัติถูกจารึกลงไปในใจของเขาแล้ว  พระบัญญัติจะไม่หล่อหลอมชีวิตของเขาหรือ  การเชื่อฟังซึ่งเป็นการรับใช้และความภักดีของความรักจะเป็นหมายสำคัญของการเป็นสาวกที่แท้จริง  ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์จึงได้กล่าวไว้ว่า  นี่แหละเป็นความรักต่อพระเจ้า  คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์  คนใดที่กล่าวว่า  ข้าพเจ้าคุ้นกับพระองค์ แต่มิได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์  คนนั้นเป็นคนพูดมุสาและความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย (1 ยอห์น 5:3, 2:4)  เราไม่ได้ถูกปลดปล่อยให้พ้นจากการต้องเชื่อฟัง  แต่ด้วยความเชื่อและความเชื่อเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้เรามีส่วนในพระคุณของพระคริสต์และทำให้เราเชื่อฟัง  {SC 60.2}
                เราไม่ได้รับความรอดเป็นค่าจ้างตอบแทนการเชื่อฟัง  เพราะความรอดเป็นของประทานของพระเจ้าที่ทรงประทานให้เปล่าๆ ซึ่งเราจะรับมาได้โดยความเชื่อ  แต่การเชื่อฟังเป็นผลของความเชื่อ  ท่านทั้งหลายรู้แล้วว่า  พระองค์ได้ทรงปรากฏเพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป  และพระองค์ไม่ทรงมีบาปเลย  ผู้ใดที่อยู่ในพระองค์  ผู้นั้นไม่กระทำบาป  ส่วนผู้ใดที่กระทำบาป  ผู้นั้นยังไม่เห็นพระองค์  และยังไม่รู้จักพระองค์  (1 ยอห์น 3:5, 6)  นี่คือการทดสอบที่แท้จริง  หากเราอยู่ในพระคริสต์  หากความรักของพระเจ้าอยู่ภายในตัวเรา  ความรู้สึกของเรา  ความคิดของเรา  เป้าหมายของเรา  การกระทำของเราจะประสานกับน้ำพระทัยของพระเจ้าตามที่พระบัญญัติบริสุทธิ์ของพระองค์ได้สอนว่า  ลูกทั้งหลายเอ๋ย  อย่าให้ใครชักจูงท่านให้หลง  ผู้ที่ประพฤติชอบก็ชอบธรรมเหมือนอย่างพระองค์ชอบธรรม (1 ยอห์น 3:7)  ความชอบธรรมถูกกำหนดด้วยมาตรฐานพระบัญญัติบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ได้สำแดงให้เห็นในหลักการสิบประการที่ทรงโปรดประทานจากภูเขาซีนาย  {SC 61.1}
                ความเชื่อในพระคริสต์ที่อ้างว่าได้ปลดปล่อยให้มนุษย์หลุดพ้นจากการถูกกำหนดให้เชื่อฟังพระเจ้านั้น  แท้จริงแล้วไม่ใช่ความเชื่อแต่เป็นการทึกทักคิดขึ้นมาเอง  เราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ  แต่  ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน  ถ้าไม่ประพฤติตามก็ไร้ผล  (เอเฟซัส 2:8; ยากอบ 2:17)  พระเยซูตรัสถึงพระองค์เองในสมัยก่อนที่พระองค์จะเสด็จมายังโลกว่า  ข้าพระองค์ปิติยินดีที่กระทำตามน้ำพระทัยพระองค์  พระธรรมของพระองค์อยู่ในจิตใจของข้าพระองค์  (สดุดี 40:8)  ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับไปยังสวรรค์เพียงเล็กน้อย  พระองค์ทรงประกาศว่า  เราประพฤติตามพระบัญญัติของพระบิดาและยึดมั่นอยู่ในความรักของพระองค์  (ยอห์น 15:10)  พระคัมภีร์กล่าวว่า  เราจะมั่นใจได้ว่าเราคุ้นกับพระองค์โดยข้อนี้  คือถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์.....ผู้ใดกล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์  ผู้นั้นก็ควรดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงดำเนินนั้น  (1 ยอห์น 2:3-6เพราะว่าพระคริสต์ก็ได้ทรงทนทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลาย  ให้เป็นแบบอย่างแก่ท่านเพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์  (1 เปโตร 2:21)  {SC 61.2}
                ในเวลานี้  เงื่อนไขที่จะได้ชีวิตนิรันดร์ก็ยังคงเหมือนเดิม  เป็นเหมือนกับครั้งที่เป็นอยู่ในสรวงสวรรค์ก่อนที่บรรพบุรุษคู่แรกล้มลงในบาป  นั่นคือการเชื่อฟังบทบัญญัติของพระเจ้าอย่างบริบูรณ์  มีผลให้เกิดความชอบธรรมที่สมบูรณ์  หากจะลดเงื่อนไขการรับชีวิตนิรันดร์ลง  ความผาสุกของทั่วทั้งจักรวาลก็จะตกอยู่ในอันตราย  เป็นการเปิดทางให้ความบาปนำความทุกข์และความโศกเศร้าให้ยั่งยืนเป็นอมตะตลอดไป  {SC 62.1}
                ก่อนอาดัมล้มลงในบาป  บุคลิกชอบธรรมของอาดัมพัฒนาขึ้นมาได้ด้วยการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า  แต่อาดัมพลาดในเรื่องนี้  และเนื่องจากความบาปของอาดัม  ธรรมชาติของเราจะตกต่ำลงและเราทำให้ตัวเราเองชอบธรรมไม่ได้  เนื่องจากเราเป็นคนบาปหนา  ไม่บริสุทธิ์  เราจึงเชื่อฟังบทบัญญัติศักดิ์สิทธิ์อย่างสมบูรณ์แบบไม่ได้  เราไม่มีความชอบธรรมของเราเองที่จะนำมาชดใช้ค่าเสียหายตามที่พระบัญญัติของพระเจ้าเรียกร้องได้  แต่พระคริสต์ทรงจัดหาหนทางให้เราหลุดพ้น  พระองค์ทรงดำเนินชีวิตที่ปราศจากบาป  พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราและบัดนี้พระองค์ทรงเสนอตัวรับบาปของเราและประทานความชอบธรรมของพระองค์ให้แก่เรา  หากท่านจะถวายตัวให้พระองค์และยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่านแล้ว  ไม่ว่าท่านจะมีบาปหนาเพียงไร  โดยหนทางของพระองค์  ท่านจะได้เป็นคนชอบธรรม  พระลักษณะของพระคริสต์จะเข้ามาในอุปนิสัยของท่านและต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า  ท่านจะได้รับการยอมรับว่าท่านไม่เคยทำบาปมาก่อนเลย  {SC 62.2}
                นอกเหนือจากนี้  พระคริสต์ทรงเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านได้  และโดยความเชื่อพระองค์ทรงร่วมสถิตอยู่ในใจของท่าน  และท่านจะต้องรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้โดยความเชื่อและมอบถวายความตั้งใจของท่านให้พระองค์เรื่อยไป  และตราบเท่าที่ท่านยังคงทำเช่นนี้  พระองค์จะทรงกระทำกิจอยู่ภายในตัวท่านเพื่อให้ความต้องการและความปรารถนาของท่านเป็นไปตามชอบพระทัยของพระองค์  แล้วท่านจะพูดได้ว่า  ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้  ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้าและได้ทรงสละพระองค์เพื่อข้าพเจ้า  (กาลาเทีย 2:20)  ดังที่พระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า  ผู้ที่พูดมิใช่ตัวท่านเอง  แต่เป็นพระวิญญาณแห่งพระบิดาของท่านผู้ตรัสทางท่าน  (มัทธิว 10:20)  เมื่อท่านมีพระคริสต์การกระทำการในตัวท่าน  ท่านก็จะมีจิตวิญญาณที่เหมือนของพระองค์และกระทำงานที่ดีแบบเดียวกัน  นั่นคืองานของความชอบธรรมและการเชื่อฟัง  {SC 62.3}
                ดังนั้นเราจึงไม่มีสิ่งใดในตัวเราที่จะอวด  เราไม่มีข้ออ้างใดที่จะยกชูตัวของเราเองให้สูงขึ้น  พื้นฐานของความหวังเดียวของเราอยู่ในความชอบธรรมของพระคริสต์ที่ทรงประทานให้แก่เราและพระวิญญาณของพระองค์ที่กระทำการอยู่ในตัวของเราและสำเร็จในเรา  {SC 63.1}
                เมื่อเราพูดถึงความเชื่อแล้ว  มีความแตกต่างที่เราต้องใส่ใจ  มีความเชื่อบางประการที่แตกต่างจากความเชื่อที่กล่าวมาแล้วโดยสิ้นเชิง  การดำรงอยู่ของพระเจ้าและอำนาจของพระองค์  ความจริงที่อยู่ในพระวจนะของพระเจ้า  เรื่องเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่แม้ซาตานและบริวารของมันก็ไม่อาจปฏิเสธ  พระคัมภีร์กล่าวว่า  ปีศาจก็เชื่อ  และกลัวจนตัวสั่น  แต่นี่ไม่ใช่ความเชื่อ  (ยากอบ 2:19)  เราจะต้องไม่เพียงเชื่อในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น  แต่เราจะต้องนำความต้องการมามอบถวายให้พระองค์  เราจะต้องมอบถวายจิตใจให้พระองค์  ให้ความรู้สึกติดสนิทอยู่กับพระองค์  การทำเช่นนี้ต้องมีความเชื่อ  ความเชื่อที่กระทำการโดยความรักและการชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์  ความเชื่อเช่นนี้จะสร้างหัวใจขึ้นมาใหม่ในพระฉายาของพระเจ้า  และหัวใจที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่จะอยู่ภายใต้พระบัญญัติของพระเจ้าไม่ได้และจะเป็นเช่นนั้นไม่ได้  แต่บัดนี้ปีติยินดีในพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า  จะร้องขึ้นพร้อมกับผู้ประพันธ์สดุดีว่า  แหม  ข้าพระองค์รักพระธรรมของพระองค์จริงๆ เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์วันยังค่ำ  (สดุดี 119:97)  และความชอบธรรมของพระบัญญัติสำเร็จในเรา  ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง  แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ  (โรม 8:1)  {SC 63.2}
                ยังมีผู้ที่เคยรู้จักความรักแห่งการอภัยของพระคริสต์และพวกเขามีความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะเป็นบุตรของพระเจ้า  แต่ถึงกระนั้นพวกเขารู้ดีว่าอุปนิสัยของเขายังไม่สมบูรณ์แบบ  ชีวิตของเขายังด่างพร้อยและเขาก็สงสัยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจของเขาใหม่แล้วหรือยัง  ข้าพเจ้าขอบอกกับคนเหล่านี้ว่า  อย่าหันกลับด้วยความท้อใจถึงแม้บ่อยครั้งเราจะต้องก้มลงและร้องไห้แทบพระบาทของพระองค์เพราะความบกพร่องและความผิดของเรา  แต่เราจะต้องไม่ท้อถอย  ถึงแม้ว่าเราจะพ่ายแพ้ต่อศัตรูแต่พระเจ้าก็ไม่ได้ขับไล่  ทอดทิ้งและปฏิเสธเรา  ไม่เลย  พระคริสต์ทรงประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า  พระองค์ทรงทูลขอเพื่อเรา  ยอห์นผู้เป็นที่รักยิ่งของพระคริสต์ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลาย  เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป  และถ้าผู้ใดทำบาป  เราก็มีพระองค์ผู้ทูลขอพระบิดาเพื่อเรา  คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเที่ยงธรรมนั้น (1 ยอห์น 2:1)  และขอให้ท่านอย่าลืมพระดำรัสของพระคริสต์ที่ว่า  พระบิดาเองก็ทรงรักท่านทั้งหลาย  (ยอห์น 16:27)  พระองค์ทรงประสงค์ที่จะนำท่านกลับมายังพระองค์เพื่อให้ความบริสุทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์สะท้อนออกมาจากตัวท่าน  และหากท่านจะยอมมอบถวายตัวท่านเองให้พระองค์  พระองค์ผู้ได้ทรงเริ่มต้นการดีในตัวท่าน  จะทรงกระทำการต่อไปจนถึงวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า  ขอให้อธิษฐานด้วยใจร้อนรนมากยิ่งขึ้น  เชื่อมั่นอย่างเต็มที่  เมื่อเรามาถึงจุดที่เราไม่วางใจในอำนาจของตนเอง  ขอให้เราวางใจในอำนาจของพระผู้ไถ่และสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงเป็นความไพบูลย์ในชีวิตของเรา  {SC 64.1}
                เมื่อท่านเข้าใกล้พระเยซูมากยิ่งขึ้นเพียงไร  ท่านก็จะยิ่งมองเห็นความบกพร่องในตัวของท่านเองมากขึ้นเท่านั้น  เพราะสายตาของท่านจะมองเห็นได้ดียิ่งขึ้น  และเมื่อท่านเทียบกับธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบของพระองค์  ท่านก็จะเห็นความไม่สมบูรณ์ในตัวของท่านได้โจ่งแจ้งและมีความชัดเจนมากขึ้น  นี่คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า  อำนาจการหลอกลวงของซาตานได้เสื่อมถอยไปแล้วและอิทธิพลที่ให้ชีวิตของพระวิญญาณของพระเจ้าได้ปลุกท่านให้ตื่นขึ้น  {SC 64.2}
                ความรักที่มีต่อพระเยซูไม่อาจที่จะฝังลึกเข้าไปในจิตใจที่ไม่สำนึกในความบาปของตนได้  จิตวิญญาณที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงด้วยพระคุณของพระคริสต์จะชื่นชมกับพระลักษณะของพระเจ้า  แต่หากเรามองไม่เห็นความบกพร่องทางคุณธรรมของเราแล้ว  นั่นก็คือหลักฐานที่เด่นชัดว่า  เรายังมองไม่เห็นความงามและคุณความดีของพระคริสต์  {SC 65.1}
                เมื่อเราประเมินค่าในตัวของเราเองให้ยิ่งน้อยลงเพียงไร  เราก็จะประเมินค่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้าและความดีงามของพระผู้ช่วยให้รอดได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น  ภาพของความผิดบาปของเราจะผลักดันเราให้ไปหาพระองค์  ผู้ทรงให้อภัยบาปผิดของเราได้  และเมื่อจิตวิญญาณตระหนักถึงความไม่สามารถช่วยตัวเองได้และยื่นมือไปหาพระคริสต์  พระองค์จะทรงเปิดเผยพระองค์เองด้วยอำนาจยิ่งใหญ่  เมื่อความรู้สึกถึงความขาดแคลนของเราผลักเราให้เข้าไปหาพระองค์และพระวจนะของพระเจ้ามากยิ่งขึ้นเพียงไร  เราก็จะมองเห็นพระลักษณะของพระเจ้าได้สูงส่งมากขึ้นและเราก็จะสะท้อนพระฉายาของพระเจ้าได้บริบูรณ์มากยิ่งขึ้นเท่านั้น  {SC 65.2}



เคล็ดลับที่ 8
เติบใหญ่ขึ้นในพระเยซู

                พระคัมภีร์เรียกการเปลี่ยนแปลงจิตใจที่ทำให้เราได้เป็นบุตรของพระเจ้าว่า  การบังเกิดใหม่  พระคัมภีร์ยังเปรียบเทียบการบังเกิดใหม่นี้กับการแตกหน่อของเมล็ดดีที่ชาวนาหว่านลงไป  ในทำนองเดียวกัน  ผู้ที่กลับใจใหม่ในพระคริสต์เปรียบเหมือน  ทารกแรกเกิด  เพื่อจะจำเริญขึ้น  เป็นชายและหญิงในพระเยซูคริสต์  (1 เปโตร 2:2; เอเฟซัส 4:15)  ดั่งเมล็ดดีที่หว่านลงในทุ่งนาเจริญงอกงามขึ้นและเกิดผล  อิสยาห์กล่าวว่า  คนจะเรียกเขาว่าต้นก่อหลวงแห่งความชอบธรรม  ที่ซึ่งพระเจ้าทรงปลูกไว้เพื่อพระองค์จะทรงสำแดงพระสิริของพระองค์  (อิสยาห์ 61:3)  ดังนั้น  จึงได้มีการนำเรื่องราวชีวิตในธรรมชาติมาใช้เป็นตัวอย่างเพื่อช่วยอธิบายให้เราเข้าใจความจริงที่ลึกลับของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ  {SC 67.1}
                ปัญญาและความสามารถทั้งหมดของมนุษย์ไม่อาจทำให้เกิดชีวิตเล็กที่สุดในธรรมชาติได้  ทั้งพืชหรือสัตว์จะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยชีวิตที่พระเจ้าทรงประทานให้เท่านั้น  เช่นเดียวกัน  ชีวิตฝ่ายวิญญาณจะบังเกิดขึ้นในหัวใจมนุษย์ได้ก็ด้วยชีวิตที่มาจากพระเจ้า  ถ้ามนุษย์ไม่ได้  บังเกิดใหม่จากเบื้องบน  เขาจะมีส่วนในชีวิตซึ่งพระคริสต์เสด็จมาประทานให้ไม่ได้  (ยอห์น 3:3{SC 67.2}
                การเติบใหญ่ขึ้นจะมีลักษณะเหมือนเช่นกับการมีชีวิต  พระเจ้าทรงเป็นผู้กระทำให้ดอกตูมนั้นบานและจากดอกทำให้เกิดเป็นผล  ด้วยอำนาจของพระองค์ที่จะทำให้เมล็ดเกิดขึ้น  เป็นลำต้นก่อน  ภายหลังก็ออกรวง  แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง  (มาระโก 4:28)  และผู้เผยพระวจนะโฮเชยากล่าวถึงชนชาติอิสราเอลว่า  เขาจะเบิกบานอย่างดอกพลับพลึง  เขาจะเจริญขึ้นเหมือนอุทยาน  จะออกดอกเหมือนเถาองุ่น  (โฮเยา 14:5, 7)  และพระเยซูทรงบัญชาให้เรา  พิจารณาดอกไม้ว่ามันงอกเจริญขึ้นอย่างไร  (ลูกา 12:27)  ต้นพืชและดอกไม้ไม่อาจงอกงามขึ้นด้วยการใส่ใจหรือความร้อนใจหรือความพยายามของมันเอง  แต่จะเจริญเติบใหญ่ขึ้นได้ด้วยสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้เพื่อเลี้ยงดูชีวิตของมัน  เด็กไม่อาจขยายรูปร่างของตนให้ใหญ่ขึ้นได้ด้วยความห่วงใยหรือด้วยพละกำลังของตนเอง  ชีวิตฝ่ายวิญญาณของท่านไม่อาจเติบใหญ่ขึ้นได้จากความทุกข์ร้อนใจ  ความกังวลหรือความพยายามของตัวท่านเอง  ต้นพืช  เด็ก  เติบใหญ่ขึ้นด้วยการรับสิ่งต่างๆ รอบตัวที่รับใช้ชีวิตของเขาทั้งหลาย  ซึ่งได้แก่  อากาศ  แสงแดด  และอาหาร  ธรรมชาติให้ของขวัญเหล่านี้แก่ทั้งพืชและสัตว์  ในทำนองเดียวกันพระเจ้าทรงประทานสิ่งเหล่านี้ให้แก่ทุกคนที่วางใจในพระองค์  พระองค์ทรงเป็น  ความสว่างเป็นนิตย์ของเขา  เป็นดวงอาทิตย์และเป็นโล่  (อิสยาห์ 60:19; สดุดี 84:11)  พระองค์ทรง  เป็นเหมือนน้ำค้างแก่อิสราเอล  เป็นเหมือนฝนที่ตกบนหญ้าที่ตัดแล้ว  (โฮเชยา 14:5; สดุดี 72:6)  พระองค์ทรงเป็นบ่อน้ำพุแห่งชีวิต  เป็น  อาหารของพระเจ้า.....ที่ลงมาจากสวรรค์  และประทานชีวิตให้แก่โลก  (ยอห์น 6:33)  {SC 67.3}
                เมื่อพระเจ้าทรงประทานพระบุตรของพระองค์มาเป็นของขวัญที่ไม่อาจพระเมินค่าได้  พระองค์ได้ทรงโอบล้อมโลกทั้งใบนี้ไว้ด้วยบรรยากาศแห่งพระคุณ  เหมือนกับอากาศที่กระจายอยู่รอบโลก  ทุกคนที่เลือกหายใจด้วยบรรยากาศที่ให้ชีวิตนี้  จะมีชีวิตและเติบใหญ่ขึ้นเป็นชายและหญิงในพระคริสต์  {SC 68.1}
                เช่นเดียวกับที่ดอกไม้หันเข้าหาดวงอาทิตย์เพื่อแสงสว่างจะช่วยให้ดอกไม้นั้นงดงามและสมดุลอย่างสมบูรณ์  เราจึงควรหันไปยังดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมเพื่อแสงสว่างจากสวรรค์จะส่องลงมายังเรา  เพื่ออุปนิสัยของเราจะได้พัฒนาขึ้นจนเป็นเหมือนพระฉายาของพระคริสต์  {SC 68.2}
                พระเยซูทรงสอนเรื่องเดียวกันนี้  เมื่อพระองค์ตรัสว่า  จงเข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน  แขนงจะเกิดผลเองไม่ได้นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด  ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้.....เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย  (ยอห์น 15:4, 5)  ท่านจะต้องพึ่งพระคริสต์  เพื่อชีวิตของท่านจะบริสุทธิ์  เหมือนเช่นกิ่งที่ต้องพึ่งลำต้นเพื่อจะงอกและเกิดผล  หากท่านแยกตัวเองออกจากพระองค์  ท่านจะไม่มีชีวิต  ท่านไม่มีอำนาจต่อต้านการทดลองหรืออำนาจที่จะเจริญขึ้นในพระคุณและความบริสุทธิ์  จงเข้าสนิทกับพระองค์  แล้วท่านจะรุ่งเรือง  จงหล่อเลี้ยงชีวิตของท่านจากพระองค์  เพื่อท่านจะไม่เหี่ยวเฉาหรือไร้ผล  ท่านจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ  {SC 68.3}
                มีคนมากมายคิดว่าเขาต้องทำบางอย่างด้วยตัวเอง  พวกเขาวางใจพระคริสต์ที่ให้อภัยความบาป  แต่บัดนี้เขาใช้ความสามารถของตนเองเพื่อดำรงชีวิตให้ถูกต้อง  แต่ความพยายามเหล่านี้จะล้มเหลว  พระเยซูตรัสว่า  แยกจากเราแล้ว  ท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย  การเติบใหญ่ขึ้นในพระคุณ  ความสุขของเรา  การทำงานที่เกิดประโยชน์  สิ่งเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับการเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระคริสต์  โดยการติดต่อกับพระองค์ทุกวัน  ทุกชั่วโมง  ซึ่งเป็นการติดสนิทกับพระองค์เพื่อที่เราจะเติบใหญ่ในพระคุณได้  พระองค์ไม่ได้เป็นเพียงผู้บุกเบิกความเชื่อของเราเท่านั้นแต่ยังทรงเป็นผู้ทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์  พระคริสต์ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลายและทรงเป็นอยู่ตลอดกาล  พระองค์จะทรงอยู่ร่วมกับเรา  ไม่ใช่ที่จุดเริ่มต้นและที่จุดสุดปลายเท่านั้น  แต่ตลอดทุกย่างก้าว  กษัตริย์ดาวิดตรัสว่า  ข้าพเจ้าตั้งพระเจ้าไว้ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ  เพราะพระองค์ประทับทางเบื้องขวาของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นไหว  (สดุดี 16:8)  {SC 69.1}
                ท่านถามใช่หรือไม่ว่า  ข้าพเจ้าจะติดสนิทกับพระคริสต์ได้อย่างไร  ก็ด้วยวิธีเดียวกันกับที่ท่านได้ยอมรับพระองค์ตั้งแต่ต้น  เหตุฉะนั้นเมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์เจ้าแล้วฉันใด  จงปฏิบัติพระองค์ด้วยฉันนั้น  คนชอบธรรม.....จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ  (โคโลสี 2:6; ฮีบรู 10:38)  ท่านมอบถวายตัวท่านเองให้พระเจ้าแล้วเพื่อให้เป็นของพระองค์ทั้งหมด  เพื่อรับใช้และเชื่อฟังพระองค์  และท่านรับพระคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน  ท่านไถ่บาปของท่านเองด้วยตัวของท่านเองไม่ได้หรือเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านเองไม่ได้  แต่ท่านเชื่อว่า  โดยการมอบถวายตัวท่านเองให้พระเจ้าแล้ว  พระองค์ทรงกระทำการทั้งหมดนี้ให้ท่านโดยเห็นแก่พระคริสต์  โดยความเชื่อท่านเป็นของพระคริสต์แล้ว  และโดยความเชื่อท่านจะเติบใหญ่ขึ้นในพระองค์  ทั้งจากการมอบให้และการรับ  ท่านจะต้องมอบทุกสิ่งรวมทั้งจิตใจ  ความตั้งใจและการรับใช้ของท่าน  มอบถวายตัวท่านเองให้พระองค์โดยปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งหมดของพระองค์  และท่านจะต้องยอมรับทั้งหมด  คือ  พระคริสต์ผู้ทรงเต็มล้นด้วยพระพรทั้งหมด  ให้เข้ามาสถิตในดวงใจของท่าน  เพื่อเป็นกำลังของท่าน  เป็นความชอบธรรมของท่าน  เป็นพระผู้ช่วยนิรันดร์ของท่าน  และพระองค์จะทรงประทานอำนาจให้แก่ท่านที่จะเชื่อปฏิบัติตามได้  {SC 69.2}
                จงถวายตัวของท่านให้พระเจ้าทุกเช้า  ให้เป็นงานแรกที่ท่านทำ  ให้อธิษฐานว่า  โอข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงโปรดรับข้าพระองค์ให้เป็นของพระองค์ทั้งหมด  ข้าพระองค์ขอวางแผนการทั้งหมดของข้าพระองค์ไว้ที่เบื้องพระบาทของพระองค์  โปรดใช้ข้าพระองค์ในพระราชกิจของพระองค์ในวันนี้  ขอทรงโปรดสถิตอยู่กับข้าพระองค์และโปรดให้งานทั้งหมดของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์  นี่คือสิ่งที่เราต้องทำทุกวัน  ท่านจะต้องมอบถวายตัวให้พระเจ้าทุกเช้า  มอบถวายแผนการทั้งหมดของท่านให้พระองค์เพื่อจะทำให้สำเร็จหรือล้มเลิกไปตามการทรงนำของพระองค์  ด้วยประการฉะนี้  ท่านจะมอบถวายชีวิตของท่านให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทุกวัน  และชีวิตของท่านจะถูกปั้นแต่งให้เหมือนชีวิตของพระคริสต์ได้มากยิ่งขึ้น  {SC 70.1}
                ชีวิตในพระคริสต์เป็นชีวิตที่สุขสบาย  เป็นชีวิตที่อาจจะไม่ตื่นเต้น  แต่จะมีความวางใจที่เชื่อถือและสงบสุข  ความหวังของท่านไม่ได้อยู่ในตัวของท่านเอง  แต่อยู่ในพระคริสต์  ความอ่อนแอของท่านประสานเข้ากับพละกำลังของพระองค์  ความโง่เขลาของท่านประสานเข้ากับพระปัญญาของพระองค์  ความเปราะบางของท่านประสานเข้ากับอำนาจที่ยั่งยืนของพระองค์  ดังนั้นท่านจึงไม่ควรมองตัวเอง  อย่าให้สมองของท่านคิดถึงแต่ตัวเอง  แต่ให้มองไปยังพระคริสต์  จงให้ความนึกคิดของท่านพักพิงอยู่ในความรักของพระองค์ในความงดงาม  ความดีรอบคอบที่มีอยู่ในพระลักษณะของพระองค์  จงให้จิตวิญญาณใคร่ครวญอยู่เสมอถึงเรื่องการละทิ้งตนของพระคริสต์  การถ่อมตนของพระองค์  ความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ในบุคคลของพระองค์  ความรักที่ไม่มีรักใดเปรียบได้ของพระองค์  ท่านจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจนเป็นเหมือนพระคริสต์ได้ด้วยการรักพระองค์  ทำตามแบบอย่างของพระองค์  และพึ่งพิงในพระองค์อย่างเต็มที่  {SC 70.2}
                พระเยซูตรัสว่า  จงเข้าสนิทอยู่ในเรา  ข้อความนี้ให้แนวคิดของการพักผ่อน  ความมั่นคง  และความมั่นใจ  พระองค์ยังทรงเชิญชวนต่อไปว่า  “จงมาหาเราและเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข  (มัทธิว 11:28)  ผู้ประพันธ์สดุดีให้แนวคิดในทำนองเดียวกันว่า  จงสงบอยู่ต่อพระเจ้าและเพียรรอคอยพระองค์อยู่  และอิสยาห์ให้ความมั่นใจไว้ว่า  กำลังของเจ้าจะอยู่ในความสงบและความไว้วางใจ  (สดุดี 37:7; อิสยาห์ 30:15)  การพักผ่อนนี้ไม่ใช่เป็นการไม่ทำอะไร  เพราะในคำเชื้อเชิญของพระผู้ช่วยให้รอด  การพักผ่อนที่พระองค์ทรงสัญญาจะประทานให้นั้น  มีคำร้องเรียกให้ทำงานรับใช้ด้วย  จงเอาแอกของเราแบกไว้.....ท่านทั้งหลายจะได้พัก  (มัทธิว 11:29)  จิตใจที่พักพิงอยู่ในพระคริสต์อย่างเต็มที่จะทำงานรับใช้พระองค์ด้วยความจริงใจและจริงจังมากที่สุด  {SC 71.1}
                เมื่อความคิดของเราหมกมุ่นอยู่กับตนเอง  ความนึกคิดของเราก็จะหันออกไปจากพระคริสต์พระผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของพละกำลังและชีวิต  ด้วยเหตุนี้  ซาตานจึงคอยพยายามอยู่เสมอที่จะหันเหความสนใจของเราออกไปจากพระผู้ช่วยให้รอด  ซึ่งเป็นการกีดกันจิตวิญญาณจากการเข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระคริสต์และจากการสื่อสารกับพระองค์  ความสุขสำราญทางฝ่ายโลก  ความกังวล  ความยุ่งเหยิงและความโศกเศร้าในชีวิต  ความผิดของผู้อื่นหรือความผิดพลาดและความไม่สมบูรณ์ของตัวท่านเอง  ซาตานจะใช้เรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือทั้งหมดนี้เพื่อหันเหความคิดของเรา  จงอย่าให้มันใช้เล่ห์กลของมันนำท่านให้หลง  มีคนมากมายที่มีความนึกคิดที่รอบคอบและมีความปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในพระเจ้า  เขามักจะถูกมารชักนำให้หมกมุ่นอยู่กับความผิดพลาดและความอ่อนแอของตัวเขาเองอยู่เสมอ  และซาตานหวังที่จะได้ชัยชนะด้วยการทำให้เขาแยกตัวเองออกไปจากพระคริสต์  เราจะต้องไม่เอาตัวเราเองเป็นศูนย์กลางและหมกมุ่นอยู่กับความกังวลและความกลัวว่าเราจะได้รับความรอดหรือไม่  เรื่องทั้งหมดนี้จะหันเหเราออกไปจากแหล่งกำลังของเรา  จงมอบการดูแลจิตวิญญาณของท่านให้พระเจ้าและวางใจในพระองค์  จงพูดและคิดถึงพระเยซู  จงให้ตัวของท่านจมหายไปในพระองค์  ขจัดความสงสัยออกไปให้หมด  ขับไล่ความกลัวให้ออกไป  และกล่าวร่วมกับอัครทูตเปาโลว่า  ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป  แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า  และชีวิตซึ่งข้าพเจ้าจะดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้  ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้าและได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า  (กาลาเทีย 2:20)  จงเข้าพักพิงอยู่ในพระเจ้า  พระองค์ทรงคอยเฝ้ารักษาสิ่งที่ท่านมอบถวายให้พระองค์  หากท่านจะยอมมอบถวายตัวของท่านเองให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว  พระองค์จะทรงนำพาท่านให้เป็นยิ่งกว่าผู้มีชัยนะโดยทางพระองค์ผู้ทรงรักท่าน  {SC 71.2}
                เมื่อพระคริสต์ทรงรับธรรมชาติของมนุษย์มาไว้ในพระองค์  พระองค์ทรงผูกมัดมนุษยชาติไว้ด้วยความรักที่ไม่มีอำนาจใดจะทำให้ขาดสะบั้นไป  ยกเว้นแต่เป็นทางเลือกของเขาเอง  ซาตานจะคอยยื่นข้อเสนอจูงใจเพื่อชักชวนให้เราตัดความสัมพันธ์นี้อยู่สม่ำเสมอ  เพื่อให้เราเลือกที่จะแยกตัวเราเองออกไปจากพระคริสต์  นี่คือสิ่งที่เราต้องคอยเฝ้าระวัง  คอยบากบั่น  คอยอธิษฐานเพื่อไม่ให้สิ่งใดมาชักนำให้เราเลือกนายอื่น  เพราะเรามีเสรีภาพที่จะทำเช่นนี้ได้เสมอ  แต่ขอให้สายตาของเราจ้องมองไปยังพระคริสต์และพระองค์จะทรงคุ้มครองรักษาเรา  เมื่อเรามองไปยังพระเยซูคริสต์  เราจะปลอดภัย  ไม่มีสิ่งใดจะถอนเราให้ออกไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้  เมื่อเราเฝ้ามองพระองค์อยู่เสมอ  เราจะ  เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์พระผู้เป็นเจ้าคือมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป  เช่นอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นพระวิญญาณ  (2 โครินธ์ 3:18{SC 72.1}
                นี่เป็นวิธีที่อัครสาวกในยุคแรกได้รับพระฉายาของพระผู้ช่วยให้รอดอันเป็นที่รักยิ่งของเขาทั้งหลาย  เมื่อสาวกเหล่านั้นได้ยินพระดำรัสของพระเยซู  พวกเขาตระหนักดีว่า  พวกเขาต้องการพระองค์  พวกเขาตามหาและได้พบ  พวกเขาจึงได้ติดตามพระองค์ไป  พวกเขาอยู่ร่วมกับพระองค์ในบ้าน  ที่โต๊ะอาหารในห้องชั้นใน  ในทุ่งนา  พวกเขาอยู่กับพระองค์ในฐานะนักเรียนอยู่กับอาจารย์  พวกเขารับบทเรียนแห่งความจริงศักดิ์สิทธิ์จากพระโอษฐ์ของพระองค์ทุกวัน  พวกเขามองดูพระองค์เช่นเดียวกับบ่าวที่มองดูนายเพื่อการเรียนรู้หน้าที่สาวกเหล่านั้น  เป็นมนุษย์ที่มีสภาพเหมือนกับเราทั้งหลาย  (ยากอบ 5:17)  พวกเขามีสงครามที่จะต้องต่อสู้กับความบาปเหมือนกับเรา  พวกเขาต้องการพระคุณเดียวกันเพื่อจะดำรงชีวิตที่บริสุทธิ์  {SC 72.2}
                แม้กระทั่งยอห์น  สาวกที่พระองค์ทรงรัก  ซึ่งเป็นผู้ที่สะท้อนพระลักษณะของพระผู้ช่วยให้รอดได้มากที่สุด  ก็ไม่ได้มีอุปนิสัยที่น่ารักนี้ติดตัวมาโดยธรรมชาติ  ท่านไม่เพียงแต่เป็นคนที่ถือรักษาสิทธิของตนเองและทะเยอทะยานมุ่งหาเกียรติยศเท่านั้น  ท่านยังเป็นคนหุนหันพลันแล่นและไม่พอใจเมื่อถูกคุกคาม  แต่เมื่อท่านได้มองเห็นพระลักษณะของพระองค์  ท่านก็มองเห็นความบกพร่องในตัวเองและได้ถ่อมใจลง  ท่านได้มองเห็นพละกำลังและความอดทน  อำนาจและความอ่อนโยน  ความยิ่งใหญ่และความถ่อมตนที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันของพระบุตรของพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้ได้เติมจิตวิญญาณของท่านให้เต็มล้นด้วยความเลื่อมใสและความรัก  วันแล้ววันเล่า  จิตใจของท่านถูกชักนำเข้าไปหาพระคริสต์  จนกระทั่งความรักที่ท่านมีเพื่อถวายพระอาจารย์ของท่านทำให้ท่านมองไม่เห็นตนเอง  อารมณ์ขุ่นเคืองและทะเยอทะยานได้ยอมสยบต่ออำนาจแห่งการหล่อหลอมของพระคริสต์  อิทธิพลของการบังเกิดใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่  อำนาจของความรักที่ท่านมีในพระคริสต์ได้กระทำให้อุปนิสัยเปลี่ยนแปลงไป  นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนเมื่อเราเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระเยซู  เมื่อพระคริสต์ทรงสถิตอยู่ในจิตใจ  ธรรมชาติทั้งหมดก็จะเปลี่ยนแปลง  พระวิญญาณของพระคริสต์  ความรักของพระองค์ทำให้จิตใจอ่อนโยน  วิญญาณจิตสงบและยกระดับความคิดและความปรารถนาไปยังพระเจ้าและสวรรค์  {SC 73.1}
                เมื่อพระคริสต์เสด็จกลับสวรรค์  ผู้ติดตามของพระองค์ยังคงรู้สึกว่าพระองค์ยังสถิตร่วมอยู่ด้วย  เป็นความรู้สึกของการทรงสถิตอยู่ด้วยแบบส่วนตัว  ซึ่งเต็มไปด้วยความรักและมีชีวิตชีวา  พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดผู้ได้ทรงดำเนิน  สนทนา  และอธิษฐานร่วมกับพวกเขา  พระองค์ผู้ได้ทรงตรัสความหวังและปลอบประโลมจิตใจของพวกเขา  ในขณะที่ข่าวสารแห่งสันติสุขยังอยู่ที่ริมพระโอษฐ์นั้น  พระองค์ได้ถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์  พระสุรเสียงของพระองค์ดังกลับมาจากหมู่เมฆอันเป็นที่ประกอบด้วยเหล่าทูตสวรรค์ที่กำลังรับพระองค์ขึ้นไปนั้นว่า  นี่แหละ  เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค  (มัทธิว 28:20)  พระองค์เสด็จขึ้นไปยังสวรรค์ด้วยพระวรกายของมนุษย์  พวกเขาทราบดีว่าพระองค์ที่ประทับอยู่เบื้องพระที่นั่งของพระเจ้ายังทรงเป็นพระสหายและพระผู้ช่วยให้รอดของเขา  พระเมตตาของพระองค์ไม่แปรเปลี่ยน  พระองค์ยังทรงมีส่วนร่วมกับมนุษยชาติที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก  พระองค์ทรงนำเสนออำนาจที่มีอยู่ในพระโลหิตประเสริฐต่อเบื้องพระพักตร์พระบิดาทรงแสดงให้เห็นบาดแผลที่พระหัตถ์และพระบาทของพระองค์  เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงราคาที่พระองค์ได้ทรงจ่ายเพื่อผู้ที่พระองค์ทรงไถ่  พวกเขาทราบดีว่าพระองค์ทรงเสด็จไปสวรรค์เพื่อเตรียมที่ให้พวกเขา  และพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกและรับพวกเขาให้ไปอยู่กับพระองค์  {SC 73.2}
                เมื่อพวกเขาร่วมประชุมกันภายหลังจากที่พระองค์เสด็จกลับสวรรค์  พวกเขาร้อนรนเพื่อทูลขอต่อพระบิดาในนามของพระเยซู  พวกเขาก้มลงอธิษฐานด้วยความเกรงขามและจริงจัง  พวกเขาทบทวนคำสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่าว่า  ถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดา  พระองค์จะประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่านในนามของเรา  แม้จนบัดนี้ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา  จงขอเถิด  แล้วจะได้เพื่อความชื่นชมยินดาของท่านจะมีเต็มเปี่ยม  (ยอห์น 16:23,24)  พวกเขายื่นมือแห่งความเชื่อให้สูงขึ้นและสูงยิ่งขึ้นไป  ด้วยข้อสรุปที่ยิ่งใหญ่ว่า  พระเยซูคริสต์.....ผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้วและยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ทรงสถิต  ณ  เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าและทรงอธิษฐานขอเพื่อเราทั้งหลายด้วย  (โรม 8:34)  และในเทศกาลเพ็นเทคศเต  องค์พระผู้ช่วยก็ได้เสด็จมาอยู่ร่วมกับพวกเขาด้วย  เป็นองค์พระผู้ช่วยที่พระคริสต์ทรงกล่าวถึงว่า  ทรงสถิตอยู่กับท่าน  และพระองค์ตรัสต่อไปอีกว่า  การที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน  เพราะถ้าเราไม่ไป  พระองค์ผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน  แต่ถ้าเราไปแล้ว  เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน  (ยอห์น 14:17; 16:7)  นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  พระคริสต์ก็ได้สถิตอยู่ร่วมในจิตใจของเหล่าบุตรทั้งหลายของพระองค์โดยทางพระวิญญาณอยู่ตลอดเวลา  การเข้าร่วมเป็นหนึ่งระหว่างพวกเขากับพระองค์ก็ใกล้ชิดยิ่งกว่าในสมัยที่พระองค์ทรงอยู่ร่วมกับพวกเขา  ความมีชีวิตชีวา  และความรักและอำนาจที่พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ร่วมกับพวกได้ส่องผ่านพวกเขาออกมา  เพื่อให้มนุษย์ที่มองเห็นพวกเขาจะ  ประหลาดใจแล้วสำนึกว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู  (กิจการของอัครทูต 4:13)  {SC 74.1}
                พระคริสต์ทรงเป็นทุกสิ่งของเหล่าสาวกทั้งหลาย  ในทุกวันนี้  พระองค์ทรงปรารถนาที่จะเป็นทุกสิ่งของบรรดาบุตรของพระองค์ด้วย  เพราะในคำอธิษฐานสุดท้ายร่วมกับสาวกกลุ่มเล็กๆ ที่มาเข้าเฝ้าพระองค์นั้น  พระองค์ตรัสว่า  ข้าพระองค์มิได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว  แต่เพื่อคนทั้งหลายที่วางใจในข้าพระองค์เพราะถ้อยคำของเขา  (ยอห์น 17:20)  {SC 75.1}
                พระเยซูอธิษฐานเผื่อเราและพระองค์ทรงเชิญชวนให้เราเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระองค์  เหมือนเช่นที่พระองค์ทรงเป็นหนึ่งร่วมกับพระบิดา  ช่างเป็นการเข้าร่วมเป็นหนึ่งที่ดีอะไรเช่นนี้  พระผู้ช่วยให้รอดทรงกล่าวถึงพระองค์เองว่า  พระบุตรจะกระทำสิ่งใดตามใจไม่ได้  พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในเราได้ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์  (ยอห์น 5:19; 14:10)  เมื่อพระคริสต์ทรงร่วมสถิตอยู่ในจิตใจของเราแล้ว  พระองค์จะทรงกระทำกิจอยู่ภายในเรา  ให้ท่านมีใจปรารถนาทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์  (ฟีลิปปี 2:13)  เราจะกระทำกิจเหมือนเช่นที่พระองค์ทรงทำ  เราจะแสดงออกด้วยวิญญาณจิตเดียวกัน  ด้วยประการฉะนี้  เราจะรักและเข้าสนิทกับพระองค์  เราจะ เจริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์ (เอเฟซัส 4:15) {SC 75.2}



เคล็ดลับที่ 9
ชีวิตและการรับใช้

                พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตและความสว่างและความสุขของจักรวาล  เช่นเดียวกับแสงสว่างที่มาจากดวงอาทิตย์และเช่นเดียวกับสายธารน้ำที่พุ่งออกมาจากบ่อน้ำพุแห่งชีวิต  พระพรของพระเจ้าจะไหลออกจากพระองค์ไปยังสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง  เมื่อจิตใจของมนุษย์คนใดมีชีวิตของพระเจ้าร่วมสถิตอยู่ด้วย  ความรักและพระพรของพระองค์จะไหลผ่านคนนั้นไปยังผู้อื่นด้วย  {SC 77.1}
                การไถ่มนุษย์ที่ล้มลงในบาปให้รอดและฉุดเขาขึ้นมาเป็นสิ่งที่นำความสุขมายังพระผู้ช่วยให้รอดของเรา  เพื่อทำการนี้ให้สำเร็จ  พระองค์ไม่ได้ทะนุถนอมชีวิตของพระองค์เองไว้  แต่ทรงยอมทนต่อกางเขนโดยไม่ใส่ใจต่อความละอาย  ทูตสวรรค์ก็มีส่วนที่ทำให้ผู้อื่นมีความสุขอยู่เสมอเช่นเดียวกัน  นี่คือความชื่นชมยินดีของพวกเขา   สำหรับผู้ที่มีจิตใจที่เห็นแก่ตัวนั้น  พวกเขาจะถือว่าการปรนนิบัติผู้ยากไร้ที่มีสภาพและฐานะที่ด้อยกว่าในทุกๆ ด้านเป็นงานที่ตกต่ำแต่การปรนนิบัติเช่นนี้เป็นงานที่ทูตสวรรค์ผู้ไม่มีบาปกระทำอยู่  วิญญาณแห่งการรับใช้อย่างไม่เห็นแก่ตัวของพระคริสต์จะแทรกซึมไปทั่วทั้งสวรรค์  เป็นหัวใจของความสุขที่แท้จริงของที่นั่น  ผู้ติดตามพระคริสต์จะต้องมีวิญญาณเช่นนี้เป็นภารกิจที่พวกเขาจะต้องทำ  {SC 77.2}
                เมื่อมีความรักของพระคริสต์ตั้งอยู่ในจิตใจของเรา  ความรักนั้นจะเป็นเหมือนกลิ่นอันหอมหวานซึ่งเราจะเก็บซ่อนไว้ไม่ได้  ทุกคนที่เข้ามาสัมผัสกับเราจะรู้สึกได้ถึงอิทธิพลอันศักดิ์สิทธิ์นี้  พระวิญญาณของพระคริสต์ที่ทรงร่วมสถิตอยู่ในจิตใจจะเป็นเหมือนบ่อน้ำพุกลางทะเลทราย  ซึ่งมีน้ำไหลรินออกมาสร้างความชุ่มชื่นและดับกระหายให้ผู้ที่กำลังใกล้จะพินาศที่ปรารถนาจะดื่มน้ำแห่งชีวิต  {SC 77.3}
                ความรักที่เรามีให้กับพระคริสต์จะแสดงออกให้เห็นเป็นความปรารถนาที่จะทำงานรับใช้เหมือนพระองค์เพื่อเป็นพระพรและยกชูมนุษยชาติให้สูงขึ้น  การรับใช้นี้จะทำให้เกิดความรัก  ความอ่อนโยน  และความเห็นใจต่อสรรพสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นมาซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของพระบิดาของเราในสวรรค์  {SC 77.4}
                ชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอดในโลกนี้ไม่ใช่ชีวิตที่สะดวกสบายและไม่ใช่ชีวิตที่อุทิศเวลาเพื่อพระองค์เอง  แต่พระองค์ทรงทำงานด้วยความหนักแน่นจริงใจ  และด้วยความเพียรที่ไม่เคยย่อท้อเพื่อนำความรอดมาให้แก่มนุษยชาติที่หลงหาย  จากรางหญ้าไปจนถึงการเขนคาล์วารี  พระองค์ทรงดำเนินไปตามทางที่ไม่มีการตามใจตนเองและไม่เคยหาทางหลีกหนีจากภารกิจที่ยากลำบากจากการเดินทางอันแสนเจ็บปวด  และไม่เคยหลีกหนีจากการใส่ใจและงานที่ทำให้หมดสิ้นเรี่ยวแรง  พระองค์ตรัสว่า  บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อให้เขาปรนนิบัติแต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา  และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก  (มัทธิว 20:28)  นี่คือเป้าหมายเดียวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของพระองค์  ทุกสิ่งนอกเหนือจากนั้นเป็นเรื่องรองและไม่มีความสำคัญเท่า  อาหารและเครื่องดื่มของพระองค์คือ  การทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าและทำพระราชกิจของพระองค์ให้สำเร็จ  การทำเพื่อตัวเองและหาผลประโยชน์ให้กับตนเองไม่มีส่วนในพระราชกิจของพระองค์ {SC 78.1}
                ดังนั้น  ผู้ที่มีส่วนในพระคุณของพระเจ้าจะมีความพร้อมที่จะเสียสละบางอย่างเพื่อคนอื่นที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์  เพื่อพวกเขาจะได้มีส่วนร่วมในของประทานจากสวรรค์  พวกเขาจะทำทุกสิ่งเท่าที่จะทำได้เพื่อทำให้โลกที่เขาอาศัยอยู่นั้นดีขึ้น  ความตั้งใจเช่นนี้เป็นผลที่เกิดขึ้นในจิตวิญญาณที่ได้กลับใจอย่างแท้จริง  ในทันทีที่มีคนหนึ่งได้เข้ามาหาพระคริสต์  ความปรารถนาที่จะบอกให้ผู้อื่นทราบถึงพระสหายล้ำค่าที่เขาพบในองค์พระเยซูก็จะเกิดขึ้นในจิตใจของเขา  เขาจะเก็บความจริงที่ช่วยให้รอดและชำระให้พ้นจากบาปไว้ในใจของเขาอย่างเงียบไม่ได้  หากเราสวมใส่ความชอบธรรมของพระคริสต์ไว้และเต็มล้นด้วยความสุขจากการมีพระวิญญาณของพระคริสต์ทรงร่วมสถิตอยู่ด้วย  เราจะเก็บสันติสุขไว้อยู่กับตัวไม่ได้  หากเราเคยลิ้มรสและรู้ว่าพระเจ้าประเสริฐ  เราจะมีเรื่องเล่าให้ผู้อื่นฟัง  เช่นเดียวกับฟิลิปเมื่อพบพระผู้ช่วยให้รอดเราจะเชิญชวนผู้อื่นให้เข้ามายังเบื้องพระพักตร์พระองค์  เราจะคอยบอกให้ทุกคนได้ทราบถึงความน่าประทับใจของพระคริสต์และสภาพที่แท้จริงของโลกที่กำลังจะมาถึงซึ่งตามองไม่เห็น  จะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะติดตามทางที่พระคริสต์ได้ดำเนินไปแล้ว  จะมีความต้องการให้คนรอบข้างของเราได้หันไป  ดูพระเมษโปดกของพระเจ้า  ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย  (ยอห์น 1:29)  {SC 78.2}
                เมื่อเราทำให้ตัวของเราเป็นพระพรแก่ผู้อื่น  พระพรนั้นก็จะย้อนกลับมาหาเรา  นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เรามีส่วนร่วมในแผนการแห่งการไถ่ให้รอด  พระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์มีส่วนในธรรมชาติของพระองค์และเพื่อให้มนุษย์กระจายพระพรไปให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  นี่เป็นเกียรติสูงสุดและเป็นความสุขยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าจะทรงประทานให้แก่มนุษย์ได้  ผู้ที่เข้ามาร่วมทำงานแห่งรักนี้  จะเข้ามาอยู่ใกล้ชิดพระผู้สร้างของเขาได้มากที่สุด  {SC 79.1}
                พระเจ้าอาจมอบหมายให้ทูตสวรรค์เป็นผู้ประกาศข่าวสารแห่งพระกิตติคุณและเป็นผู้รับภาระการรับใช้ด้วยรักทั้งหมด  พระองค์อาจใช้วิธีอื่นๆ เพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ  แต่ด้วยความรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัดของพระองค์  พระเจ้าทรงเลือกเราให้เป็นผู้ร่วมงานกับพระองค์  กับพระคริสต์และกับทูตสวรรค์  เพื่อเราจะมีส่วนร่วมในพระพร  ในความสุข  และยกระดับจิตวิญญาณให้สูงขึ้น  ซึ่งเป็นผลที่ได้จากงานของการรับใช้ที่ไม่เห็นแก่ตัว  {SC 79.2}
                โดยการร่วมทุกข์กับพระคริสต์  เราจะเข้าใจความทุกข์ยากของพระองค์  การยอมสละตนเองเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นจะทำให้วิญญาณแห่งการรู้จักแบ่งปันที่มีอยู่ในจิตใจของผู้ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น  พระองค์มั่งคั่ง  พระองค์ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจนเพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย  เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งมีเนื่องจากความยากจนองพระองค์  (2 โครินธ์ 8:9)  และนี่คือวิธีที่พระเจ้าจะใช้เพื่อให้เราทำตามพระประสงค์ของพระองค์ในการสร้างเราขึ้นมาสำเร็จ  เพื่อจะได้มีชีวิตที่เป็นพระพรสำหรับเราเอง  {SC 79.3}
                หากท่านจะออกไปทำงานรับใช้ตามที่พระคริสต์ทรงวางแผนให้สาวกของพระองค์ทำและนำจิตวิญญาณกลับมาหาพระองค์แล้ว  ท่านก็จะรู้สึกถึงความต้องการที่จะมีประสบการณ์ที่ลึกซึ้งมากขึ้นและความต้องการที่จะมีความรอบรู้เรื่องของพระเจ้ามากขึ้นกว่าเดิม  และท่านก็จะรู้สึกหิวและกระหายความชอบธรรม  ท่านจะอ้อนวอนกับพระเจ้าและความเชื่อของท่านจะเข้มแข็งขึ้นและจิตวิญญาณของท่านจะดื่มน้ำที่ได้จากบ่อแห่งความรอดที่ลึกกว่าเดิม  เมื่อท่านต้องการเผชิญหน้ากับการต่อต้านและการทดลอง  ท่านจะถูกผลักให้ไปศึกษาพระคัมภีร์และอธิษฐาน  ท่านจะเจริญขึ้นในพระคุณและความรอบรู้ในพระคริสต์และจะได้รับประสบการณ์ที่มีค่า  {SC 80.1}
                วิญญาณแห่งการรับใช้ผู้อื่นอย่างไม่เห็นแก่ตัวจะสร้างอุปนิสัยให้ลึกล้ำมั่นคง  และน่ารักอย่างพระคริสต์  และนำสันติสุขและความผาสุกมาให้แก่ผู้ที่มีอุปนิสัยเช่นนี้  ความใฝ่ฝันนี้จะถูกปรับให้ยิ่งสูงขึ้นไป  จะไม่มีช่องว่างสำหรับความเกียจคร้านหรือความเห็นแก่ตัว  ผู้ที่ดำรงชีวิตด้วยคุณความดีของคริสเตียนจะเจริญเติบใหญ่ขึ้นและจะเป็นคนเข้มแข็งที่จะทำงานรับใช้พระเจ้าได้  พวกเขาจะมีสายตาทางฝ่ายวิญญาณที่ชัดเจน  ความเชื่อที่เติบใหญ่ขึ้นอย่างมั่นคงและการอธิษฐานของเขาจะมีอำนาจเพิ่มขึ้น  พระวิญญาณของพระเจ้าที่เคลื่อนไหวในเขาจะชักนำวิญญาณจิตของเขาให้สนองตอบต่อการสัมผัสของพระเจ้า  ทำให้ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอันศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นได้  ผู้ที่อุทิศตนอย่างไม่เห็นแก่ตัว  เพื่อสร้างประโยชน์แก่ผู้อื่นกำลังจัดการกับการสร้างความรอดของเขาเองอย่างแน่นอน  {SC 80.2}
                วิธีเดียวที่จะเจริญขึ้นในพระคุณคือ  การทำงานทุกอย่างที่พระคริสต์ทรงมอบหมายให้เราทำอย่างไม่คิดถึงประโยชน์ส่วนตน  ลงมือทำงานอย่างสุดความสามารถของเราเพื่อให้ความช่วยเหลือและเป็นพระพรให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือซึ่งเราช่วยเขาได้  กำลังฝ่ายกายจะได้มาด้วยการออกกำลังกาย  กิจกรรมแห่งการรับใช้เป็นส่วนสำคัญของชีวิต  ผู้ที่พยายามรักษาชีวิตคริสเตียนด้วยการคอยแต่จะรับพระพรที่ได้มาโดยพระคุณและไม่ทำอะไรเพื่อพระคริสต์เลย  ก็เปรียบเหมือนคนที่มีชีวิตที่คอยแต่จะกินโดยไม่ทำงาน  และผลจากการทำเช่นนี้ของชีวิตฝ่ายวิญญาณก็มีความคล้ายคลึงกับชีวิตในโลกธรรมชาติ นั่นคือ  มักจะนำไปสู่ความเสื่อมโทรมและหมดสภาพ  ผู้ที่ไม่ยอมใช้แขนขา  ในไม่ช้าก็จะสูญเสียความสามารถไปจนหมด  ดังนั้น  คริสเตียนที่ไม่ยอมนำพละกำลังที่พระเจ้าทรงประทานให้ออกมาใช้  เขาไม่เพียงแต่จะไม่เติบใหญ่ขึ้นในพระคริสต์เท่านั้น  แต่จะสูญเสียพละกำลังที่เขามีอยู่แล้วไปด้วย  {SC 80.3}
                คริสตจักรของพระคริสต์เป็นตัวแทนที่พระเจ้าทรงจัดตั้งไว้เพื่อความรอดของมนุษย์  พันธกิจของคือการประกาศพระกิตติคุณออกไปทั่วโลก  หน้าที่นี้ถูกจัดไว้ให้คริสเตียนทุกคน  ทุกคนต้องทำหน้าที่ตามพระบัญชาของพระผู้ช่วยให้รอดตามแต่ขนาดความสามารถและโอกาสที่เขามี  ความรักของพระคริสต์ที่ทรงเปิดไว้ให้แก่เรา  ทำให้เราเป็นหนี้คนทั้งหลายที่ยังไม่รู้จักพระองค์  พระเจ้าทรงประทานแสงสว่างให้แก่เรา  ไม่ใช่มีไว้สำหรับตัวเราเองเท่านั้น  แต่เพื่อให้เราส่องแสงสว่างนั้นไปให้แก่ผู้อื่น  {SC  81.1}
                หากผู้ติดตามของพระคริสต์จะตื่นตัวในหน้าที่ของเขาแล้ว  จะมีคนนับเป็นพันๆ ออกไปประกาศพระกิตติคุณในดินแดนที่ยังไม่มีผู้เชื่อพระเจ้าแทนที่จะมีคนประกาศอยู่เพียงคนเดียวอย่างเช่นทุกวันนี้  และทุกคนที่ไม่สามารถลงมือทำงานเหล่านี้ด้วยตัวเองได้  ก็จะสนับสนุนงานเหล่านั้นด้วยทรัพย์ของเขา  ความเห็นใจและคำอธิษฐานของเขา  และในประเทศที่มีคริสเตียนจะมีการทำงานเพื่อจิตวิญญาณด้วยความจริงใจมากยิ่งขึ้น  {SC 81.2}
                เราไม่จำเป็นต้องไปยังดินแดนที่ห่างไกลหรือแม้แต่ออกไปจากสังคมวงแคบของบ้าน  หากมีหน้าที่ที่เราต้องทำเพื่อพระคริสต์ที่นั่น  เราทำงานเช่นนี้ได้ในแวดวงของบ้าน  ในคริสตจักร  กับผู้ที่เราคบหาสมาคมด้วย  และกับผู้ที่เราทำธุรกิจด้วย  {SC 81.3}
                เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดของเรามีชีวิตอยู่ในโลก  พระองค์ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำงานอย่างอดทนภายในร้านช่างไม้ที่เมืองนาซาเร็ธ  ทูตสวรรค์ผู้รับใช้คอยเฝ้าติดตามพระเจ้าแห่งชีวิตในขณะที่ทรงดำเนินอยู่เคียงข้างคนยากจนและผู้ที่ใช้แรงงาน  พระองค์ไม่ได้รับการยอมรับและไม่ได้รับพระเกียรติ  พระองค์ทรงทำหน้าที่ของพระองค์อย่างสัตย์ซื่อทั้งในขณะที่ทรงประกอบธุรกิจอันต่ำต้อยพอๆ กับในขณะที่ทรงรักษาผู้ป่วยหรือดำเนินอยู่ท่ามกลางคลื่นลมอันปั่นป่วนของทะเลกาลิสี  ดังนั้น  เราก็จะดำเนินและทำงานร่วมกับพระเยซูได้ในหน้าที่และตำแหน่งที่ต่ำต้อยที่สุดของชีวิต  {SC 81.4}
                อัครทูตกล่าวว่า  ให้  ทุกคนดำรงอยู่ในฐานะอันใดเมื่อพระเจ้าทรงเรียกก็ให้ผู้นั้นอยู่กับพระเจ้าในฐานะนั้น  (1 โครินธ์ 7:24)  นักธุรกิจจะประกอบธุรกิจของเขาด้วยความซื่อตรงเพื่อถวายเกียรติแด่พระอาจารย์ของเขาหากเขาเป็นผู้ติดตามที่แท้จริงของพระคริสต์  เขาก็จะนำศาสนาของเขาเข้าไปในทุกที่และแสดงให้มนุษย์เห็นวิญญาณของพระคริสต์  นายช่างที่ขยันขันแข็งและสัตย์ซื่อก็จะเป็นตัวแทนของพระองค์ผู้ทรงทำงานท่ามกลางผู้ที่ต่ำต้อย  ณ  กลางหุบเขาแห่งกาลิสี  ทุกคนที่นำพระนามของพระคริสต์มาใช้  จะทำตามหน้าที่ของเขา  จนเมื่อผู้อื่นมองเห็นการงานที่ดีของเขาแล้วจะสรรเสริญพระผู้สร้างและพระผู้ไถ่ของเขา  {SC 82.1}
                มีคนจำนวนมากแก้ตัวกับการไม่ยอมนำของประทานที่เขามีอยู่มาถวายรับใช้พระคริสต์ด้วยให้เหตุผลว่า  มีผู้อื่นที่มีของประทานที่ดีกว่าและมีความสามารถที่เหนือกว่า  มักมีความคิดเห็นที่แพร่หลายว่า  ผู้ที่มีความสามารถพิเศษเท่านั้นที่ต้องนำความสามารถของเขามามอบถวายรับใช้พระเจ้า  คนมากมายเข้าใจว่าความสามารถพิเศษนั้นทรงโปรดประทานให้แก่กลุ่มคนที่ได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษเท่านั้น  ส่วนคนอื่นๆ จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้ามาแบ่งรับภาระหรือการตอบแทน  แต่ในคำอุปมามิได้สอนไว้เช่นนี้  เมื่อเจ้าของบ้านเรียกบ่าวของท่านเข้ามาพบ  ท่านได้มอบหมายงานให้ทุกคนทำ  {SC 82.2}
                ด้วยจิตวิญญาณแห่งรัก  เราจะทำหน้าที่ที่ต่ำต้อยที่สุดในชีวิตเพื่อ  ทำถวายพระองค์พระผู้เป็นเจ้า  (โคโลสี 3:23)  หากความรักของพระเจ้าอยู่ในจิตใจแล้ว  ชีวิตนั้นก็จะแสดงความรักนั้นออกมา  กลิ่นอันหอมหวานของพระคริสต์จะอยู่รอบตัวเรา  และอิทธิพลของเราจะเด่นขึ้นมาและทำให้ผู้อื่นได้รับพระพร  {SC 82.3}
                ท่านไม่ต้องคอยโอกาสที่ยิ่งใหญ่หรือหวังให้มีความสามารถพิเศษก่อนแล้วจึงค่อยออกไปทำงานรับใช้พระเจ้า  ท่านต้องไม่คิดว่า  โลกจะคิดอย่างไรกับท่าน  หากชีวิตประจำวันของท่านเป็นพยานถึงความเชื่อของท่านที่บริสุทธิ์และสัตย์จริง  และคนอื่นๆ ก็มั่นใจว่าท่านต้องการให้พวกเขาได้รับประโยชน์  ความพยายามของท่านก็จะไม่สูญเปล่า  {SC 83.1}
                สาวกที่ต่ำต้อยและเลวที่สุดของพระเยซูยังทำตัวให้เป็นพระพรแก่ผู้อื่นได้  พวกเขาอาจจะไม่เคยตระหนักว่าได้ทำอะไรที่ดีเป็นพิเศษ  แต่จากอิทธิพลที่เขาทำไปโดยไม่รู้ตัวนั้น  ทำให้เกิดคลื่นแห่งพระพรที่จะขยายออกเป็นวงกว้างและฝังลึกยิ่งขึ้น  และพวกเขาก็ไม่เคยรับรู้ถึงผลลัพธ์ที่เป็นพระพรนั้นเลยจนกว่าจะถึงวันนั้น  วันที่การกระทำของเขาจะได้รับผลตอบแทน  พวกเขาไม่ได้รู้สึกหรือไม่ได้คิดว่า  สิ่งที่เขาทำลงไปนั้นยิ่งใหญ่เพียงไร  พวกเขาไม่เคยกังวลใจถึงเรื่องความสำเร็จ  เขาเพียงแต่ต้องมุ่งไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ทำงานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้อย่างซื่อสัตย์  และชีวิตของเขาก็จะไม่สูญเปล่า  จิตวิญญาณของเขาจะเติบใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนคล้ายคลึงกับของพระคริสต์  ขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่ในโลกนี้  พวกเขาเป็นคนทำงานร่วมกับพระเจ้า  และด้วยเหตุนี้  ในชีวิตที่จะมาถึงนั้น  พวกเขาจึงเหมาะที่จะทำงานที่สูงส่งกว่าและได้รับความสุขที่ไม่มีเงามืดมาบดบัง  {SC 83.2}


เคล็ดลับที่ 10
รู้จักพระเจ้า

                พระเจ้าทรงใช้วิธีมากมายเพื่อนำเราให้มารู้จักพระองค์และนำเราเข้ามาสื่อสัมพันธ์กับพระองค์  ธรรมชาติไม่เคยหยุดเตือนความรู้สึกของเรา  จิตใจที่เปิดกว้างจะซาบซึ้งในความรักและพระสิริของพระเจ้าที่เปิดเผยผ่านพระหัตถกิจของพระองค์  หูที่ตั้งใจฟังจะได้ยินและเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงใช้สื่อผ่านสรรพสิ่งในธรรมชาติ  ทุ่งนาเขียวชอุ่ม  ต้นไม้สูงตระหง่าน  ดอกตูมและดอกบาน  ก้อนเมฆที่ลอยผ่านไปมา  สายฝนที่ตกลงมา  เสียงน้ำไหลของลำธาร  รัศมีเจิดจ้าของท้องฟ้า  สิ่งเหล่านี้ล้วนพูดกับจิตใจของเราและเชิญชวนให้เรามาทำความรู้จักพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งเหล่านั้น  {SC 85.1}
                พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงนำบทเรียนอันมีค่าของพระองค์มาเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ  ต้นไม้  นก  ดอกไม้ในหุบเขา  เนินเขา  ทะเลสาบ  และท้องฟ้าที่สวยงาม  รวมทั้งเหตุการณ์และสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของเรา  พระองค์นำสิ่งเหล่านี้มาเชื่อมต่อกับพระวจนะแห่งความจริงเพื่อเราจะจดจำบทเรียนต่างๆ ของพระองค์อยู่เสมอ  แม้ในช่วงเวลาที่เรากำลังยุ่งอยู่กับภารกิจในชีวิตของเราก็ตาม  {SC 85.2}
                พระเจ้าทรงประสงค์ให้เหล่าบุตรทั้งหลายของพระองค์พึงพอใจในพระหัตถกิจของพระองค์และชื่นชมกับความงามอันเรียบง่ายและสงบเงียบที่พระองค์ทรงใช้ประดับบ้านของเราในโลกนี้  พระองค์ทรงเป็นผู้ที่รักความสวยงามและเหนือความงดงามภายนอกใดๆ พระองค์ทรงโปรดปรานอุปนิสัยที่งดงามมากยิ่งกว่า  พระองค์ทรงประสงค์ให้เราบ่มเพาะนิสัยที่บริสุทธิ์และเรียบง่ายซึ่งเป็นเหมือนความงดงามที่เรียบง่ายของดอกไม้ทั้งปวง  {SC 85.3}
                ถ้าหากเราเพียงแต่ยอมฟัง  สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างจะสอนบทเรียนแห่งการเชื่อฟังและการวางใจที่มีคุณค่ายิ่งให้แก่เรา  นับตั้งแต่ดวงดาวบนท้องนภาที่โคจรไปในอวกาศตามเส้นทางของมันจากยุคหนึ่งไปสู่อีกยุคหนึ่งโดยที่ดวงดาวเหล่านั้นไม่มีลู่ทางให้มันเดิน  จนถึงอะตอมขนาดเล็กที่สุด  ทุกสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติเชื่อฟังตามพระบัญชาของพระผู้สร้าง  และพระเจ้าทรงใส่พระทัยทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง  และพระองค์ทรงบำรุงรักษาสิ่งเหล่านั้น  พระองค์ทรงค้ำจุนโลกจำนวนนับไม่ถ้วนที่กระจายอยู่ในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล  และในเวลาเดียวกัน  พระองค์ทรงใส่พระทัยต่อความต้องการของนกกระจอกสีน้ำตาลตัวน้อยๆ ที่ร้องเพลงอย่างแผ่วเบาโดยปราศจากความกลัว  พระบิดาบนสวรรค์ทรงเฝ้ามองดูมนุษย์ทุกคนด้วยความเอ็นดู  ไม่ว่าจะเป็นในขณะที่พวกเขาออกไปทำงานตรากตรำของชีวิตประจำวัน  พระองค์ทรงเฝ้าเช่นเดียวกับในขณะเมื่อเขาอธิษฐานอยู่  เมื่อเขานอนลงในยามค่ำคืน  และเมื่อเขาลุกขึ้นในเวลาเช้า  เมื่อคนร่ำรวยเลี้ยงฉลองกันในคฤหาสน์หรือเมื่อคนยากจนกับลูกๆ นั่งล้อมรอบโต๊ะอาหารที่มีอาหารแต่เพียงเล็กน้อย  ไม่มีหยาดน้ำตาใดที่ไหลออกมาโดยที่พระเจ้าไม่ได้สังเกต  ไม่มีรอยยิ้มใดที่พระองค์ไม่ได้มองเห็น  {SC 85.4}
                หากเราจะเชื่อเช่นนี้ด้วยความเต็มใจแล้ว  เราก็จะขจัดความกังวลที่ไม่จำเป็นทั้งหมดออกไปได้  ชีวิตของเราจะไม่เต็มไปด้วยความผิดหวังเหมือนกับสภาพที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้  เพราะทุกสิ่ง  ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กน้อยสักเพียงใด  จะจัดวางไว้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  ความกังวลใจมากมายหลากหลายและภาระที่หนักจะไม่ไปรบกวนพระองค์  และจิตวิญญาณของเราจะได้ชื่นชมกับการพักผ่อนซึ่งคนมากมายปรารถนาที่จะรับ  {SC 86.1}
                เมื่อท่านรู้สึกประทับใจกับความสวยงามที่ดึงดูดใจของโลกนี้แล้ว  ขอให้ท่านลองคิดถึงโลกที่กำลังจะมาถึงในภายภาคหน้า  ซึ่งเป็นโลกที่ไม่เคยประสบกับความหายนะของความบาปและความตาย  ไม่มีเงามืดแห่งคำแช่งสาปบดบังพื้นผิวของธรรมชาติ  ให้ท่านจินตนาการถึงบ้านที่บรรดาคนที่ได้รับความรอดจะไปอยู่อาศัย  และขอให้ท่านจดจำไว้ว่า  บ้านหลังนั้นจะยิ่งใหญ่กว่าการจินตนาการที่ดีที่สุดของเราจะคิดพรรณนาขึ้นมาได้  จากของประทานมากมายของพระเจ้าที่มีอยู่ในธรรมชาติ  เรามองเห็นพระสิริของพระเจ้าได้แค่เพียงเลือนรางเท่านั้น  พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า  สิ่งที่ตาไม่เห็น  หูไม่ได้ยิน  และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึงคือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์  .(1 โครินธ์  2:9{SC 86.2}
                กวีและนักธรรมชาติวิทยามีเรื่องมากมายที่จะพูดถึงธรรมชาติ  แต่มีเพียงคริสเตียนเท่านั้นที่จะชื่นชมกับความงดงามของโลกด้วยความซาบซึ้งใจที่สุด  เพราะพวกเขามองเห็นพระหัตถกิจของพระบิดาและรับรู้ถึงความรักของพระองค์ที่มองเห็นได้ในดอกไม้  พุ่มไม้และต้นไม้  ไม่มีผู้ใดจะเข้าใจความสำคัญของเนินเขาและหุบเขา  แม่น้ำและทะเลได้อย่างเต็มที่  โดยที่เขามองไม่เห็นว่าสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความรักที่พระเจ้าทรงมีไว้ให้แก่มนุษย์  {SC 87.1}
                พระเจ้าตรัสกับเราโดยผ่านทางพระราชกิจของพระองค์และโดยผ่านทางอิทธิพลของพระวิญญาณที่มีต่อจิตใจ  ในสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา  ในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวของเรา  หากเราจะเปิดใจกว้างเพื่อเข้าใจสิ่งเหล่านั้น  เราจะรับบทเรียนอันมีค่ามากมาย  เมื่อผู้ประพันธ์สดุดีได้ติดตามพระราชกิจแห่งการทรงนำของพระเจ้า  พระองค์ได้ทรงตรัสว่า  แผ่นดินโลกเต็มไปด้วยความรักมั่นคงของพระเจ้า  ผู้ใดฉลาดก็ขอให้ฟังสิ่งเหล่านี้ให้เขาพิจารณาถึงความรักมั่นคงของพระเจ้า  (สดุดี 33:5; 107:43)  {SC 87.2}
                พระเจ้าทรงตรัสกับเราโดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์  ในพระวจนะซึ่งได้เปิดเผยไว้อย่างชัดเจน  เพื่อให้เราทราบถึงพระอุปนิสัยของพระองค์  วิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์และพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของการไถ่ให้รอด  พระวจนะนี้ทำให้เรามองเห็นประวัติศาสตร์ของเหล่าปิตุลาและผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมของพระเจ้าที่มีชีวิตอยู่ในอดีต  พวกเขา  เป็นคนเหมือนอย่างเราทุกประการ  (ยากอบ 5:17)  เราเห็นเขาเหล่านั้นต่อสู้กับความท้อแท้เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับเรา  เห็นพวกเขาพ่ายแพ้ต่อการทดลองเหมือนกับที่เราประสบ  แต่ถึงกระนั้น  พวกเขากลับใจและได้รับชัยชนะโดยพระคุณของพระเจ้า  และด้วยการมองไปยังคนเหล่านี้  เราจะได้กำลังใจในการปล้ำสู้เพื่อความชอบธรรม  ในขณะที่เราอ่านเรื่องของประสบการณ์อันมีค่าที่ทรงโปรดประทานให้แก่พวกเขา  เรื่องของแสงสว่างและความรักและพระพรที่พวกเขาชื่นชอบ  และเรื่องของผลงานที่เขาทำโดยพระคุณที่ทรงโปรดประทานให้นั้นพระวิญญาณที่ทรงดลใจเขาเหล่านั้นจะจุดประกายขึ้นในจิตใจของเรา  เพื่อให้พวกเราทำตามสิ่งที่บริสุทธิ์นั้นและทำให้เราต้องการมีอุปนิสัยเหมือนเช่นพวกเขา  นั่นคือ  ได้ดำเนินร่วมไปกับพระเจ้าเหมือนที่พวกเขาเคยทำมาแล้ว  {SC 87.3}
                พระเยซูตรัสถึงพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมว่า พระคัมภีร์นั้นเป็นพยานให้แก่เรา  (ยอห์น 5:39)  และพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่กล่าวถึงพระองค์มากกว่าพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม  พระคัมภีร์กล่าวถึงองค์พระผู้ไถ่  ผู้ทรงเป็นศูนย์กลางของความหวังแห่งชีวิตนิรันดร์ของเรา  พระคัมภีร์ทั้งเล่มกล่าวถึงพระคริสต์  เริ่มตั้งแต่บันทึกครั้งแรกสุดเกี่ยวกับการทรงสร้างโลกที่กล่าวว่า  ในบรรดาที่เป็นมานั้นไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระวาทะ  (ยอห์น 1:3)  จนถึงพระสัญญาสุดท้ายในพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า  เราจะมาในเร็วๆ นี้แน่นอน  (วิวรณ์ 22:12)  เรากำลังอ่านพระราชกิจของพระองค์และคอยฟังพระสุรเสียงของพระองค์  หากท่านต้องการรู้จักพระผู้ช่วยให้รอดก็ขอให้ท่านศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์  {SC 88.1}
                จงเติมพระวจนะของพระเจ้าเข้าไปในจิตใจของเราให้เต็มล้น  พระวจนะของพระเจ้าเป็นเหมือนน้ำพุแห่งชีวิตที่ดับความกระหาย  พระวจนะของพระเจ้าเป็นทิพย์อาหารแห่งชีวิตที่มาจากสวรรค์  พระเยซูตรัสว่า  ถ้าท่านไม่กินเนื้อและไม่ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์  ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่าน  แล้วพระองค์ทรงอธิบายความหมายของข้อความเหล่านี้ด้วยการตรัสว่า  ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้นเป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต  (ยอห์น 6:53, 63)  ร่างกายของเราสร้างมาจากสิ่งที่เรารับประทานและดื่มเข้าไป  ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณมีลักษณะคล้ายคลึงชีวิตทางฝ่ายกาย  สิ่งที่เรานำมาไตร่ตรองจะสร้างสมรรถภาพและพละกำลังให้แก่จิตวิญญาณของเรา  {SC 88.2}
                การไถ่ให้รอดเป็นหัวข้อที่บรรดาเหล่าทูตสวรรค์ปรารถนาจะติดตามหัวข้อนี้จะเป็นศาสตร์และบทเพลงของบรรดาผู้ที่ได้รับความรอดตลอดทุกยุคสมัยอย่างไม่มีวันสิ้นสุด  เรื่องนี้ไม่มีค่าเพียงพอที่จะไตร่ตรองและศึกษาอย่างระมัดระวังในปัจจุบันนี้หรือ  พระเมตตาคุณและความรักของพระเยซูอันไม่มีขอบเขต  การเสียสละที่พระองค์ทรงกระทำให้แก่เรา  เชิญชวนให้เราไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างจริงจังและเคร่งขรึมที่สุด  เราจะต้องไตร่ตรองถึงพระลักษณะขององค์พระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ทรงเป็นนายที่รักของเรา  เราจะต้องเพ่งพินิจถึงพันธกิจของพระองค์ที่เสด็จมาช่วยประชากรของพระองค์ให้รอดพ้นจากความบาปของเขา  ในขณะที่เราใคร่ครวญเรื่องที่มาจากสวรรค์  ความเชื่อและความรักที่มีอยู่ในตัวของเราก็จะมั่นคงยิ่งขึ้น  และพระเจ้าจะทรงยอมรับคำอธิษฐานของเรามากยิ่งขึ้น  เพราะคำอธิษฐานนั้นจะประกอบด้วยความเชื่อและความรักที่เด่นชัดขึ้น  พวกเขาจะมีปัญญาและมีความร้อนรน  จะมีความวางใจในพระเยซูได้แน่วแน่มากยิ่งขึ้น  และในทุกๆ วัน  พวกเขาก็จะได้รับประสบการณ์ชีวิตโดยอาศัยอำนาจแห่งการช่วยให้รอดของพระองค์ที่ทรงนำทุกคนที่เข้ามาหาพระเจ้าโดยทางพระเยซู  {SC 88.3}
                เมื่อเราใคร่ครวญถึงความดีรอบคอบขององค์พระผู้ช่วยให้รอด  เราก็ปรารถนาที่จะรับการเปลี่ยนแปลงและรับการสร้างใหม่อย่างหมดสิ้นในพระฉายาอันบริสุทธิ์ของพระองค์  จิตวิญญาณจะหิวกระหายที่จะเป็นเหมือนพระองค์ที่เรารักบูชา  เมื่อเรานึกคิดถึงพระคริสต์มากขึ้นเพียงไร  เราก็จะกล่าวถึงพระองค์ให้ผู้อื่นฟังและเป็นตัวแทนของพระองค์ในโลกนี้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น  {SC 89.1}
                พระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่ได้เขียนให้ผู้คงแก่เรียนเท่านั้น  ในทางกลับกันพระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้คนสามัญทั่วไป  ด้วยความจริงยิ่งใหญ่ที่จำเป็นต่อความรอดนั้นแจ่มแจ้งชัดเจน  ดังเช่นเวลาเที่ยงวัน  และจะไม่มีผู้ใดเข้าใจผิดและหลงทางไปได้  นอกจากผู้ที่ทำตามความคิดของตนเองแทนพระประสงค์ของพระเจ้าที่ได้ทรงเปิดเผยไว้อย่างชัดเจน  {SC 89.2}
                เราจะต้องไม่เชื่อคำพูดของผู้อื่นมากเท่ากับการเชื่อในสิ่งที่พระคัมภีร์สอน  แต่เราจะต้องศึกษาพระวจนะของพระเจ้าด้วยตนเอง  หากเราปล่อยให้คนอื่นคิดแทนเรา  พลังความคิดของเราจะพิการไปและความสามารถของเราก็จะหดหายไป  พลังสมองอันประเสริฐจะแคระแกร็น  เพราะขาดการฝึกฝนในหัวข้อที่มีคุณค่าซึ่งต้องเอาใจใส่จนทำให้ความสามารถในการเข้าใจความหมายลึกซึ้งในพระวจนะของพระเจ้าขาดหายไป  ความนึกคิดจะเพิ่มพูนขึ้นถ้านำไปใช้เพื่อติดตามความสัมพันธ์ของเรื่องต่างๆ ในพระคัมภีร์โดยเปรียบเทียบข้อพระคัมภีร์ด้วยข้อพระคัมภีร์  และเรื่องของฝ่ายจิตวิญญาณด้วยเรื่องของฝ่ายวิญญาณ  {SC 89.3}
                ไม่มีสิ่งใดที่จะเสริมสร้างสติปัญญาให้แข็งแกร่งขึ้นได้ดีกว่าการศึกษาพระคัมภีร์  ไม่มีหนังสือเล่มใดที่มีอำนาจในการยกระดับความคิด  สร้างความกระชุ่มกระชวยให้แก่สติปัญญาได้ดีเท่ากับความจริงอันกว้างขวางและสูงส่งของพระคัมภีร์  ถ้าหากทุกคนจะศึกษาพระวจนะของพระเจ้าอย่างที่เขาควรจะทำแล้ว  มนุษย์จะมีความคิดที่เปิดกว้าง  มีอุปนิสัยที่สง่างาม  และมีความมุ่งหมายมั่นคงที่มีให้เห็นน้อยมากในยุคนี้  {SC 90.1}
                แต่การอ่านพระคัมภีร์อย่างรีบเร่งจะให้ประโยชน์เพียงเล็กน้อย  บางคนอ่านพระคัมภีร์จนจบเล่ม  แต่มองไม่เห็นความงดงามและไม่เข้าใจความหมายอันลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ภายใน  การศึกษาพระคัมภีร์เพียงตอนหนึ่งจนกระทั่งสมองเข้าใจความสำคัญของพระคัมภีร์ข้อนั้นอย่างชัดเจน  และมองเห็นหลักฐานที่สัมพันธ์กับแผนการแห่งความรอด  จะมีค่ามากยิ่งกว่าการอ่านหลายบทโดยไม่มีเป้าหมายแน่นอนและไม่ได้รับคำสอนที่ก่อให้เกิดประโยชน์  ขอให้ท่านนำพระคัมภีร์ติดตัวไว้เสมอ  เมื่อมีโอกาสให้เปิดอ่าน  ใส่ข้อพระคัมภีร์เข้าไปในความจำของท่าน  แม้ในขณะที่เดินอยู่ตามถนน  ท่านอาจจะอ่านพระคัมภีร์สักตอนหนึ่งและใคร่ครวญถึงตอนนั้น  การทำเช่นนี้จะทำให้สมองจดจำข้อพระคัมภีร์ได้ดี  {SC 90.2}
                การไม่ใส่ใจศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจังและการไม่อธิษฐานจะทำให้เราไม่ได้รับปัญญา  มีพระคัมภีร์บางตอนที่กล่าวไว้ชัดเจนมากจนไม่มีทางที่จะเข้าใจผิดได้  แต่ก็มีพระคัมภีร์หลายตอนที่ไม่ได้มีความหมายอย่างผิวเผินที่จะให้เราเข้าใจได้ด้วยการมองแค่เพียงผ่านตา  เราจะต้องเอาข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่งมาเปรียบเทียบกับข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่ง  เราจะต้องค้นคว้าอย่างเอาใจใส่และไตร่ตรองคิดคำนึงด้วยการอธิษฐาน  และการศึกษาเช่นนี้จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า  คนทำเหมืองได้ค้นพบสายแร่อันมีค่าที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผิดโลกเช่นไร  ผู้ที่ศึกษาค้นหาพระวจนะของพระเจ้าด้วยความพากเพียรเหมือนเช่นการค้นหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้จะพบความจริงล้ำค่าที่สุดเช่นเดียวกัน  เป็นความจริงที่ถูกปกปิดจากสายตาของผู้ที่แสวงหาอย่างไม่ตั้งใจ  เมื่อจิตใจไตร่ตรองพระวจนะที่ได้รับการดลใจ  พระวจนะนั้นก็จะเป็นธารน้ำที่ไหลออกมาจากน้ำพุแห่งชีวิต  {SC 90.3}
                อย่าศึกษาพระคัมภีร์โดยไม่อธิษฐาน  ก่อนที่จะเปิดหน้าพระคัมภีร์เราจะต้องทูลขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานความกระจ่างแก่เรา  และพระองค์จะทรงประทานให้  เมื่อนาธานาเอลมาหาพระเยซู  พระผู้ช่วยให้รอดทรงประกาศว่า  ดูเถิด  ชนอิสราเอลแท้ในตัวเขาไม่มีอุบาย  นาธานาเอลทูลถามว่า  พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์ได้อย่างไร  พระเยซูตรัสตอบว่า  ก่อนที่ฟิลิปจะเรียกท่าน  เมื่อท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น  เราเห็นท่าน  (ยอห์น 1:47, 48)  และพระเยซูจะทรงทอดพระเนตรเราในที่ลี้ลับแห่งการอธิษฐานด้วยเช่นกัน  หากเราจะแสวงหาพระองค์เพื่อขอแสงสว่างที่เราจะได้รู้ว่าความจริงคืออะไร  ทูตสวรรค์ที่มาจากโลกแห่งความสว่างจะร่วมอยู่กับผู้ที่แสวงหาการทรงนำของพระเจ้าด้วยจิตใจที่ถ่อมตน  {SC 91.1)
                พระวิญญาณบริสุทธิ์เชิดชูและถวายเกียรติพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่นำเสนอพระคริสต์  ความชอบธรรมอันบริสุทธิ์ของพระองค์แล้วความรอดยิ่งใหญ่ที่เราจะได้รับโดยทางพระองค์  พระเยซูตรัสว่า  พระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย  (ยอห์น 16:14)  พระวิญญาณแห่งความจริงทรงเป็นพระอาจารย์ผู้สอนเรื่องของพระเจ้าได้อย่างเกิดผลเพียงพระองค์เดียว  พระเจ้าทรงประเมินค่าของเผ่าพันธุ์มนุษย์มากเพียงไรในการที่พระองค์ได้ทรงประทานพระบุตรของพระองค์ให้ลงมาสิ้นพระชนม์เพื่อเขาและทรงบัญชาพระวิญญาณของพระองค์ให้เสด็จมาเป็นพระอาจารย์และพระผู้ทรงนำของมนุษย์ตลอดไป  {SC 91.2}



เคล็ดลับที่ 11
อภิสิทธิ์ของการอธิษฐาน

                พระเจ้าตรัสกับเราโดยทางธรรมชาติและโดยทางพระคัมภีร์  โดยการทรงนำของพระองค์และโดยอิทธิพลของพระวิญญาณของพระองค์  แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่พอ  เราจำเป็นต้องเปิดจิตใจของเราออกให้แก่พระองค์  เราต้องมีการสื่อสัมพันธ์กับพระบิดาในสวรรค์ของเรา  เพื่อเราจะได้มีชีวิตและพละกำลังฝ่ายวิญญาณ  ความนึกคิดของเราจะต้องถูกดึงเข้าไปหาพระองค์  เราใคร่ครวญถึงพระราชกิจของพระองค์  หากเราต้องการสื่อสัมพันธ์อย่างสนิทสนมร่วมกับพระเจ้าแล้ว  เราจะต้องมีเรื่องราวในชีวิตของเราที่จะนำขึ้นทูลต่อพระองค์ได้  {SC 93.1}
                การอธิษฐานเป็นการเปิดอกพูดคุยกับพระเจ้าเหมือนเราเปิดอกพูดกับเพื่อนฝูง  การอธิษฐานไม่ได้มีไว้เพื่อให้พระเจ้ารู้จักเรา  แต่มีไว้เพื่อให้เราต้อนรับพระองค์  การอธิษฐานไม่ได้นำพระเจ้าลงมาหาเรา  แต่นำเราขึ้นไปหาพระองค์  {SC 93.2}
                เมื่อพระเยซูเสด็จมาอยู่ในโลกนั้น  พระองค์ทรงสอนสาวกวิธีอธิฐาน  พระองค์ทรงสอนให้พวกเขานำความต้องการของแต่ละวันทูลขอต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า  และมอบความกังวลใจทั้งหมดให้พระองค์  และพระองค์ทรงประทานความเชื่อมั่นให้แก่พวกเขาว่า  พระเจ้าจะสดับฟังคำทูลขอของพวกเขา  นี่เป็นความเชื่อมั่นที่ทรงโปรดประทานให้แก่พวกเราด้วย  {SC 93.3}
                ในขณะที่พระเยซูทรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์นั้น  พระองค์ทรงอธิษฐานอยู่เสมอ  พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงนำตัวของพระองค์เองให้เข้ามามีส่วนในความต้องการและความอ่อนแอของเรา  พระองค์ทรงอ้อนวอน  ทรงทูลขอ  ทรงเสาะแสวงหาแหล่งกำลังที่สดใหม่จากพระบิดาเพื่อให้พระองค์พร้อมที่จะก้าวมารับหน้าที่และการทดลองได้  พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของเราในทุกเรื่อง  ทรงเป็นพี่ชายในความอ่อนแอของเรา  พระองค์  ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ  แต่ในสภาพของผู้ที่ปราศจากบาปนั้น  ธรรมชาติของพระองค์ทรงออกห่างไปจากความชั่ว  พระองค์ทรงอดทนกับการดิ้นรนและการทรมานของจิตวิญญาณในโลกแห่งความบาป  ในขณะที่พระองค์ทรงสภาพเป็นมนุษย์นั้น  การอธิษฐานเป็นเรื่องจำเป็นและเป็นอภิสิทธิ์ของพระองค์  พระองค์ได้รับการปลอบประโลมใจและความสุขจากการสื่อสัมพันธ์กับพระบิดา  และหากพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ผู้ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า  ทรงตระหนักถึงความจำเป็นของการอธิษฐานแล้ว  มนุษย์ที่บาปหนา  อ่อนแอจะต้องการการอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอและร้อนรนมากยิ่งกว่าเพียงไร  {SC 93.4}
                พระบิดาในสวรรค์ของเราทรงรอคอยที่จะประทานพระพรอันไพบูลย์ของพระองค์ให้แก่เรา  เป็นสิทธิพิเศษของเราที่จะได้ดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งรักอันไร้พรมแดนได้อย่างเต็มที่  เป็นเรื่องน่าประหลาดที่พวกเราอธิษฐานกันน้อยนัก  พระเจ้าทรงพร้อมและเต็มพระทัยที่จะสดับฟังคำอธิษฐานที่จริงใจของบุตรที่ต่ำต้อยที่สุดของพระองค์  แต่เราก็ยังแสดงออกถึงความไม่มั่นใจอยู่เสมอ  เมื่อเราทูลพระเจ้าถึงความขัดสนของเรา  ทูตสวรรค์เบื้องบนจะคิดอย่างไรกับมนุษย์ผู้น่าสงสารที่ตกอยู่ภายใต้การทดลองและช่วยตัวเองไม่ได้เหล่านี้  ในขณะที่พระทัยที่กอปรด้วยรักอันไม่มีขอบเขตจำกัดของพระเจ้า  คอยตามหาพวกเขา  ทรงพร้อมที่จะประทานให้เขามากกว่าที่พวกเขาจะขอหรือคิดได้  แต่กระนั้นพวกเขาเหล่านั้นก็ยังอธิษฐานน้อยเกินไปและยังมีความเชื่อเพียงน้อยนิด  ทูตสวรรค์ชอบที่จะก้มกราบอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า  พวกเขาชอบที่จะอยู่ใกล้ชิดพระองค์  พวกเขาถือว่าการสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นความสุขสูงส่งที่สุด  แต่เหล่าบุตรมนุษย์โลกผู้ต้องการความช่วยเหลือมากมายที่พระเจ้าเท่านั้นจะเป็นผู้ประทานให้ได้กลับดูเหมือนว่าพอใจที่จะเดินโดยไม่มีแสงสว่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พระผู้ทรงเป็นมิตรภาพของการร่วมสถิตของพระองค์  {SC 94.1}
                ความมืดมนของสิ่งชั่วร้ายล้อมอยู่รอบบรรดาคนเหล่านั้นที่ละเลยการอธิษฐาน  เสียงกระซิบการล่อลวงของศัตรูชักนำพวกเขาให้ทำบาป  และทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาไม่ใช้สิทธิที่พระเจ้าทรงประทานให้เพื่อนัดหมายกับพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน  เหตุไฉนบุตรชายและบุตรหญิงของพระเจ้าจึงลังเลใจที่จะอธิษฐาน  ในเมื่อการอธิษฐานคือกุญแจในมือของผู้เชื่อเพื่อไขขุมทรัพย์แห่งสวรรค์ซึ่งเป็นแหล่งสมบัติที่นับไม่ถ้วนของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่  เมื่อปราศจากการอธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อนและการเฝ้าระวังอย่างแข็งขัน  เราจะตกเข้าไปสู่ภัยอันตรายของการไม่ระมัดระวังมากขึ้นและเดินออกห่างไปจากทางที่ถูกต้อง  ศัตรูคอยหาวิธีอย่างต่อเนื่องที่จะขวางกั้นหนทางที่นำไปสู่พระที่นั่งพระกรุณาธิคุณเพื่อไม่ให้เราทูลขออย่างจริงใจ  และความเชื่อที่จะได้มาซึ่งพระคุณและกำลังที่จะต่อต้านการทดลองได้  {SC 94.2}
                มีเงื่อนไขอยู่บางประการที่ทำให้เราคาดหวังให้พระเจ้าสดับฟังและตอบคำอธิษฐานของเราได้  เงื่อนไขประการแรกสุดคือ  เราต้องรู้สึกถึงความต้องการที่จะให้พระองค์ทรงช่วย  พระองค์ทรงสัญญาว่า  เราจะเทน้ำลงบนแผ่นดินที่กระหายและลำธารลงบนดินแห้ง  (อิสยาห์ 443)  ผู้ที่หิวและกระหายความชอบธรรม  ผู้ที่แสวงหาพระเจ้า  เขาจะมั่นใจได้ว่า  จะได้รับการเติมให้เต็ม  เราจะต้องเปิดใจของเราออกรับอิทธิพลของพระวิญญาณ  ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะรับพระพรของพระเจ้าไม่ได้  {SC 95.1}
                ความต้องการยิ่งใหญ่ของเราเป็นทั้งคำสนับสนุนและคำอ้อนวอนอยู่ในตัวที่ไพเราะที่สุดเพื่อเป็นประโยชน์ให้แก่เรา  แต่เราจะต้องแสวงหาพระเจ้าเพื่อขอพระองค์กระทำสิ่งเหล่านี้ให้แก่เรา  พระองค์ทรงตรัสว่า  จงขอแล้วจะได้  และพระเจ้า  มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  แต่ทรงประทานบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา  ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลายด้วยกันกับพระบุตรหรือ  (มัทธิว 7:7; โรม 8:32)  {SC 95.2}
                หากเราเก็บความชั่วไว้ในใจของเรา  หากเรายึดความบาปที่เรารู้อยู่แก่ใจไว้ในตัว  พระเจ้าจะไม่ทรงสดับฟังเรา  แต่คำอธิษฐานของจิตวิญญาณที่สำนึกผิดและเสียใจจะได้รับการยอมรับอยู่เสมอ  เมื่อเราทำสิ่งที่ผิดที่เรารู้แก่ใจนั้นให้ถูก  เราจะมั่นใจได้ว่าพระเจ้าจะทรงตอบคำทูลของเรา  เราไม่มีทางเสนอความดีของเราเพื่อทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยได้  แต่เป็นการกระทำของพระเยซูเพื่อเราที่จะช่วยให้เรารอด  พระโลหิตของพระองค์จะชำระเรา  แต่กระนั้นเรามีงานที่จะต้องทำเพื่อจะได้ทำตามเงื่อนไขของการยอมรับ  {SC 95.3}
                เงื่อนไขอีกข้อหนึ่งของการอธิษฐานที่มีชัยชนะคือความเชื่อ  แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว  จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าไม่ได้เลย  เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้นต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่  และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์  (ฮีบรู 11:6)  พระเยซูตรัสกับบรรดาสาวกของพระองค์ว่า  ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใดจงเชื่อว่าได้รับ  และท่านจะได้รับสิ่งนั้น  (มาระโก 11:24)  เราเชื่อตามที่พระองค์ตรัสไว้หรือไม่  {SC 96.1}
                คำสัญญาที่พระเจ้าประทานให้ไว้นั้นเปิดกว้างและไม่มีขีดจำกัด  และพระผู้ทรงรักษาสัญญานั้นสัตย์ซื่อ  เมื่อเราไม่ได้รับสิ่งที่เราทูลขอในช่วงเวลาที่เราขอ  เราก็ยังต้องเชื่อว่าพระเจ้าทรงสดับฟังและพระองค์จะทรงตอบคำอธิษฐานของเรา  เราทำผิดและสายตาสั้น  จนบางครั้งเราทูลขอสิ่งที่ไม่เป็นพรแก่ตัวเราเอง  และพระบิดาในสวรรค์ของเราทรงตอบคำอธิษฐานของเราด้วยความรัก  โดยจะทรงประทานสิ่งที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่เรา  ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะปรารถนาถ้าหากเราสามารถมองเห็นสิ่งทั้งหมดตามสภาพที่เป็นจริงด้วยสายตาที่พระเจ้าทรงประทานให้  เมื่อดูเสมือนหนึ่งว่าคำอธิษฐานของเราไม่ได้รับคำตอบ  เราก็ยังต้องยึดมั่นในพระสัญญา  เพราะเวลาที่เราจะได้รับคำตอบนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน  และเราจะได้รับพระพรที่เราต้องการมากที่สุด  แต่การอ้างว่า  เมื่อเราอธิษฐาน  เราจะได้รับคำตอบตามที่เราอยากให้เป็นและได้รับสิ่งของตามที่เราอยากได้อยู่เสมอ  ความคิดเช่นนี้เป็นการคาดเดาทึกทักขึ้นเอาเอง  พระเจ้าทรงมีพระปัญญาล้ำเลิศเกินที่จะทำผิดและพระองค์ทรงความดีเกินไปที่จะเก็บของดีใดๆ ไว้จากผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง  ดังนั้นจงอย่างกลัวที่จะวางใจในพระองค์  แม้ท่านจะมองไม่เห็นคำตอบของคำอธิษฐานทันที่  จงวางใจในพระสัญญาที่แน่นอนของพระองค์ว่า  จงขอแล้วจะได้  {SC 96.2}
                หากเราทูลขอจากพระเจ้าด้วยความสงสัยและความกลัว  หรือหาทางแก้ปัญหาทุกเรื่องโดยที่เรามองเห็นไม่ชัดเจน  การทำโดยไม่มีความเชื่อเช่นนี้จะเพียงแต่เป็นการเพิ่มความกังวลให้มากขึ้นและรุนแรงขึ้นเท่านั้น  แต่หากเราเข้ามาหาพระเจ้าด้วยความรู้สึกว่าช่วยตนเองไม่ได้  และต้องการที่พึ่งซึ่งเป็นสภาพที่แท้จริงของเราและทูลขอสิ่งที่เราต้องการต่อพระองค์ผู้ทรงรอบรู้สารพัดสิ่ง  ทูลขอด้วยความเชื่อที่ถ่อมตนและวางใจ  พระองค์ผู้ทรงมองเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างและผู้ทรงปกครองทุกสิ่งตามพระประสงค์และพระวจนะของพระองค์  พระองค์ทรงสดับฟังคำร้องทูลของเราได้และจะทรงสดับฟังอยู่เสมอ  และจะทรงบันดาลให้แสงสว่างส่องเข้ามายังจิตใจของเรา  โดยการอธิษฐานที่จริงใจ  เราจะถูกชักนำให้เข้ามาเชื่อมต่อกับพระปัญญาของพระเจ้าได้  เราอาจจะไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพระพักตร์ของพระผู้ไถ่ทรงก้มลงมาอยู่เหนือเราด้วยความเมตตาและความรัก  แต่แท้จริงก็เป็นเช่นนั้น  เราอาจไม่รู้สึกได้ถึงการสัมผัสของพระเจ้าที่สายตาของเราจะมองเห็นได้  แต่พระหัตถ์ของพระเจ้าทรงสัมผัสเราด้วยความรักและพระเมตตาที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาสงสารอันอ่อนโยน  {SC 96.3}
                เมื่อเราเข้ามาทูลขอความเมตตาและพระพรจากพระเจ้า  จิตใจของเราจะต้องมีวิญญาณแห่งความรักและการให้อภัย  เราจะอธิษฐานได้อย่างไรว่า  ขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์  และยังคงจมอยู่ในความรู้สึกของการไม่ให้อภัย  (มัทธิว 6:12)  หากเราหวังที่จะให้พระเจ้าสดับฟังคำอธิษฐานของเรา  เราจะต้องอภัยให้แก่ผู้อื่นด้วยท่าทีเดียวกันและในขนาดเดียวกันกับที่เราหวังจะได้รับการอภัย  {SC 97.1}
                ความพากเพียรในการอธิษฐานเป็นเงื่อนไขหนึ่งของการได้รับคำตอบ  เราจะต้องอธิษฐานอยู่เสมอหากเราต้องการเติบใหญ่ขึ้นในความเชื่อและประสบการณ์  เราจะต้อง  ขะมักเขม้นอธิษฐาน  อธิษฐานอย่างต่อเนื่องเพื่อ  เฝ้าระวังอยู่ในการนั้นด้วยขอบพระคุณ  (โรม 12:12; โคโลสี 4:2)  เปโตรกำชับผู้เชื่อให้  สงบใจเพื่อแก่การอธิษฐาน  (1 เปโตร 4:7)  เปาโลชี้แนะว่า  จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า  ด้วยการอธิษฐาน  การวิงวอนกับการขอบพระคุณ  (ฟิลิปปี 4:6)  ยูดากล่าวว่า  ท่านที่รักทั้งหลาย.....จงอธิษฐานในพระวิญญาณ  จงรักษาตัวไว้ให้ดำรงในความรักของพระเจ้า  (ยูดา 20, 21)  การอธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อนเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์อย่างไม่ขาดสายระหว่างจิตวิญญาณกับพระเจ้าให้ต่อเนื่องตลอดเวลา  เพื่อให้ชีวิตของพระเจ้าไหลเข้ามายังชีวิตของเรา  และเพื่อความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตของเราจะไหลกลับคืนไปยังพระเจ้าได้  {SC 97.2}
                ความหมั่นเพียรในการอธิษฐานเป็นสิ่งที่จำเป็น  จงอย่าให้สิ่งใดขัดขวางท่านไม่ให้อธิษฐาน  จงให้ความสามารถทุกอย่างที่มีอยู่เพื่อรักษาการติดต่อระหว่างวิญญาณจิตของท่านกับพระเยซูไว้  จงหาทุกโอกาสที่จะไปยังที่ๆ มีการอธิษฐาน  เราจะพบผู้ที่ต้องการสื่อกับพระเจ้าอย่างจริงจังได้ในการประชุมอธิษฐาน  เขาจะซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของเขา  และมีความจริงใจและร้อนใจที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทั้งหมดที่พวกเขาจะได้รับ  เขาจะใช้ทุกโอกาสให้เป็นประโยชน์ที่จะนำตัวเขาเองให้เข้าไปอยู่ในสถานที่ๆ จะรับแสงสว่างจากสวรรค์ได้  {SC 98.1}
                เราจะต้องอธิษฐานร่วมกันในครอบครัว  และเหนือสิ่งอื่นใด  เราจะต้องไม่ละเลยการอธิษฐานเป็นการส่วนตัว  เพราะนี่คือชีวิตของจิตวิญญาณ  จิตวิญญาณที่ละเลยการอธิษฐานจะไม่มีทางเจริญเติบใหญ่ขึ้นได้  การอธิษฐานในครอบครัวหรือในที่สาธารณะเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ  ขณะที่อยู่ตามลำพัง  จงเปิดจิตใจออกให้กับสายพระเนตรของพระเจ้าที่คอยตรวจสอบอยู่  การอธิษฐานส่วนตัวมีไว้เพื่อให้พระเจ้าสดับฟังเท่านั้น  หูของบรรดาผู้ที่อยากรู้อยากเห็นไม่ควรได้ยินภาระของการทูลอ้อนวอนเหล่านี้  ในขณะที่อธิษฐานเป็นการส่วนตัวนั้น  จิตวิญญาณจะได้รับอิสรภาพจากอิทธิพลที่อยู่รอบข้าง  หลุดพ้นจากความตื่นเต้นวุ่นวาย  คำอธิษฐานไปถึงพระเจ้าด้วยความสงบแต่ร้อนรน  อิทธิพลที่หวานชื่นและการทรงสถิตอยู่ด้วยจะไหลออกมาจากพระองค์ผู้ทรงทอดพระเนตรในที่ลี้ลับ  พระกรรณของพระองค์เปิดออกที่จะสดับฟังคำอธิษฐานที่ออกมาจากจิตใจ  จิตวิญญาณจะยึดติดกับพระเจ้าด้วยความเชื่อที่สงบและเรียบง่าย  และจะได้รับแสงสว่างของพระเจ้ามาไว้กับตนเองเพื่อจะได้เข้มแข็งขึ้นและมั่นคงในการต่อสู้กับซาตาน  พระเจ้าทรงเป็นป้อมปราการแข็งแรงของเรา  {SC 98.2}
                จงอธิษฐานในห้องส่วนตัว  และในขณะทำงานประจำวัน  จงหมั่นหันจิตใจของท่านขึ้นไปหาพระเจ้าเสมอ  เอโนคทำเช่นนี้ในการดำเนินชีวิตร่วมกับพระเจ้า   คำอธิษฐานในใจเหล่านี้จะลอยขึ้นไปถึงพระบัลลังก์แห่งพระคุณเหมือนเช่นควันหอมจากเครื่องเผาบูชาที่มีค่ายิ่ง  ผู้ที่มีจิตใจติดสนิทอยู่กับพระเจ้าเช่นนี้  ซาตานไม่อาจมีชัยเหนือเขาได้  {SC 98.3}
                ไม่มีเวลาใดหรือสถานที่ใดที่ไม่เหมาะสำหรับการทูลขอต่อพระเจ้า  ไม่มีสิ่งใดที่จะขัดขวางวิญญาณแห่งการอธิษฐานที่จริงใจที่สามารถยกชูจิตใจของเราได้  ในท่ามกลางความแออัดของท้องถนน  ในท่ามกลางการทำธุรกิจ  เราส่งคำทูลขอของเราไปยังพระเจ้าและอ้อนวอนขอการทรงนำของพระองค์ได้  เหมือนเช่นเนฮะมีย์ทำในขณะที่ท่านกำลังทูลขอต่อกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส  เราจะหาห้องส่วนตัวเพื่อสื่อสารกับพระเจ้าได้ทุกที่  เราจะต้องเปิดประตูใจอยู่เสมอเพื่อคำทูลเชิญของเราจะขึ้นไปถึงพระเยซู  เพื่ออัญเชิญพระองค์ให้ลงมาและเป็นแขกรับเชิญจากสวรรค์เพื่อสถิตในจิตวิญญาณของเรา  {SC 99.1}
                แม้ว่าบรรยากาศรอบตัวเราจะเต็มไปด้วยมลทินและความเลวร้าย  แต่เราไม่จำเป็นต้องหายใจเอาบรรยากาศที่เป็นพิษเหล่านี้  เรามีโอกาสดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ของสวรรค์ได้  เราปิดประตูทุกบานให้กับความนึกคิดที่ไม่สะอาดและไม่บริสุทธิ์  ด้วยการยกระดับจิตใจให้ขึ้นไปอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าโดยการอธิษฐานด้วยความจริงใจได้  ผู้ที่เปิดใจออกเพื่อรับการค้ำจุนและพระพรของพระเจ้าจะดำเนินชีวิตอยู่ในบรรยากาศที่บริสุทธิ์กว่าบรรยากาศของโลก  และเขาจะสื่อสารกับสวรรค์อย่างสม่ำเสมอ  {SC 99.2}
                เราจำเป็นต้องมีภาพของพระเยซูคริสต์ที่เด่นชัดมากยิ่งขึ้น  และเข้าใจในคุณค่าของความจริงอันนิรันดร์ได้บริบูรณ์ยิ่งขึ้น  ความงดงามของความบริสุทธิ์จะต้องเติมเต็มอยู่ในจิตใจของเหล่าบุตรของพระเจ้า  และเพื่อที่จะทำให้เรื่องนี้สำเร็จได้  เราจะต้องขอให้พระเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งต่างๆ ของสวรรค์ให้แก่เรา  {SC 99.3}
                จงนำจิตวิญญาณของท่านออกมาและยกชูให้สูงขึ้น  เพื่อพระเจ้าจะทรงประทานบรรยากาศแห่งสวรรค์ให้เราหายใจ  เราจะต้องใกล้ชิดกับพระเจ้ามากจนกระทั่งเมื่อการทดลองทุกอันที่เราไม่คาดคิดเกิดขึ้น  ความคิดของเราจะหันไปหาพระองค์อย่างเป็นธรรมชาติ  เหมือนดอกไม้ที่หันหน้าเขาหาดวงอาทิตย์  {SC 99.4}
                จงนำความต้องการ  ความสุข  ความโศกเศร้า  ความกังวลและความกลัวของท่านมาต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า  ท่านไม่ได้ไปรบกวนพระองค์  ท่านไม่เคยทำให้พระองค์ทรงเบื่อหน่าย  พระองค์ผู้ทรงทราบจำนวนเส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่ทรงเพิกเฉยต่อความต้องการของเหล่าบุตรของพระองค์  องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาสักเท่าใด  (ยากอบ 5:11)  พระทัยแห่งรักของพระองค์รับรู้ถึงความโศกเศร้าของเราและแม้แต่คำพูดของเราที่พูดถึงเรื่องเหล่านั้นก็สัมผัสพระทัยของพระองค์  จงนำทุกสิ่งที่ทำให้ความนึกคิดของท่านวุ่นวายไปหาพระองค์  ไม่มีสิ่งใดใหญ่เกินไปที่พระองค์จะทรงแบกรับไว้ไม่ได้  เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ค้ำชูโลกไว้  พระองค์ทรงควบคุมเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจักรวาล  ไม่มีสิ่งใดในเรื่องเกี่ยวกับความสงบสุขของเราที่เล็กเกินไปจนพระองค์สังเกตไม่เห็น  ไม่มีฉากหนึ่งใดในประสบการณ์ชีวิตของเราที่มืดมนเกินกว่าที่พระองค์จะทรงอ่านได้  ไม่มีความยุ่งเหยิงใดที่ยากเกินไปที่พระองค์จะทรงแก้ไขไม่ได้  ไม่มีภัยพิบัติใดจะเกิดขึ้นกับบุตรของพระองค์แม้เพียงผู้เล็กน้อยที่สุด  ไม่มีความกังวลใดจะมารังควานจิตวิญญาณไม่มีความสุขชื่นบานและไม่มีคำอธิษฐานจริงใจใดที่หลุดออกจากริมฝีปากของเราโดยที่พระบิดาบนสวรรค์ของเราไม่ทรงสังเกตเห็น  หรือไม่ได้ทรงให้ความสนใจในทันที  พระองค์ทรงรักษาคนที่ชอกช้ำระกำใจ  และทรงพันผูกบาดแผลของเขา  (สดุดี 147:3)  ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าและจิตวิญญาณทุกดวงนั้นชัดเจนและบริบูรณ์  ราวกับว่าในโลกนี้ไม่มีจิตวิญญาณอื่นอีกแล้วที่จะมาแย่งความหวงหาของพระองค์  ราวกับพระองค์ไม่ได้ทรงประทานพระบุตรอันเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ให้แก่จิตวิญญาณอื่น  {SC 100.1}
                พระเยซูตรัสว่า  ท่านจะทูลขอในนามของเราและเราจะไม่บอกท่านว่าเราจะอ้อนวอนพระบิดาเพื่อท่าน  เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักท่านทั้งหลาย  เราได้เลือกท่านทั้งหลาย.....เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา  พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน  (ยอห์น 16:27, 28; 15:16)  แต่การจะอธิษฐานในนามของพระเยซูนั้นมีความหมายมากกว่าการเอ่ยพระนามของพระองค์ในตอนต้นและตอนท้ายของการอธิษฐาน  เราจะต้องอธิษฐานด้วยความนึกคิดและด้วยวิญญาณของพระเยซู  ในขณะที่เราเชื่อพระสัญญาของพระองค์  จะพึ่งพิงในพระคุณของพระองค์และทำงานในพระราชกิจของพระองค์  {SC 100.2}
                พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้เราเป็นฤาษีหรือนักบวชและแยกตนเองออกไปจากโลกเพื่ออุทิศตนเองอยู่กับการบูชากราบไหว้  ชีวิตของเราจะต้องเหมือนชีวิตของพระคริสต์  คือมีชีวิตอยู่ท่ามกลางภูเขาและฝูงชน  ผู้ที่ไม่ทำอะไรนอกจากอธิษฐานเพียงอย่างเดียว  ไม่ช้าไม่นานก็จะเลิกอธิษฐาน  หรือไม่เช่นนั้นคำอธิษฐานของเขาก็จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำ  เมื่อมนุษย์นำตัวเองออกไปจากสังคม  ออกไปจากขอบเขตหน้าที่ของคริสเตียนและการแบกกางเขน  เมื่อเขาเลิกที่จะทำงานอย่างจริงใจเพื่อถวายพระอาจารย์ผู้ทรงกระทำกิจอย่างจริงใจเพื่อเขาทั้งหลาย  เขาก็จะสูญเสียหัวข้อในการอธิษฐานไป  และเขาจะไม่มีแรงจูงใจเพื่อการนมัสการ  คำอธิษฐานของเขาก็จะมีแต่เรื่องส่วนตัวและเห็นแก่ตัว  พวกเขาไม่อาจที่จะอธิษฐานเผื่อความขัดสนของมนุษยชาติหรือการเสริมสร้างอาณาจักรของพระคริสต์โดยการทูลขอกำลังที่จะทำการต่อไป  {SC 101.1}
                เราต้องพบกับความสูญเสียเมื่อเราละเลยสิทธิของการเข้าสื่อสัมพันธ์ร่วมกันเพื่อเสริมกำลังและให้กำลังใจซึ่งกันและกันในงานรับใช้พระเจ้า  ความจริงที่อยู่ในพระวจนะของพระเจ้าได้สูญเสียความชัดเจนและความสำคัญไปจากความนึกคิดของเรา  จิตใจของเราจะไม่ได้รับความกระจ่างและไม่มีอิทธิพลแห่งการชำระให้บริสุทธิ์มาปลุกให้ตื่นขึ้น  และจิตวิญญาณของเราก็จะถดถอยลงไป  การขาดความเห็นใจซึ่งกันและกันที่มีอยู่ในสังคมคริสเตียนของเรา  ทำให้เราสูญเสียไปมาก  ผู้ที่แยกตนเองออกไปก็ไม่ได้ทำหน้าที่ที่พระเจ้าทรงจัดวางให้เขา  การพัฒนาการทางสังคมที่เหมาะสมจะนำเราให้เห็นใจผู้อื่นและเป็นวิธีที่จะพัฒนาและเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เราเพื่องานรับใช้พระเจ้า  {SC 101.2}
                หากคริสเตียนจะสมาคมร่วมกัน  พูดคุยกันถึงเรื่องความรักของพระเจ้าและความจริงของการไถ่ให้รอดที่มีค่ายิ่ง  จิตใจของเขาจะได้รับความสดชื่นและเขาจะนำความสดชื่นมาให้แก่กันและกัน  เราจะได้เรียนรู้ถึงพระบิดาในสวรรค์ของเรามากขึ้นทุกวัน  ได้รับประสบการณ์พระคุณของพระเจ้าที่สดใหม่  และเราจะปรารถนาที่จะพูดถึงความรักของพระองค์  และเมื่อเราทำเช่นนี้จิตใจของเราจะอบอุ่นและได้รับกำลังใจ  หากเราคิดและพูดเรื่องพระเยซูให้มากขึ้น  และพูดถึงตัวเองให้น้อยลง  พระเจ้าก็จะสถิตอยู่ร่วมกับเรามากยิ่งขึ้น  {SC 101.3}
                หากเราเพียงแต่จะคิดถึงพระเจ้ามากเท่าๆ กับที่พระองค์ทรงมีต่อเราตามที่เรามีหลักฐานที่แสดงถึงความห่วงใยของพระองค์  เราก็จะมีพระองค์อยู่ในความนึกคิดของเราเสมอ  และจะมีความสุขที่ได้สนทนาถึงเรื่องของพระองค์และสรรเสริญพระองค์  เราพูดถึงสิ่งของฝ่ายโลกเพราะเราสนใจในของเหล่านั้น  เราพูดถึงเพื่อนของเราเพราะเรารักเขา  ความสุขและความทุกข์ของเราถูกผูกมัดอยู่กับพวกเพื่อนเหล่านี้  แต่ถึงกระนั้น  เรามีเหตุผลยิ่งใหญ่อย่างไม่จำกัดที่จะรักพระเจ้ามากกว่าที่จะรักเพื่อนของเราในโลกนี้  ควรจะต้องเป็นเรื่องปกติที่สุดในโลกที่เราจะให้พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในความคิดทั้งหมดของเรา  ที่เราจะพูดถึงคุณความดีของพระองค์และบอกเล่าถึงอำนาจของพระองค์  ของประทานอันมีค่าที่พระองค์ทรงประทานให้เรานั้นไม่ได้มีไว้เพื่อกลืนความคิดและความรักของเรา  จนเราไม่มีอะไรที่จะถวายพระเจ้าได้  ของประทานเหล่านี้จะต้องเตือนสติเราให้ระลึกถึงเรื่องพระองค์อยู่ตลอดเวลาและผูกเราเข้าด้วยสายใยแห่งความรักและการขอบพระคุณต่อพระผู้ทรงสถิตในสวรรค์  ผู้ทรงประทานทุกสิ่งให้แก่เรา  เราอาศัยอยู่ใกล้พื้นราบของโลกมากเกินไป  จงลืมตาของเราขึ้นไปยังประตูของพระวิหารที่เปิดอยู่เบื้องบน  ที่ๆ แสงสว่างแห่งพระสิริของพระเจ้าส่องไปยังพระพักตร์ของพระคริสต์  พระองค์  ทรงสามารถเป็นนิตย์ที่จะช่วยคนทั้งปวงที่ได้เข้ามาถึงพระเจ้าโดยทางพระองค์  (ฮีบรู  7:25{SC 102.1}
                เราควรสรรเสริญพระเจ้าให้มากกว่านี้  เพราะความรักมั่นคงของพระองค์  เพราะการอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบุตรของมนุษย์  (สดุดี 107:8)  กิจกรรมในการนมัสการของเราไม่ควรจะมีแต่เรื่องการขอและการรับเท่านั้น  จงอย่าคิดถึงแต่เรื่องความต้องการของเราและอย่าคิดถึงผลประโยชน์ที่เราจะได้รับ  เราไม่ได้อธิษฐานขอสิ่งใดมากเกินไป  แต่เราถวายการขอบคุณน้อยเกินไป  เราได้รับพระเมตตาคุณของพระเจ้าอยู่เสมอ  แต่เรากล่าวคำขอบคุณพระองค์น้อยมากเพียงไร  เราสรรเสริญพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้แก่เราน้อยเกินไปเพียงไร  {SC 102.2}
                ในอดีตกาล  พระเจ้าทรงบัญชาชนชาติอิสราเอลเมื่อเข้ามาประชุมร่วมกันเพื่องานรับใช้ของพระองค์ว่า  ท่านทั้งหลายจงรับประทานที่นั่นต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน  ทั้งท่านและครอบครัวของท่านจงปิติร่าเริงในบรรดากิจการซึ่งท่านได้กระทำนั้น  (เฉลยธรรมบัญญัติ 12:7)  สิ่งที่เราทำเพื่อถวายเกียรติพระเจ้านั้น  จะต้องทำด้วยความชื่นชมยินดี  ด้วยบทเพลงสรรเสริญและด้วยการขอบพระคุณ  ไม่ใช่ด้วยความเศร้าหรือความหมดหวัง  {SC 103.1}
                พระเจ้าของเราเป็นพระบิดาผู้ทรงอ่อนโยนและเมตตา  เราจะต้องไม่มองว่างานรับใช้พระองค์เป็นกิจกรรมที่ทำให้จิตใจเศร้าสลดและน่าเบื่อหน่าย  การนมัสการพระเจ้าและการมีส่วนในพระราชกิจของพระองค์จะต้องเป็นเรื่องที่ให้ความสุข  พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้บุตรทั้งหลายของพระองค์  ซี่งเป็นผู้ที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมความรอดยิ่งใหญ่ไว้ให้ต้องมาทำตัวราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นนายงานที่เหี้ยมโหดและเข้มงวด  พระองค์ทรงเป็นพระสหายเลิศที่สุดของพวกเรา  และเมื่อพวกเขานมัสการพระองค์  พระองค์ทรงประสงค์ที่จะสถิตอยู่ร่วมด้วย  เพื่ออวยพระพรและปลอบประโลมเขา  เติมจิตใจของเขาให้เต็มล้นด้วยความสุขและความรัก  พระเจ้าทรงปรารถนาให้บุตรทั้งหลายมีความสุขสบายในงานรับใช้พระองค์  และพบความปิติยินดีมากกว่าความยากลำบากในพระราชกิจของพระองค์  พระองค์ทรงประสงค์ให้ผู้ที่เข้าร่วมนมัสการพระองค์ได้นำความคิดที่มีค่าของเรื่องความห่วงใยและความรักของพระองค์ออกไป  เพื่อพวกเขาจะได้เป็นกำลังใจในงานทุกงานที่เขาต้องทำในชีวิต  เพื่อเขาจะมีพระคุณที่จะจัดการกับทุกเรื่องด้วยความเที่ยงตรงและสัตย์ซื่อ  {SC 103.2}
                เราจะต้องเข้ามาอยู่ใกล้กางเขน  พระคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงจะต้องเป็นเรื่องที่เราไตร่ตรอง  เป็นเรื่องที่เราสนทนาและเป็นเรื่องที่ให้ความสุขมากที่สุดของเรา  เราจะต้องระลึกอยู่เสมอถึงพระพรทุกอย่างที่เราได้รับจากพระเจ้า  และเมื่อเราตระหนักถึงความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์  เราจะต้องเต็มใจที่จะมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ที่ถูกตรึงบนกางเขนเพื่อเรา  {SC 103.3}
                จิตวิญญาณจะบินสูงขึ้นไปจนใกล้สวรรค์ด้วยปีกแห่งการสรรเสริญ  การนมัสการพระเจ้าที่บัลลังก์เบื้องบนจะทำได้ด้วยบทเพลงและเสียงดนตรี  และในขณะที่เรากล่าวคำขอบพระคุณ  เรากำลังเลียนแบบการนมัสการของเหล่าชาวสวรรค์  บุคคลที่นำการโมทนาพระคุณมาเป็นเครื่องสักการบูชา  ก็ให้เกียรติแก่  พระเจ้า  (สดุดี 50:23)  ให้เราเข้ามาหาพระผู้สร้างของเราด้วยความสุขอย่างยำเกรง  พร้อมกับ  การโมทนาและเสียงเพลง  (อิสยาห์ 51:3)  {SC 104.1}



เคล็ดลับที่ 12
จะทำอย่างไรกับความสงสัย

                มีคนมากมายโดยเฉพาะผู้ที่เป็นคริสเตียนใหม่ที่บางครั้งจะรู้สึกเป็นทุกข์กับความคิดที่ชวนให้สงสัย  มีหลายอย่างในพระคัมภีร์ที่พวกเขาอธิบายหรือเข้าใจไม่ได้  และซาตานใช้สิ่งเหล่านี้สั่นคลอนความเชื่อมั่นว่า  พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า  พวกเขาถามว่า  เราจะทราบได้อย่างไรว่าทางนี้ถูกต้อง หากพระคัมภีร์เป็นพระวจนะที่แท้จริงของพระเจ้าแล้วเราจะทำอย่างไรที่จะให้หลุดพ้นจากความสงสัยและความกังวลใจเหล่านี้ได้  {SC 105.1}
                พระเจ้าไม่เคยขอให้เราเชื่อโดยไม่ได้ประทานหลักฐานอย่างเพียงพอให้แก่เราเพื่อใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวความเชื่อ  เรายอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า  พระลักษณะของพระองค์  ความสัตย์จริงที่มีอยู่ในพระวจนะของพระองค์ก็มีข้อพิสูจน์มากมายยืนยันต่อสามัญสำนึกของเรา  แต่กระนั้นพระเจ้าไม่เคยขวางกั้นความคิดของผู้ที่อยากสงสัย  ความเชื่อของเราจะต้องวางอยู่บนหลักฐานที่ชัดเจนไม่ใช่วางอยู่บนความรู้สึก  ผู้ที่อยากสงสัยจะมีเรื่องให้เขาสงสัยได้  ส่วนผู้ที่ต้องการรู้ความจริงอย่างจริงใจก็จะพบหลักฐานมากมายที่เขาจะใช้ยึดความเชื่อได้  {SC 105.2}
                อัครทูตเปาโลอุทานว่า  โอ  พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้นล้ำลึกเท่าใด  ข้อตัดสินของพระองค์เหลือที่จะหยั่งรู้ได้และทางของพระองค์เหลือที่จะสืบเสาะได้  (โรม 1:33)  แต่แม้  เมฆและความมืดทึบอยู่รอบพระองค์ความชอบธรรมและความยุติธรรมเป็นรากฐานแห่งบัลลังก์ของพระองค์  (สดุดี 97:2)  เราพอจะเข้าใจวิธีที่พระเจ้าปฏิบัติต่อเราและพระประสงค์ที่หนุนอยู่เพื่อเราจะมองเห็นความรักและพระเมตตาคุณอันไร้ขอบเขตซึ่งเข้าร่วมกับอำนาจที่ไม่จำกัดของพระเจ้า  เราพอจะเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าได้เท่าที่จะเป็นประโยชน์ให้เราได้รับรู้  และนอกเหนือจากนี้ไป  เรายังต้องวางใจในพระหัตถ์อันทรงพลานุภาพและพระหทัยที่เปี่ยมด้วยรักของพระองค์  {SC 106.1}
                พระวจนะของพระเจ้ามีลักษณะเหมือนพระองค์ผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดพระวจนะนั้นเสนอความล้ำลึกที่มนุษย์ผู้ต้องตายไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด  ความบาปที่เข้ามาในโลก  การเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระคริสต์  การบังเกิดใหม่  การฟื้นคืนพระชนม์  และเรื่องอื่นๆ อีกมากมายในพระคัมภีร์ที่ล้ำลึกเกินคำอธิบายของสมองมนุษย์หรือแม้ที่จะเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง  แต่เราไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยพระวจนะของพระเจ้าเพียงเพราะเราไม่เข้าใจความลึกล้ำในการทรงนำของพระองค์  ในโลกธรรมชาติ  มีเรื่องลึกลับมากมายล้อมอยู่รอบตัวเราที่เราเข้าใจไม่ได้  สิ่งมีชีวิตต่ำที่สุดก็ยังมีปัญหาที่นักปรัชญาฉลาดที่สุดหาคำอธิบายไม่ได้  ทุกแห่งทุกหนมีความลึกลับอัศจรรย์ที่เกินความเข้าใจของเรา  แล้วเราจะต้องแปลกใจด้วยหรือว่า  จะมีเรื่องลึกลับที่เราไม่อาจเข้าใจได้โลกของฝ่ายวิญญาณ  สาเหตุทั้งหมดที่เราไม่เข้าใจเกิดจากความอ่อนแอและความคับแคบของสติปัญญามนุษย์  พระเจ้าทรงประทานหลักฐานไว้มากพอในพระคัมภีร์ซึ่งกล่าวถึงพระลักษณะของพระองค์  และเราจะต้องไม่สงสัยพระวจนะของพระองค์เพียงเพราะเราทำความเข้าใจความลึกลับทั้งหมดที่พระองค์ทรงโปรดประทานไว้ไม่ได้  {SC 106.2}
                อัครทูตเปโตรกล่าวในพระคัมภีร์ว่า  มีบางข้อที่เข้าใจยาก  ซึ่งคนทั้งหลายที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์  และมีใจไม่แน่นอนมั่นคงได้บิดเบือน.....อันเป็นเหตุให้ตนเองพินาศ  (2 เปโตร 3:16)  คนช่างสงสัยมักจะยกข้อพระคัมภีร์ที่เข้าใจยากมาเป็นข้ออ้างเพื่อโต้พระคัมภีร์  แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย  มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า  หากพระคัมภีร์ไม่ได้ประกอบด้วยเรื่องของพระเจ้า  แต่ประกอบด้วยเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย  หากสมองอันจำกัดเข้าใจความยิ่งใหญ่และพระอำนาจของพระเจ้าได้อย่างไม่ผิดพลาดเรื่องยิ่งใหญ่และลึกลับที่มีอยู่ในพระคัมภีร์นั้นมีไว้เพื่อหนุนใจให้เกิดความเชื่อมั่นว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า  {SC 107.1}
                พระคัมภีร์เปิดเผยความจริงอย่างเรียบง่ายและปรับให้เข้ากับความต้องการและความปรารถนาของจิตใจมนุษย์ได้อย่างดีเลิศ  สมองของผู้ที่ได้รับการพัฒนาถึงขั้นสูงสุดแล้วยังต้องตะลึงและชื่นชมในความจริงเหล่านี้  ในขณะที่คนต่ำต้อยและไร้การศึกษาก็ยังมองเห็นทางแห่งความรอดได้  และนอกเหนือจากนี้  ความจริงที่บันทึกไว้อย่างเรียบง่ายเหล่านี้ยังมีเนื้อหาที่สูงส่ง  มีแนวคิดที่กว้างไกลเกินความสามารถของมนุษย์จะเข้าใจได้  และเรารับความจริงเหล่านั้นได้เพราะพระเจ้าได้ทรงเปิดเผยให้เท่านั้น  ด้วยเหตุนี้  แผนการแห่งความรอดจึงได้เปิดไว้ให้แก่เราเพื่อจิตวิญญาณทุกดวงจะได้มองเห็นทุกย่างก้าวในการดำเนินที่นำไปสู่การกลับใจไปหาพระเจ้าและในความเชื่อที่จะนำไปหาองค์พระเยซูคริสต์เพื่อจะได้รับความรอดในวิถีทางที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้  แต่ถึงกระนั้น  ภายใต้ความจริงที่เข้าใจได้ง่ายเหล่านี้  ก็ยังมีความลึกลับที่ปิดซ่อนพระสิริของพระองค์อยู่  เป็นความลึกลับที่มีอำนาจเหนือความคิดในการศึกษาค้นคว้าของมนุษย์  แต่จะหนุนใจผู้แสวงหาความจริงด้วยความเคารพยำเกรงและความเชื่อ  เมื่อเขายิ่งค้นคว้าพระคัมภีร์มากขึ้นเท่าไร  เขาก็จะยิ่งมั่นใจว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์  และเหตุผลของมนุษย์ก็จะกราบลงเบื้องหน้าความยิ่งใหญ่ในการเปิดเผยของพระเจ้า  {SC 107.2}
                การยอมรับว่าเราเข้าใจความจริงยิ่งใหญ่ของพระคัมภีร์ทั้งหมดไม่ได้นั้นก็เพียงแต่ยอมรับว่าสมองที่มีข้อจำกัดนั้นไม่อาจที่จะเข้าใจเรื่องอันไม่มีขอบเขตได้ด้วยมนุษย์ที่มีความรู้อันจำกัด  ไม่อาจเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าผู้ทรงสัพพัญญูได้  {SC 108.1}
                กลุ่มคนช่างสงสัยและผู้ที่ไม่มีความเชื่อจะปฏิเสธพระวจนะของพระเจ้าเพราะว่าพวกเขาหยั่งรู้ความล้ำลึกทั้งหมดที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ไม่ได้  และไม่ใช่ทุกคนที่ประกาศว่าตนเชื่อในพระคัมภีร์จะรอดพ้นจากภัยอันตรายในเรื่องนี้  อัครทูตกล่าวว่า  ดูก่อน  ท่านพี่น้องทั้งหลาย  จงระวังให้ดีเพื่อจะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดในพวกท่านมีใจชั่วและไม่เชื่อ  คือใจที่พาท่านหลงไปจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์  (ฮีบรู 3:12)  การใส่ใจศึกษาคำสอนของพระคัมภีร์และค้นหา  ความล้ำลึกของพระเจ้า  เท่าที่เปิดเผยไว้ในพระคัมภีร์  เป็นสิ่งที่จะต้องทำ  (1 โครินธ์ 2:10)  ในขณะที่  สิ่งลี้ลับทั้งปวงเป็นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย  แต่สิ่งทรงสำแดงนั้น.....เพื่อเราจะกระทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของกฎหมายนี้  (เฉลยธรรมบัญญัติ 29:29)  แต่งานของซาตานคือบิดเบือนความสามารถของสติปัญญาในการตรวจสอบ  ความหยิ่งเล็กน้อยระคนอยู่ในการพินิจพิจารณาความจริงของพระคัมภีร์ทำให้คนรู้สึกหงุดหงิดและพ่ายแพ้เมื่ออธิบายพระคัมภีร์ทุกตอนจนเป็นที่พึงพอใจไม่ได้  เป็นเรื่องน่าอับอายเหลือเกินที่จะยอมรับว่าเขาเข้าใจพระวจนะที่ได้รับการดลใจไม่ได้  พวกเขาไม่เต็มใจที่จะรอด้วยความอดทนจนพระเจ้าเห็นชอบที่จะเปิดเผยความจริงให้แก่เขา  พวกเขารู้สึกว่าสติปัญญาของเขาดีพอที่จะเข้าใจพระคัมภีร์ได้โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือและเมื่อเขาพลาดที่จะเข้าใจ  เขาก็แทบจะปฏิเสธแหล่งอำนาจของพระคัมภีร์จริงอยู่มีทฤษฎีและคำสอนมากมายที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางโดยอนุมานว่ามาจากพระคัมภีร์นั้นเป็นคำสอนที่ไม่มีรากฐานในพระคัมภีร์และยังขัดแย้งกับสิ่งที่ทรงดลใจทั้งหมดอย่างแท้จริง  สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้สมองของคนมากมายเกิดความสงสัยและไม่มั่นใจ  แต่อย่างไรก็ตาม  เป็นเรื่องที่จะโทษพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้  แต่เกิดจากการบิดเบือนของมนุษย์ต่างหาก  {SC 108.2}
                หากจะให้มนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างมานั้นเข้าใจพระเจ้าและพระราชกิจทั้งหลายของพระองค์ได้ทั้งหมดแล้ว  เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว  มนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องค้นหาความจริงอีกต่อไป  จะไม่ต้องเพิ่มพูนความรอบรู้  ไม่ต้องพัฒนาสติปัญญาหรือจิตใจ  พระเจ้าไม่ทรงความเป็นใหญ่อีกต่อไป  และเมื่อมนุษย์ก้าวมาถึงจุดสูงสุดของความรู้และความสำเร็จ  มนุษย์ก็จะหยุดที่จะก้าวต่อไป  ให้เราขอบคุณพระเจ้าที่มนุษย์ไม่ได้เป็นเช่นนี้  พระเจ้าทรงไม่มีขอบเขตจำกัด  คลังสติปัญญาและความรู้ทุกอย่าง  ทรงปิดซ่อนไว้ในพระองค์  (โคโลสี 2:3)  และตลอดชั่วนิรรันดร์กาล  มนุษย์จะค้นคว้าต่อไป  เรียนรู้ไปตลอดและจะไม่มีวันที่จะใช้ขุมทรัพย์แห่งพระปัญญา  คุณความดีและอำนาจของพระองค์ได้หมด  {SC 109.1}
                พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะเปิดเผยความจริงที่มีอยู่ในพระวจนะของพระองค์ให้แก่ประชากรของพระองค์  มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่เราจะได้รับความรู้นี้  เราจะได้ความรู้ความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าผ่านทางการทำให้กระจ่างขึ้นโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น  พระวิญญาณทรงเป็นผู้ประทานพระวจนะนี้  พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น  เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า  (1 โครินธ์ 2:11, 10)  และพระผู้ช่วยให้รอดทรงสัญญากับผู้ติดตามของพระองค์ว่า  เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว  พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล.....เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย  (ยอห์น 16:13, 14)  {SC 109.2}
                พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะให้มนุษย์ฝึกฝนการใช้เหตุผล  และการศึกษาพระคัมภีร์จะทำให้สมองมีประสิทธิภาพดีขึ้นและสูงส่งขึ้นอย่างที่ไม่มีการศึกษาอื่นใดสามารถทำได้  แต่เราจะต้องระมัดระวังการบูชาเหตุผลซึ่งเป็นจุดอ่อนและจุดบกพร่องของมนุษยชาติ  หากเราไม่ต้องการให้ความเข้าใจของเราบดบังพระคัมภีร์จนเราเข้าใจความจริงเรียบง่ายที่สุดไม่ได้  เราจะต้องมีความเรียบง่ายและความเชื่อเหมือนกับเด็กเล็กๆ พร้อมที่จะเรียนรู้และวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  เมื่อเราตระหนักถึงอำนาจและพระปัญญาของพระเจ้าและความไม่สามารถของเราในการที่จะเข้าใจความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแล้ว  เรื่องนี้จะต้องดลบันดาลเราให้ถ่อมใจลง  และเราจะต้องเปิดพระวจนะของพระองค์ด้วยความยำเกรงเช่นเดียวกับเวลาที่เราเข้าเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์  เมื่อเราเข้ามาหาพระคัมภีร์  ความมีเหตุผลของเราจะต้องยอมรับอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าเหตุผล  และจิตใจรวมทั้งสติปัญญาจะต้องน้อมคำนับลงต่อพระเจ้าผู้ทรง  เป็นซึ่งเราเป็น  {SC 109.3}
                มีหลายสิ่งที่ดูว่ายากและคลุมเครือ  แต่พระเจ้าจะทรงประทานความกระจ่างและความเข้าใจให้แก่ผู้ที่แสวงหาความเข้าใจ  ถ้าหากเราไม่ได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  เราจะเลี่ยงต่อการที่จะต้องปล้ำสู่กับพระคัมภีร์หรือแปลความหมายผิดได้ตลอดเวลา  มีการอ่านพระคัมภีร์มากมายที่ไม่เกิดประโยชน์และในหลายๆ กรณีกลับส่งผลเสีย  เมื่อเราเปิดพระวจนะของพระเจ้าโดยปราศจากความรู้สึกยำเกรงและปราศจากการอธิษฐาน  เมื่อความนึกคิดและความรู้สึกของเราไม่ได้ติดสนิทอยู่กับพระเจ้า  หรือประสานเข้ากับน้ำพระทัยของพระองค์  เมื่อนั้นความนึกคิดของเราจะถูกครอบงำด้วยความสงสัยและการศึกษาพระคัมภีร์ในสภาพเช่นนี้จะทำให้ความสงสัยมีอำนาจมากขึ้นศัตรูจะเข้าควบคุมความคิด  และมันจะเสนอคำแปลที่มีความหมายไม่ถูกต้อง  เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ไม่ได้แสวงหาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้าทั้งในพระธรรมและการกระทำแล้ว  ไม่ว่าเขาจะเรียนมามากเพียงไร  เขาก็อาจจะเข้าใจพระคัมภีร์ผิดได้  และการวางใจในคำอธิบายของเขาก็เป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัย  ผู้ที่มองเห็นความขัดแย้งในพระคัมภีร์  ก็เป็นผู้ที่ไม่มีสายตาทางฝ่ายวิญญาณ  เนื่องจากสายตาของพวกเขาผิดเพี้ยน  พวกเขาจึงมองสิ่งที่เรียบง่ายและชัดเจนกลายเป็นสิ่งที่สร้างความสงสัยและความไม่เชื่อให้แก่เขา  {SC 110.1}
                ในแทบทุกกรณีไม่ว่าจะมีการอำพรางกันอย่างไรก็ตาม  ความรักในบาปคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดความสงสัยและความแคลงใจ  จิตใจที่หยิ่งยโสและรักบาปจะไม่ยินดีรับฟังคำสอนและข้อห้ามต่างๆ ที่มีอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า  และผู้ที่ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ก็พร้อมที่จะสงสัยอำนาจของพระวจนะ  การที่จะเข้าถึงความจริงได้นั้น  เราจะต้องมีความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะเรียนรู้ความจริงและมีความเต็มใจที่จะปฏิบัติตามและทุกคนที่เข้ามาศึกษาพระคัมภีร์ด้วยวิญญาณจิตเช่นนี้  จะพบหลักฐานมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า  พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า  และเขาก็จะเข้าใจความจริงที่ให้เขา  ได้ปัญญาถึงความรอด  (2 ทิโมธี 3:15 TKJV)  {SC 111.1}
                พระคริสต์ตรัสว่า  ถ้าผู้ใดตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้นั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนั้นมาจากพระเจ้า  (ยอห์น 7:17)  แทนที่จะคอยตั้งข้อสงสัยและคอยจับผิดสิ่งที่ท่านไม่เข้าใจ  ขอให้ท่านใส่ใจกับแสงสว่างที่ส่องมาถึงตัวของท่าน  แล้วท่านจะได้รับแสงที่สว่างมากยิ่งขึ้น  โดยพระคุณของพระคริสต์  จงประกอบหน้าที่ทุกๆ หน้าที่ที่เปิดให้กับความเข้าใจอย่างถ่องแท้ของท่านแล้วท่านก็จะเข้าใจและทำในส่วนที่ท่านยังสงสัยอยู่ในเวลานี้  {SC 111.2}
                มีอยู่หลักฐานหนึ่งที่เปิดให้กับทุกคน  ทั้งแก่ผู้ที่มีการศึกษาสูงที่สุดและผู้ที่ไม่มีการศึกษาเลย  นั่นคือ  หลักฐานของประสบการณ์  พระเจ้าทรงเชิญชวนเราให้พิสูจน์ความจริงในพระวจนะของพระองค์ด้วยตัวของเราเอง  พิสูจน์ความจริงในเรื่องพระสัญญาของพระองค์  พระองค์ทรงเชิญชวนเราให้  ชิมดูแล้วจะเห็นว่าพระเจ้าประเสริฐ  (สดุดี 34:8)  แทนที่จะวางใจในคำพูดของผู้อื่นเราจะต้องทดสอบด้วยตัวเราเอง  พระองค์ทรงประกาศว่า  จงขอแล้วจะได้  (ยอห์น 16:24)  ก็จะเป็นไปตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้  พระสัญญาของพระเจ้าไม่เคยล้มเหลวและไม่มีทางที่จะล้มเหลวและเมื่อเราเข้ามาใกล้พระเยซูและชื่นชมกับความรักอันไพบูลย์ของพระองค์แล้ว  ความสงสัยและความมืดมนจะหายสาบสูญไปในความสว่างแห่งการทรงร่วมสถิตอยู่ของพระองค์  {SC 111.2}
                อัครทูตเปาโลกล่าวว่า  พระเจ้า  ทรงช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของความมืด  และได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในแผ่นดินแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์  (โคโลสี 1:13)  และทุกคนที่ก้าวออกจากความตายไปสู่ชีวิตจะ  ประทับตราลงว่าพระเจ้าสัตย์จริง  (ยอห์น 3:33)  เขาก็จะเป็นพยานว่า  ข้าพเจ้าต้องการความช่วยเหลือและข้าพเจ้าก็พบการช่วยเหลือนั้นในองค์พระเยซู  ความต้องการในทุกสิ่งก็ได้รับการเติมเต็ม  จิตวิญญาณที่หิวกระหายก็ได้รับความเต็มอิ่มและบัดนี้  พระคัมภีร์ก็เป็นหนังสือที่เปิดเผยเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ให้แก่ข้าพเจ้า  ท่านอาจถามว่า  ทำไมข้าพเจ้าจึงเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์  ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าส่งมาให้แก่ข้าพเจ้า  แล้วทำไมข้าพเจ้าจงเชื่อในพระคัมภีร์  ก็เพราะข้าพเจ้าได้พบว่า  พระคัมภีร์เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับจิตวิญญาณของข้าพเจ้า  เราจะเป็นพยานให้กับตัวของเราเองว่า  สิ่งต่างๆ ในพระคัมภีร์เป็นความจริง  พระคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  เรามั่นใจได้ว่า  เราไม่ได้ติดตามนวนิยายที่ถูกแต่งขึ้นด้วยความเจ้าเล่ห์  {SC 112.1}
                เปโตร สนับสนุนพี่น้องของท่านให้  เจริญขึ้นในพระคุณและในความรู้ซึ่งมากจากพระเยซูคริสต์  องค์พระผู้เป็นเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา  (2 เปโตร 3:18)  เมื่อประชากรของพระเจ้าเติบโตขึ้นในพระคุณ  พวกเขาก็จะเข้าใจพระวจนะของพระองค์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น  พวกเขาจะมองเห็นความจริงศักดิ์สิทธิ์ด้วยแสงสว่างและความงดงามใหม่  สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์คริสตจักรตลอดทุกยุคสมัย  และจะเป็นเช่นนี้จนถึงสินยุค   “วิถีของคนชอบธรรมเหมือนแสงอรุณซึ่งฉายสุกใสยิ่งขึ้นๆ จนเต็มวัน  (สุภาษิต 4:18)  {SC 112.2}
                โดยความเชื่อเราจะมองไปยังภาคหน้าและยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้าซึ่งจะทำให้เราเติบใหญ่ขึ้นทางปัญญา  เมื่อความสามารถของมนุษย์ประสานเข้ากับพระเจ้า  และพลังอำนาจทั้งหมดของจิตวิญญาณถูกนำให้เข้ามาสัมผัสโดยตรงกับพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งของความสว่าง  หลังจากนั้นเราได้รับการทำให้กระจ่างแจ้ง  สิ่งต่างๆ ที่เข้าใจยากก็จะมีคำอธิบาย  และสิ่งที่สมองอันมีขอบเขตจำกัดของเรามองเห็นแต่เพียงความมุ่งหมายที่สับสนและแตกแยกนั้น  เราก็จะมองเห็นความกลมกลืนที่สมบูรณ์แบบและสวยงามที่สุด  เพราะบัดนี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจกเงา  แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน  เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์  เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า  (1 โครินธ์ 13:12)  {SC 112.3}
               
เคล็ดลับที่ 13
จงชื่นชมยินดีในพระเจ้า

                พระเจ้าทรงเรียกเชิญให้เหล่าบุตรทั้งหลายของพระองค์มาเป็นตัวแทนของพระคริสต์  เพื่อให้คนทั้งหลายได้มองเห็นถึงความดีและพระเมตตาคุณของพระเจ้า  พระเยซูทรงเปิดเผยพระลักษณะที่แท้จริงของพระบิดาให้แก่เรา  ดังนั้น  เราจึงต้องแสดงพระคริสต์ให้แก่ชาวโลกที่ไม่รู้จักความรักที่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยนและความเมตตาของพระองค์  พระเยซูตรัสว่า  พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกฉันใด  ข้าพระองค์ก็ใช้เขาไปในโลกฉันนั้น  ข้าพระองค์อยู่ในเขาและพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์.....เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา  (ยอห์น 17:18, 23)  อัครทูตเปาโลกล่าวกับผู้ที่เป็นสาวกของพระเยซูว่า  ท่านปรากฏเป็นหนังสือของพระคริสต์  ให้คนทั้งปวงได้รู้และได้อ่าน  (2 โครินธ์ 3:3, 2)  พระเยซูทรงประสงค์ให้บุตรทุกคนของพระองค์นำจดหมายของพระองค์ไปให้แก่โลก  ถ้าท่านเป็นผู้ติดตามของพระคริสต์  พระองค์ทรงฝากให้ท่านนำจดหมายที่อยู่ในตัวของท่าน  ส่งต่อไปให้แก่ครอบครัวของท่าน  ให้แก่หมู่บ้าน  ตามถนนหนทางในละแวกที่ท่านอาศัย  เมื่อพระเยซูสถิตอยู่ในท่าน  พระองค์ทรงปรารถนาตรัสผ่านท่านไปยังจิตใจของผู้ที่ยังไม่คุ้นกับพระองค์บางทีพวกเขาไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือไม่ได้ยินพระสุร เสียงที่พระองค์ตรัสกับเขาผ่านทางพระคริสตธรรมคัมภีร์ในแต่ละหน้า  พวกเขามองไม่เห็นความรักของพระเจ้าที่มีอยู่ในพระราชกิจของพระองค์  แต่หากท่านเป็นตัวแทนที่สัตย์ซื่อของพระเยซูแล้ว  ท่านอาจชักนำพวกเขาให้มาเข้าใจคุณความดีบางประการของพระเจ้าโดยผ่านตัวท่าน  และนำพวกเขาเข้ามาสู่ความรักและการร่วมรับใช้พระองค์  {SC 115.1}
                คริสเตียนเป็นผู้ถือประทีปบนเส้นทางที่มุ่งไปยังสวรรค์  เขาจะต้องสะท้อนความสว่างที่ได้รับจากพระคริสต์ไปให้แก่คนในโลก  ชีวิตและอุปนิสัยของเขาจะต้องทำให้ผู้อื่นเข้าใจพระคริสต์และพระราชกิจแห่งการรับใช้ของพระองค์ได้อย่างถูกต้อง  {SC 115.2}
                หากเราเป็นตัวแทนของพระคริสต์  เราจะทำให้งานแห่งการรับใช้พระองค์น่าสนใจ  ตามความเป็นจริงคริสเตียนทีเก็บรวบรวมความหดหู่และความโศกเศร้าไว้ในจิตวิญญาณของตนเองและโอดครวญและบ่น  กำลังแสดงตัวอย่างไม่ถูกต้องของพระเจ้าและของชีวิตคริสเตียนให้แก่ผู้อื่น  พวกเขาจะทำให้คนอื่นคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยที่จะให้บุตรของพระองค์มีความสุขและด้วยการทำเช่นนี้  เขาเป็นพยานเท็จให้กับพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์  {SC 116.1}
                ซาตานยินดีปรีดาเมื่อมันนำบุตรของพระเจ้าไปสู่ความไม่เชื่อและความหดหู่ใจ  มันชื่นชอบที่เห็นเราขาดความไว้วางใจในพระเจ้า  สงสัยน้ำพระทัยของพระองค์และอำนาจของพระองค์ที่จะช่วยเราให้รอด  มันพอใจเมื่อมันทำให้เรารู้สึกว่า  การทรงนำของพระเจ้าจะนำภัยมาให้เรา  เป็นงานของซาตานที่ต้องการทำให้เรามองเห็นว่าพระเจ้าขาดความเห็นใจและไม่สงสารผู้ใด  มันอ้างความจริงในเรื่องของพระองค์ไปในทางที่ผิด  มันเสริมแต่งจินตนาภาพเรื่องของพระเจ้าด้วยแนวคิดที่ผิด  และแทนที่เราจะใส่ใจในความจริงเรื่องของพระบิดาบนสวรรค์  สมองขอบงเราไปยึดติดอยู่กับภาพผิดๆ ที่ซาตานได้เอามาให้และหลู่พระเกียรติของพระเจ้าด้วยการไม่วางใจในพระองค์และบ่นติเตียนพระองค์  ซาตานคอยหาทางอยู่เสมอที่จะทำให้ชีวิตฝ่ายศาสนาเป็นเรื่องที่เศร้าหมอง  มันต้องการทำให้ชีวิตฝ่ายศาสนาเป็นภาระและเต็มไปด้วยความยากลำบาก  และเมื่อคริสเตียนนำเสนอชีวิตฝ่ายศาสนาของเขาเองด้วยภาพเช่นนี้ด้วยความไม่เชื่อของเขาจึงไปสนับสนุนการหลอกลวงของซาตาน  {SC 116.2}
                คนมากมายที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งชีวิตได้หมกมุ่นอยู่กับความผิดและความล้มเหลวและความผิดหวังของตนเอง  และจิตใจของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์และความท้อแท้ใจ  ในขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในทวีปยุโรป  มีน้องหญิงคนหนึ่งที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้  และเธอตกอยู่ในความทุกข์  เธอเขียนจดหมายมาหาข้าพเจ้าและขอคำหนุนใจ  ในคืนนั้นหลังจากที่ข้าพเจ้าได้อ่านจดหมายของเธอ  ข้าพเจ้าฝันว่า  ข้าพเจ้ากำลังเดินอยู่ในสวนแห่งหนึ่ง  และมีผู้หนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นเจ้าของสวนกำลังเดินนำข้าพเจ้าไปตามทางเดินของสวน  ข้าพเจ้ากำลังเก็บดอกไม้และเพลิดเพลินอยู่กับกลิ่นหอมของมัน  เมื่อน้องหญิงผู้นี้ซึ่งเดินอยู่เคียงข้างข้าพเจ้าได้ดึงข้าพเจ้าให้หันมาสนใจมองดูหนามบางส่วนที่ขวางอยู่บนทางเดินของเธอ  เธอคร่ำครวญและเศร้าสลดอยู่ตรงนั้น  เธอไม่ได้เดินไปตามทางเดินที่คนนำทางพาไป  แต่กลับเดินเข้าไปสู่กลางขวากและพงหนาม  เธอร้องครวญครางด้วยความท้อใจว่า  น่าเสียดายจริงๆ ที่หนามแหลมพวกนี้ทำลายสวนที่สวยงามแห่งนี้  แล้วคนนำชมสวนตอบว่า  อย่าไปสนใจคมหนามเหล่านั้น  มันเพียงแค่ทำให้คุณเจ็บปวดเท่านั้นเอง  ให้เราเก็บดอกกุหลาบ  ดอกลิลลี่และดอกมะลิกันเถิด  {SC 116.3}
                ประสบการณ์ชีวิตของท่านไม่มีช่วงสดใสบ้างหรือ  ท่านไม่เคยมีช่วงเวลาอันทรงคุณค่าเมื่อหัวใจของท่านเต้นอย่างมีความสุขเพื่อตอบสนองพระวิญญาณของพระเจ้าหรือ  เมื่อท่านมองย้อนกลับไปยังบทต่างๆ ในหน้าหนังสือของประสบการณ์ชีวิตของท่านที่ผ่านๆ มา  ไม่มีหนังสือบันทึกหน้าใดในประสบการณ์ของท่านที่สร้างความสุขให้ท่านบ้างหรือ  พระสัญญาของพระเจ้าไม่ได้เป็นเหมือนดอกไม้ซึ่งขึ้นอยู่ตามทางเดินของท่านที่ส่งกลิ่นหอมบ้างหรือ  ท่านจะไม่ให้ความงดงามและความหวานชื่นของดอกไม้เติมจิตใจของท่านให้เต็มด้วยความสุขบ้างหรือ  {SC  117.1}
                ขวากหนามเพียงแต่ทำให้ท่านบาดเจ็บและโศกเศร้าใจ  และหากท่านจะเก็บรบรวมแต่สิ่งเหล่านี้  และนำไปเสนอให้แก่ผู้อื่น  ท่านไม่เพียงกำลังดูแคลนพระคุณความดีของพระเจ้าด้วยตัวท่านเองเท่านั้น  แต่ท่านกำลังขัดขวางคนรอบข้างให้ออกไปจากการเดินในทางแห่งชีวิตด้วยหรือไม่  {SC 117.2}
                เป็นการไม่ฉลาดที่จะเก็บรวบรวมความทรงจำที่ไม่ราบรื่นทั้งหมดของชีวิตที่ผ่านมาเอาไว้  รวมทั้งความเลวร้ายและความผิดหวัง  เพื่อพูดและโอดครวญถึงเหตุการณ์เหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก  จนกระทั่งตัวเราเองถูกครอบงำด้วยความท้อแท้  จิตวิญญาณที่ท้อถอยนี้จะเต็มไปด้วยความมืดมน  ความรู้สึกเช่นนี้จะปิดกั้นจิตวิญญาณของเขาเองจากแสงสว่างของพระเจ้า  และยังทอดเงามืดลงบนเส้นทางเดินของผู้อื่นอีกด้วย  {SC 117.3}
                จงขอบคุณพระเจ้าสำหรับภาพเหตุการณ์อันสดใสซึ่งพระองค์ทรงประทานให้แก่เรา  จงนำคำสัญญาอันประเสริฐที่มีอยู่ในความรักของพระองค์มารวมเข้าด้วยกัน  เพื่อเราจะมองดูภาพเหล่านั้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน  ภาพเหตุการณ์ที่พระบุตรพระเจ้าทรงสละพระบัลลังก์ของพระบิดา  ภาพที่พระองค์ทรงนำความเป็นมนุษย์มาสวมทับความเป็นพระเจ้าเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากอำนาจของซาตาน  ภาพชัยชนะของพระองค์ที่ทรงทำไว้เพื่อเห็นแก่เรา  ภาพที่พระองค์ได้ทรงเปิดประตูสวรรค์ออกให้แก่มนุษย์  และเปิดเผยให้สายตามนุษย์ได้มองเห็นสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงเปิดเผยพระสิริของพระองค์  ภาพมนุษย์ซึ่งล้มลงในบาปได้ถูกนำขึ้นมาจากหลุมแห่งความพินาศที่บาปได้ผลักเขาให้ตกลงไป  และนำเขากลับมาสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้าพระผู้ไม่มีขอบเขตจำกัด  และได้อดทนต่อการทดสอบของพระเจ้าผ่านทางความเชื่อในพระผู้ไถ่ของเรา  เราได้สวมเสื้อความชอบธรรมของพระคริสต์  และถูกยกชูขึ้นไปถึงพระบัลลังก์ของพระองค์  เหล่านี้เป็นภาพที่พระเจ้าทรงปรารถนาให้จิตใจของเราใคร่ครวญอยู่เสมอ  {SC 118.1}
                เมื่อดูเสมือนหนึ่งว่าเราจะสงสัยในความรักของพระเจ้าและไม่วางใจในพระสัญญาของพระองค์  เราได้หลู่เกียรติพระองค์และทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เสียพระทัย  คุณแม่จะรู้สึกอย่างไรกับลูกๆ ที่คอยบ่นต่อว่าเธออยู่เสมอๆ ราวกับว่าเธอไม่เคยหวังดีต่อพวกเขาเลย  ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว  ทุกสิ่งที่เธอทำตลอดชีวิตของเธอนั้น  ก็ทำเพื่อประโยชน์ของพวกเขาและเพื่อให้เขาสุขสบาย  สมมติว่าพวกเขารู้สึกสงสัยในความรักของเธอ  สิ่งนี้จะทำให้หัวใจของเธอแตกสลาย  ผู้ที่เป็นพ่อแม่จะรู้สึกอย่างไร  หากลูกๆ ของเขาทำกับเขาเช่นนี้  และพระบิดาของเราบนสวรรค์จะทรงมีท่าทีต่อเราอย่างไรเมื่อเราไม่ไว้วางใจในความรักของพระองค์  ซึ่งเป็นความรักที่ทำให้พระองค์ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อที่เราจะได้มีชีวิต  อัครทูตบันทึกไว้ว่า  พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา  ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย  ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ  (โรม 8:32)  ถึงกระนั้นก็ตาม  มีคนมากมายเพียงไรที่การกระทำของเขาแสดงออกมาให้เห็นเป็นคำพูดว่า  นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการให้ฉัน  บางทีพระองค์อาจจะทรงรักคนอื่น  แต่พระองค์ไม่ได้รักฉัน  {SC 118.2}
                สิ่งเหล่านี้กำลังทำร้ายจิตวิญญาณของท่าน  เพราะคำสงสัยทุกคำที่ท่านกล่าวออกมานั้น  เท่ากับเป็นการเชิญชวนการทดลองของซาตาน  สิ่งนี้ทำให้นิสัยช่างสงสัยในตัวของท่านแกร่งกล้าขึ้น  และทำให้ทูตสวรรค์ที่คอยดูแลท่านเศร้าใจ  เมื่อซาตานล่อลวงท่าน  จงอย่าระบายคำพูดที่สงสัยหรือขุ่นมัวออกมาแม้เพียงสักคำเดียว  หากท่านเลือกที่จะเปิดประตูให้แก่คำเสนอแนะของมัน  สมองของท่านก็จะเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่วางใจและการดื้อเพ่ง  หากท่านกล่าวความรู้สึกของท่านออกมา  คำพูดที่ชวนให้สงสัยทุกคำที่ท่านกล่าวออกมาจะไม่เพียงมีผลกับตัวของท่านเองเท่านั้น  แต่จะเป็นเมล็ดที่แตกหน่อและเกิดผลในชีวิตของผู้อื่นอีกด้วย  และคงจะไม่มีทางหักล้างอิทธิพลที่มาจากคำพูดของท่านได้  ท่านเองอาจฟื้นคืนจากช่วงเวลาแห่งการทดลองและหลุดพ้นจากกับดักของซาตาน  แต่ผู้อื่นที่ซวนเซเนื่องจากอิทธิพลของท่าน  อาจไม่สามารถหลุดรอดจากความไม่เชื่อที่ท่านกล่าวไว้  การพูดถึงแต่สิ่งที่ให้กำลังและชีวิตแก่จิตวิญญาณ  จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งเพียงไร  {SC 119.1}
                ทูตสวรรค์กำลังคอยฟังว่าท่านกำลังเป็นพยานถึงพระอาจารย์ในสวรรค์ของท่านให้แก่โลกอย่างไร  จงให้การสนทนาของท่านเป็นเรื่องของพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่  เพื่อทรงเป็นผู้แก้ต่างต่อเบื้องพระบิดาให้แก่ท่าน  เมื่อท่านจูงมือของมิตรสหาย  จงให้คำสรรเสริญพระเจ้าติดอยู่บนริมฝีปากของท่านและในจิตใจของท่าน  นี่คือวิธีที่ท่านจะดึงดูดความคิดของเขาเข้าไปหาพระเยซู  {SC 119.2}
                ทุกคนต่างมีความทุกข์ยาก  มีความโศกเศร้าที่แทบจะแบกรับไม่ไหว  มีการทดลองที่ยากจะต่อต้านได้  อย่านำปัญหาของท่านไปบอกแก่เพื่อนมนุษย์ผู้ที่ต้องตาย  แต่จงนำทุกสิ่งมายังพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน  จงตั้งเป็นกฎไว้ว่าท่านจะไม่พูดคำพูดที่ชวนให้สงสัยหรือคำพูดที่ทำให้เกิดความท้อแท้ใจแม้เพียงสักคำเดียว  ท่านสามารถทำให้ชีวิตของผู้อื่นสดใสขึ้นได้มาก  และทำให้ความพยายามของเขาแข็งแกร่งขึ้นด้วยคำพูดที่ให้ความหวังและกำลังใจที่บริสุทธิ์  {SC 119.3}
                มีจิตวิญญาณกล้าหาญมากมายที่ถูกบีบคั้นด้วยการทดลองและพร้อมที่จะยอมแพ้ต่อการต่อสู้กับตัวเองและอำนาจของความชั่ว  จงอย่าทำให้ผู้ที่ดิ้นรนอย่างหนักเช่นนี้ท้อใจ  จงให้กำลังใจแก่เขาด้วยคำพูดที่แกร่งกล้าและให้ความหวัง  เพื่อหนุนให้เขาเดินในทางชีวิตของเขาต่อไป  ด้วยการทำเช่นนี้จะทำให้แสงสว่างของพระคริสต์ส่องออกมาจากตัวท่าน  ไม่มีผู้ใดมีชีวิตอยู่เพื่อตนเองฝ่ายเดียว  (โรม 14:7)  อิทธิพลที่ท่านทำไปโดยไม่รู้ตัวนี้  อาจจะทำให้ผู้อื่นมีกำลังใจและเข้มแข็งยิ่งขึ้น  หรือทำให้เขาเกิดความท้อถอยและถูกผลักไสออกห่างจากพระคริสต์และความจริง  {SC 120.1}
                คนมากมายมีแนวคิดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับชีวิตและพระลักษณะของพระคริสต์  พวกเขาคิดว่าชีวิตของพระองค์ไม่อบอุ่นและไม่สดใส  พระองค์มีแต่ความแข็งกร้าว  เข้มงวด  และไม่มีความสุข  คนมากมายมีประสบการณ์ทางศาสนาโดยรวมที่ถูกระบายด้วยภาพที่เศร้าหมองเช่นนี้  {SC 120.2}
                คนมักอ้างเสมอว่าพระเยซูทรงกันแสง  แต่เป็นที่ทราบกันว่าพระองค์ไม่เคยยิ้ม  จริงอยู่  พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงเป็นบุรุษแห่งความเศร้าและทรงคุ้นเคยกับความระทมทุกข์  เพราะพระองค์ทรงเปิดพระทัยให้กับความทุกข์ยากทั้งหมดของมนุษย์  ถึงแม้ชีวิตของพระองค์จะเป็นชีวิตที่มีแต่การปฏิเสธตนเองและครอบคลุมด้วยเงาแห่งความเจ็บปวดและความห่วงใย  แต่วิญญาณจิตของพระองค์ไม่เคยชอกช้ำ  พระพักตร์ของพระองค์ไม่เคยแสดงออกถึงความเศร้าโศกและความไม่พอใจ  จะมีแต่ความสงบเยือกเย็น  จิตใจของพระองค์เป็นน้ำพุแห่งชีวิต  และทุกหนแห่งที่พระองค์ทรงดำเนินไป  พระองค์ทรงนำการพักผ่อนและสันติสุข  ความสุขและความชื่นชมยินดีไปด้วย  {SC 120.3}
                พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงเป็นผู้ที่เคร่งขรึมมากและมีความตั้งใจอันแรงกล้า  แต่พระองค์ไม่เคยมีจิตใจที่ห่อเหี่ยวหรือมีอารมณ์ที่ขุ่นมัว  ชีวิตของผู้ที่ทำตามแบบอย่างของพระองค์จะต้องเต็มไปด้วยเป้าหมายที่ตั้งใจจริง  ความรู้สึกส่วนตัวของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความรับผิดชอบอย่างแท้จริง  ความไม่เอาจริงเอาจังจะต้องถูกควบคุม  จะไม่มีการรื่นเริงที่อึกทึก  ไม่มีการล้อเล่นที่ไม่สุภาพ  แต่ศาสนาของพระเยซูจะมอบความสงบสุขดั่งสายธาร  เป็นศาสนาที่จะไม่ดับแสงสว่างของความสุข  ไม่หยุดยั้งความชื่นบาน  หรือบดบังความแจ่มใสบนใบหน้าที่ยิ้มแย้ม  พระคริสต์เสด็จมาไม่ใช่ให้ผู้อื่นมาคอยรับใช้  แต่ทรงมาเพื่อรับใช้ผู้อื่น  และเมื่อความรักของพระองค์มีอำนาจครอบครองอยู่ในจิตใจแล้ว  เราก็จะทำตามแบบอย่างของพระองค์  {SC 120.4}
                หากเรารวบรวมความไม่ดีและไม่เป็นธรรมที่ผู้อื่นทำไว้และเก็บไว้ในจุดสุดยอดแห่งความคิดของเราแล้ว  จะพบว่าเราจะรักเขาเหมือนเช่นที่พระคริสต์ทรงรักเราไม่ได้  แต่หากความคิดของเราจะมีแต่ความรักและพระเมตตาอันอัศจรรย์ที่พระคริสต์ทรงมีต่อเราแล้ว  วิญญาณเดียวกันนี้จะไหลออกไปยังผู้อื่น  เราจะรักและเคารพซึ่งกันและกัน  และอดทนต่อความผิดและความไม่สมบูรณ์แบบที่เรามองเห็นอย่างไม่ตั้งใจได้  เราจะต้องปลูกฝังเรื่องความถ่อมตนและความไม่วางใจในตัวเราเอง  รวมทั้งความอดทนที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนต่อความผิดของผู้อื่น  การทำเช่นนี้จะกำจัดใจคับแคบที่เห็นแก่ตัว  และทำให้เราเป็นคนใจกว้างและมีจิตใจที่เผื่อแผ่  {SC 121.1}
                ผู้ประพันธ์สดุดีตรัสว่า  จงวางใจในพระเจ้า  และกระทำความดี  ท่านจึงอาศัยอยู่ในแผ่นดินและชื่นบานอยู่กับความปลอดภัย  (สดุดี 37:3จงวางใจในพระเจ้า  แต่ละวันมีภาระหนักของวันนั้น  มีเรื่องที่เราต้องเอาใจใส่และเรื่องที่นำความกังวลมาให้สำหรับวันนั้นๆ และเมื่อเรามาพบหน้ากัน  เราก็มีความพร้อมเพียงไรที่จะพูดคุยถึงเรื่องของความทุกข์ยากและความลำบากของเรา  เราปล่อยปัญหาจำนวนมากที่เราหยิบยืมมาให้บุกรุกตัวเรา  เราปล่อยตัวให้กับความกลัวมากมาย  และเราก็แสดงภาระแห่งความกังวลที่หนักหน่วงออกมาให้เห็น  จนอาจจะทำให้บางคนคิดว่า  เราคงไม่มีพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงรักและเมตตา  ผู้ทรงพร้อมที่จะคอยฟังคำทูลขอของเราทุกเรื่องและทรงสถิตอยู่กับเราเพื่อช่วยเหลือเราในยามที่เราต้องการ  {SC 121.2}
                มีบางคนตกอยู่ในสภาวะของความกลัวอยู่ตลอดเวลาและชอบตามหาปัญหา  ในทุกวันพวกเขาถูกห้อมล้อมด้วยของประทานแห่งความรักของพระเจ้า  ในแต่ละวันเขามีความสุขกับการทรงนำของพระองค์ที่มีอยู่อย่างมากมาย  แต่พวกเขากลับมองข้ามพระพรที่อยู่รอบตัวเขา  ความนึกคิดของเขาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เขาไม่ชอบ  ที่กลัวว่าจะมาถึงตัวเขาหรือเขาอาจหมกมุ่นอยู่กับความทุกข์ยากเล็กน้อยบางอย่างซึ่งอาจจะมีอยู่จริง  แต่เขาปล่อยให้ความทุกข์ยากเหล่านั้นปิดตาของเขาจนมองไม่เห็นสิ่งของมากมายที่เขาควรสำนึกในพระคุณ  แทนที่เขาจะผลักความทุกข์ยากที่เขาประสบอยู่นั้นไปให้พระเจ้า  ผู้ทรงเป็นแหล่งเดียวของความช่วยเหลือ  เขากลับปล่อยให้ความทุกข์ยากนั้นแยกตัวเขาเองออกไปจากพระองค์เพราะเขาปลุกความว้าวุ่นและการโอดครวญขึ้นมา  {SC 121.3}
                เราจะทำตัวเป็นคนไม่เชื่อเช่นนี้หรือ  ทำไมเราจึงต้องเป็นคนอกตัญญูและขาดความวางใจ  พระเยซูทรงเป็นมิตรของเรา  ชาวสวรรค์ทั้งหมดใส่ใจในความทุกข์สุขของเรา  เราจะต้องไม่ปล่อยให้ความทุกข์ใจและความกังวลของชีวิตประจำวันทำให้สมองของเราหงุดหงิดและทำให้ความคิดของเรามืดมน  หากเป็นเช่นนี้  เราจะมีแต่เรื่องที่ทำให้เราหงุดหงิดและรำคาญใจอยู่เสมอ  เราจะต้องไม่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ทำให้เรากลัดกลุ่มและบั่นทอนเรา  ซึ่งไม่ช่วยให้เราอดทนต่อการทดลองต่างๆ ได้  {SC 122.1}
                ท่านอาจจะปวดหัวกับธุรกิจของท่าน  สิ่งที่ท่านคาดหวังไว้อาจจะมืดมนลงไปเรื่อยๆ และท่านอาจจะถูกคุกคามด้วยความรู้สึกของการสูญเสียแต่จงอย่าหมดกำลังใจ  จงมอบความกังวลของท่านไว้กับพระเจ้า  และรักษาความสงบและความชื่นบานไว้  อธิษฐานทูลขอสติปัญญาเพื่อจัดการกับธุรกิจของท่านอย่างสุขุม  และการทำเช่นนี้จะป้องกันความสูญเสียและหายนะได้  จงทำทุกอย่างเท่าที่ท่านสามารถทำได้ในส่วนของท่านเพื่อให้เกิดผลดีที่สุด  พระเยซูทรงสัญญาที่จะประทานความช่วยเหลือ  แต่ไม่ใช่โดยปราศจากความพยายามของท่าน เมื่อท่านทำทุกสิ่งเท่าที่ท่านจะทำได้  พร้อมทั้งพึ่งในพระผู้ช่วยของเราแล้ว  ขอให้ยอมรับผลลัพธ์ด้วยความชื่นบาน  {SC 122.2}
                พระเจ้าไม่ประสงค์จะให้ประชากรของพระองค์ถูกทับถมด้วยความห่วงใย  แต่พระองค์ผู้เป็นเจ้าของเราไม่เคยหลอกลวงเรา  พระองค์ไม่เคยตรัสกับเราว่า  อย่ากลัวเลย  ไม่มีภัยอันตรายตามทางเดินของท่าน  พระองค์ทรงทราบดีว่า  ตามทางที่เราเดินไปนั้นเต็มไปด้วยการทดลองและภัยอันตราย  และพระองค์ทรงปฏิบัติต่อเราอย่างตรงไปตรงมา  พระองค์ไม่ได้ทรงเสนอที่จะนำประชากรของพระองค์ออกไปจากโลกแห่งความบาปและความชั่ว  แต่พระองค์ทรงชี้ไปยังที่หลบภัยที่เชื่อถือได้  พระองค์ทรงอธิษฐานเพื่อเหล่าสาวกของพระองค์ว่า  ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาเขาออกไปจากโลก  แต่ขอปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย  พระองค์ตรัสว่า  โลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก  แต่จงชื่นใจเถิด  เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว  (ยอห์น 17:15, 16:33)  {SC 122.3}
                ในคำเทศนาบนภูเขาของพระคริสต์  พระองค์ทรงสอนบทเรียนอันมีค่าของความจำเป็นที่จะต้องวางใจในพระเจ้าให้แก่สาวกทั้งหลายของพระองค์  บทเรียนเหล่านี้มีไว้เพื่อให้กำลังใจแก่บุตรทั้งหลายของพระเจ้าตลอดทุกยุคสมัย  และบทเรียนซึ่งเต็มไปด้วยคำชี้แนะและคำเล้าโลมใจมากมายเหล่านี้ได้ตกทอดลงมายังยุคของเรา  พระผู้ช่วยให้รอดทรงชี้ให้บรรดาผู้ติดตามของพระองค์มองดูนกในอากาศที่กำลังส่งเสียงร้องสรรเสริญ  มันไม่ต้องกังวลเรื่องราวใดๆ เพราะ มันมิได้หว่าน  มิได้เกี่ยว  และถึงกระนั้น  พระบิดายิ่งใหญ่ทรงประทานสิ่งที่จำเป็นแก่มัน  พระผู้ช่วยให้รอดตรัสถามว่า  ท่านทั้งหลายมีประเสริฐกว่านกหรือ  (มัทธิว 6:26)  พระผู้ทรงเป็นผู้ดูแลที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายได้ทรงกางพระหัตถ์ของพระองค์ออกและจัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง  นกในอากาศไม่ได้อยู่นอกสายพระเนตรของพระองค์  พระองค์ไม่ได้ทรงใส่อาหารเข้าไปในจงอยปากของมัน  แต่พระองค์ทรงจัดเตรียมสิ่งที่มันต้องการ  พวกมันจะต้องรวบรวมรวงข้าวที่พระองค์ทรงกระจายไว้  มันจะต้องเตรียมวัสดุต่างๆ เพื่อสร้างรังน้อยๆ ของมัน  มันจะต้องเลี้ยงลูกนกน้อยของมัน  มันส่งเสียงร้องเพลงในขณะที่มันทำงานเพราะ  พระบิดาของท่านทั้งหลาย  ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้  และ  ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ  (มัทธิว 6:26)  ท่านทั้งหลายที่นมัสการพระเจ้าด้วยปัญญาและจิตวิญญาณจะมีค่าน้อยกว่านกในอากาศเหล่านี้หรือ  พระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตของเรา  พระผู้ทรงรักษาชีวิตของเรา  พระองค์ผู้ทรงสร้างเราในพระฉายาของพระองค์จะไม่ทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ที่เราต้องการ  หากเพียงแต่เราจะวางใจในพระองค์หรือ  {SC 123.1}
                พระคริสต์ทรงชี้ให้สาวกทั้งหลายของพระองค์มองดูดอกไม้ในทุ่งนาที่เบ่งบานอยู่มากมายและส่องรัศมีด้วยความงดงามอันเรียบง่าย  ซึ่งพระบิดาในสวรรค์ทรงเป็นผู้ประทานให้  เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความรักของพระองค์ที่ทรงมีต่อมนุษย์  พระองค์ตรัสว่า  จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนาว่ามันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร  ความงามและความเรียบง่ายของดอกไม้ในธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่กว่าสง่าราศีของกษัตริย์ชาโลมอน  อาภรณ์หรูหราที่สุดที่ตัดเย็บขึ้นมาอย่างประณีตไม่อาจเปรียบเทียบได้กับความอ่อนหวานและความงดงามอันอิ่มเอิบของดอกไม้ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้  พระเยซูตรัสถามว่า  แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้นซึ่งเป็นอยู่วันนี้และวันรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ  โอ  ผู้มีความเชื่อน้อย  พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ  (มัทธิว 6:28, 30)  หากพระเจ้าผู้ทรงเป็นจิตรกรเอกประทานให้ดอกไม้ที่เรียบง่ายสุดซึ่งจะเหี่ยวแห้งไปในวันเดียวให้มีความละเอียดอ่อนและหลากสีแล้ว  พระองค์จะไม่ทรงใส่ใจดูแลผู้ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นตามแบบพระฉายาของพระองค์ให้มากกว่านี้หรือ  บทเรียนของพระคริสต์เหล่านี้  ได้ตำหนิจิตใจที่ปราศจากความเชื่อซึ่งมีแต่ความคิดที่กังวล  ว้าวุ่นและสงสัย  {SC 123.2}
                องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ให้บุตรชายและบุตรหญิงทั้งหลายของพระองค์มีความสุข  มีสันติสุขและเชื่อฟัง  พระเยซูตรัสว่า  เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย  สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น  เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้อย่าให้ใจของท่านวิตก  และอย่ากลัวเลย  นี่คือสิ่งที่เราได้บอกแก่ท่านทั้งหลายแล้ว  เพื่อให้ความยินดีของเราดำรงอยู่ในท่าน  และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม  (ยอห์น 14:27, 15:11)  {SC 124.1}
                ความสุขสำราญที่อยู่นอกเส้นทางของหน้าที่ในชีวิตซึ่งหามาได้ด้วยเป้าหมายที่เห็นแก่ตัวนั้นจะเป็นความสุขที่ไม่สมดุล  ชั่วคราวและไม่คงทนถาวร  ความสุขนั้นจะหมดไป  และจิตวิญญาณจะมีแต่ความโดดเดี่ยวและความโศกเศร้าแต่งานรับใช้พระเจ้าจะให้ความปิติยินดีและความพึงพอใจ  คริสเตียนจะไม่ถูกทอดทิ้งให้เดินอยู่บนเส้นทางที่ไม่แน่นอน  เขาจะไม่ตกอยู่ในความเสียใจและความผิดหวังที่ไร้สาระ  หากเส้นทางชีวิตของเราในปัจจุบันนี้ไม่อาจให้ความสุขสำราญแก่เราแล้ว  เรายังคงมีความสุขได้โดยการมองไปยังชีวิตในภายภาคหน้า  {SC 124.2}
                แม้ในเวลานี้คริสเตียนยังมีความสุขกับการสื่อสัมพันธ์ร่วมกับพระคริสต์ได้  พวกเขายังจะได้รับแสงสว่างในความรักของพระองค์  การปลอบประโลมซึ่งจะมีอยู่ตลอดไปจากการทรงร่วมสถิตอยู่ด้วยของพระองค์  ทุกย่างก้าวของชีวิตจะนำเราให้เข้าใกล้ชิดพระเยซูมากยิ่งขึ้น  จะนำเราให้มีประสบการณ์ในความรักของพระองค์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น  และจะนำเราให้เข้าใกล้บ้านสันติสุขอันประเสริฐได้อีกก้าวหนึ่ง  ดังนั้น  จงอย่าละทิ้งความเชื่อมั่นของเรา  แต่ให้มีความหวังใจที่มั่นคง  ซึ่งมั่นคงยิ่งกว่าที่เคยมีมา  พระเจ้าทรงช่วยพวกเราจนบัดนี้  และพระองค์ก็จะช่วยเราจนถึงที่สุด  (1 ซามูเอล 7:12)  ให้เรามองไปยังอนุสรณ์  สำคัญที่เตือนความทรงจำของเราว่าพระเจ้าทรงกระทำการใดเพื่อปลอบประโลมใจเราและทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากมือของผู้ทำลาย  ให้เราเก็บความทรงจำถึงพระเมตตาคุณอันอ่อนโยนที่พระเจ้าทรงมีต่อเราให้ใหม่อยู่เสมอ  น้ำตาที่พระองค์ทรงเช็ดให้  ความเจ็บปวดที่พระองค์ทรงบรรเทาให้ความกังวลที่ทรงขจัดทิ้ง  ความกลัวที่ทรงขับออกไป  ความขัดสนที่ได้ทรงเติมให้เต็ม  พระพรที่ทรงประทานด้วยการทำเช่นนี้  จะเป็นการเพิ่มพละกำลังให้แก่ตัวของเราเองเพื่อเผชิญหน้ากับทุกสิ่งตลอดเส้นทางการเดินทางของเราที่ยังเหลืออยู่ในโลกนี้  {SC 125.1}
                เราไม่อาจทำอย่างอื่นได้นอกจากมองไปยังความงงงวยใหม่ที่มีในความขัดแย้งที่กำลังจะมาถึง  แต่เรามองย้อนหลังพร้อมกับมองไปยังเบื้องหน้าได้และพูดว่า  พระเจ้าทรงช่วยพวกเราจนบัดนี้  วันคืนของท่านเป็นอย่างไร  ขอให้กำลังของท่านเป็นอย่างนั้น  (1 ซามูเอล 7:12, เฉลยธรรมบัญญัติ 33:25 TKJV)  การทดลองจะไม่หนักเกินกำลังที่เราจะรับได้  ซึ่งเป็นกำลังที่จะช่วยให้เราทนต่อการทดลองนั้นได้  เมื่อเป็นเช่นนั้น  ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญหน้ากับงานในสถานที่ใดก็ตาม  ขอให้เราลงมือทำงานนั้น  โดยเชื่อว่า  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม  พระเจ้าจะประทานกำลังอย่างพอเพียงให้แก่เรา  เพื่อเราจะทนต่อการทดลองที่เราต้องเผชิญ  {SC 125.2}
                และในไม่ช้าประตูสวรรค์จะเปิดออกรับเหล่าบุตรทั้งหลายของพระเจ้าและพวกเขาจะได้ยินคำอวยพรซึ่งเป็นเสมือนดนตรีที่ไพเราะที่สุดดังมาจากพระโอษฐ์ของพระราชาพระผู้ทรงเต็มด้วยพระสิริว่า  ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา  จงมารับเอาราชอาณาจักร  ซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก  (มัทธิว 25:34)  {SC 125.3}
                แล้วบรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดจะได้รับการต้อนรับกลับบ้านที่พระเยซูทรงจัดเตรียมไว้ให้พวกเขา  ในสถานที่นั้นจะไม่มีคนถ่อยของแผ่นดินโลก  คนพูดมุสา  คนกราบไหว้รูปเคารพ  คนไม่บริสุทธิ์และคนไม่เชื่อมาเป็นพวกพ้อง  แต่พวกเขาจะมีเพื่อนเป็นผู้ที่ได้ชัยชนะเหนือซาตานและได้สร้างอุปนิสัยที่สมบูรณ์แบบโดยพระคุณของพระเจ้า  พระโลหิตของพระคริสต์ได้ขจัดความโน้มเอียงที่จะทำบาปทั้งหลาย  ความไม่บริบูรณ์ทั้งหมดที่ทำให้พวกเขาทุกข์ในอยู่ในเวลานี้จะออกไป  และพวกเขาจะได้รับคุณความดีและความสดใสแห่งพระสิริของพระเจ้าซึ่งเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงของดวงอาทิตย์  ความงดงามทางฝ่ายศีลธรรม และอุปนิสัยอันสมบูรณ์แบบของพระคริสต์จะส่องผ่านพวกเขาด้วยคุณค่าที่มากเกินกว่าความงามที่มองเห็นได้จากภายนอก  พวกเขาจะปราศจากความผิดในขณะที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์สีขาวที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  เพื่อจะได้ร่วมรับเกียรติยศและสิทธิพิเศษที่เป็นของทูตสวรรค์ทั้งหลาย  {SC 126.1}
                เมื่อคำนึงถึงมรดกอันรุ่งโรจน์ที่จะเป็นของเขานั้น  เขาจะ  นำอะไรไปและเอาชีวิตของตนกลับคืนมา  เล่า  (มัทธิว 16:26)  เขาอาจจะเป็นคนยากจนแต่เขาจะได้เป็นเจ้าของสมบัติและเกียรติยศที่โลกนี้ไม่สามารถมอบให้เขาได้  เมื่อจิตวิญญาณได้รับการไถ่ให้รอดและได้รับการชำระจากบาปได้มอบถวายพละกำลังทั้งหมดของเขาในการรับใช้พระเจ้าแล้ว  เขาก็จะมีคุณค่ามากเกินมหาศาล  และจะมีความสุขในแผ่นดินสวรรค์ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์เมื่อมีจิตวิญญาณดวงหนึ่งได้รับความรอด  เป็นความสุขที่แสดงออกมาเป็นบทเพลงแห่งชัยชนะที่บริสุทธิ์  {SC 126.2}

Visit us for more information http://www.greatesthope.com

For more information, please contact 
Alejandro at mienfield@yahoo.com
or contact
Thailand Adventist Mission 
12 Soi Pridi Banomyong 37, Sukhumvit 71
Klongtan Nua, Wattana, Bangkok 10110
 
Telephone: 02-391-3595, 02-391-0525
Fax: 02-381-1928
 
Information:  
P.O. Box 234 Prakanong Bangkok 10110 Thailand
 

VISIT ALSO


http://www.adventist.or.th/

http://thaivop.com/

No comments: