เคล็ดลับแห่งความสุข
Steps to Christ in Thai
คำนำ
หนังสือ “เคล็ดลับแห่งความสุข” (Steps to Christ) ที่ท่านถืออยู่ในมือนี้ เป็นหนังสือที่ให้กำลังใจและมีอิทธิพลยกระดับศีลธรรมและทำให้เป็นคนดี และทั้งยังมียอดจำหน่ายสูงถึงหลายล้านเล่ม หนังสือเล็กๆ
เล่มนี้จัดพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรกใน ปี ค.ศ. 1892 และพิมพ์มาแล้วกว่าเจ็ดสิบภาษา เสริมแรงบันดาลใจให้กับชายหญิงนับร้อยนับพันคนมาแล้วทั่วโลก
เป็นหนังสือที่ได้รับการต้อนรับและเป็นที่ต้องการของคนมากมาย
จนต้องพิมพ์ติดต่อกันมาหลายครั้งเพื่อตอบสนองกับความต้องการ
เอเลน จี ไวท์ (ค.ศ. 1827-1915) เป็นผู้ประพันธ์หนังสือเล่มนี้
ท่านเป็นนักพูดและนักเขียนด้านศาสนา
ท่านเกิดใกล้เมืองพอร์ทแลนด์
มลรัฐเมน เริ่มทำงานในแถบมลรัฐนิวอิงแลนด์ ต่อมาภายหลัง
ได้เดินทางและขยายงานไปสู่ดินแดนทางภาคกลางและภาคตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1885 ถึง 1887 ท่านได้อุทิศตนทำงานในเมืองใหญ่ๆ
ของทวีปยุโรป
ในการเทศนาแต่ละครั้งจะมีคนเข้าฟังกันอย่างหนาแน่น
ท่านเขียนหนังสือมากมายและทำงานอย่างเกิดผลทั้งในประเทศออสเตรเลียและประเทศนิวซีแลนด์เป็นเวลา
9 ปี
ผลงานเขียนของท่านมีทั้งหนังสือขนาดใหญ่และขนาดเล็กรวมแล้วกว่าสี่สิบห้าเล่ม หนังสือเหล่านี้ครอบคลุมเรื่องศาสนา การศึกษา
สุขอนามัยและครอบครัว
และการดำเนินชีวิตคริสเตียน
หลายเล่มมียอดจำหน่ายเกินล้านเล่ม
หนึ่งในจำนวนนี้มีหนังสือ “เคล็ดลับแห่งความสุข” อยู่ด้วย
อีกทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบและได้รับการต้อนรับมากที่สุด
ชื่อหนังสือเล่มนี้บอกให้เราทราบถึงเป้าหมายที่ต้องการ นำผู้อ่านให้ไปถึงพระเยซูคริสต์ พระผู้ทรงเป็นความปรารถนาของคนทั้งโลก เป็นหนังสือที่จะนำย่างก้าวของผู้ที่สงสัยและไม่มีความมั่นใจในชีวิตให้ไปสู่เส้นทางแห่งสันติสุข
นำผู้ที่แสวงหาความชอบธรรมและใฝ่หาอุปนิสัยที่สมบูรณ์แบบให้ก้าวเดินต่อไปทีละก้าวตามเส้นทางของชีวิตคริสเตียน
ก้าวไปให้ถึงประสบการณ์ของการรู้จักพระพรอันไพบูลย์
ยังเปิดเผยให้ผู้อ่านได้รู้จักพระองค์ผู้ทรงเป็นเคล็ดลับแห่งชัยชนะ
และให้เห็นถึงพระคุณของการช่วยให้รอดที่เรียบง่ายและวิธีถนอมรักษาอำนาจยิ่งใหญ่ของพระสหายผู้ล้ำเลิศที่สุดของมวลมนุษยชาติ
พระคริสตธรรมคัมภีร์เดิมบันทึกเรื่องราวของยาโคบไว้ว่า
เขาทำผิดและกลัวว่าความบาปจะตัดเขาออกไปจากพระเจ้า แต่ในเวลากลางคืน ในขณะที่เอนกายลงนอน เขาได้
“ฝันว่ามีบันไดอันหนึ่งตั้งขึ้นบนแผ่นดินโลกยอดถึงฟ้าสวรรค์ ทูตทั้งหลายของพระเจ้ากำลังขึ้นลงอยู่บนนั้น”
เขาได้ยินพระสุรเสียงที่ตรัสมาจากปลายบันไดนั้น เป็นพระดำรัสที่ประโลมใจและให้ความหวังแก่ผู้พเนจร ความฝันนี้ทำให้ยาโคบมองเห็นและเข้าใจว่า มีช่องทางที่เชื่อมโลกให้เข้ากับสวรรค์ พระเจ้าทรงห่วงใยยาโคบอย่างไร ในวันนี้พระองค์ยังทรงห่วงใยท่านอยู่เช่นกัน คณะผู้จัดทำหวังอย่างยิ่งว่า
เมื่อท่านอ่านหนังสือเล่มนี้ท่านจะพบทางแห่งความจริงในองค์พระเยซูคริสต์ มีสันติสุขที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ท่านและจะทรงมอบให้แก่ท่าน หากเพียงแต่ท่านจะแสวงหา ด้วยความจริงใจ
หนังสือเล่มนี้แปลและตรวจสอบความถูกต้องตรงตามต้นฉบับภาษาอังกฤษในส่วนท้ายของทุกย่อหน้า จะมีอักษรและตัวเลขอ้างอิงถึงฉบับมาตรฐานภาษาอังกฤษ ตัวอย่างเช่น
SC
75.2 หมายถึง ย่อหน้านั้นแปลมาจาก หนังสือ
Steps to Christ ฉบับมาตรฐานภาษาอังกฤษ หน้า 75 ย่อหน้าที่ 2
ท่านอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษได้ที่ http//www.whiteestate.org/books/sc/sc.asp
เคล็ดลับที่ 1
ความรักของพระเจ้าที่มีให้แก่มนุษย์
ธรรมชาติและพระคัมภีร์ต่างเป็นพยานถึงความรักของพระเจ้า พระบิดาแห่งสรวงสวรรค์ของเราทรงเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิต สติปัญญาและความชื่นชมยินดี จงมองดูธรรมชาติที่แสนอัศจรรย์และงดงาม
ลองพิจารณาถึงธรรมชาติที่ปรับเปลี่ยนสภาพของตนเองได้อย่างน่าพิศวง
ซึ่งเกิดขึ้นไม่ใช่เพียงเพื่อผลประโยชน์และความผาสุกของมนุษย์เท่านั้น แต่เพื่อสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งมวล
แสงแดดและสายฝนที่นำความสุขและความสดชื่นมาให้แก่พื้นผิวโลก เนินเขา
ทะเลและพื้นที่ราบ ต่างบอกให้เราทราบถึงเรื่องความรักของพระผู้ทรงสร้างโลก
พระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีพให้แก่สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ผู้ประพันธ์สดุดีได้บรรยายไว้อย่างงดงามว่า
“ตาแห่งสรรพสัตว์ที่คอยท่าพระองค์อยู่
พระองค์ทรงประทานอาหารตามเวลา
พระองค์ทรงแบพระหัตถ์
ประทานแก่สรรพสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ให้อิ่มตามความประสงค์”
สดุดี 145:15, 16 {SC 9.1}
พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ดีพร้อมและมีความสุข
โลกที่สวยงามซึ่งสร้างโดยฝีพระหัตถ์ของพระผู้สร้างนั้นไม่มีร่องรอยของการเปื่อยเน่าหรือเงาของความเลวร้าย
ความหายนะและความตายเข้ามาในโลกนี้ได้ก็เนื่องจากการล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าซึ่งเป็นพระบัญญัติแห่งความรัก แต่ท่ามกลางความทุกข์ระทมซึ่งเป็นผลของความบาป
ความรักของพระผู้เป็นเจ้าก็ยังสำแดงให้ประจักษ์ พระวจนะได้บันทึกไว้ว่า
พระเจ้าทรงแช่งสาปผืนแผ่นดินก็เพื่อเห็นแก่มนุษย์ (ปฐมกาล
3:17)
ความทุกข์ยากและความลำบากที่เป็นเหมือนเสี้ยนหนาม
ซึ่งทำให้ชีวิตของมนุษย์ต้องตรากตรำและเป็นภาระนั้น พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้เพื่อประโยชน์แก่เขา
เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝนซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในแผนการของพระองค์ที่จะฉุดเขาให้พ้นจากความหายนะและความเสื่อมสลายที่เป็นผลจากความบาป ถึงแม้โลกนี้ได้แพ้พ่ายต่อความบาป
แต่โลกนี้ก็ไม่ได้มีแต่ความโศกเศร้าและความน่าสังเวช ท่ามกลางคมหนาม และในพงหนามก็ยังประดับด้วยดอกกุหลาบงาม {SC
9.2}
บนดอกไม้ที่กำลังผลิบาน
บนยอดใบเรียวงามของต้นหญ้าที่งอกขึ้นมาต่างจารึกว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก”
นกน่ารักที่ส่งเสียงร้องก้องในอากาศด้วยบทเพลงไพเราะแห่งความสุข ดอกไม้ที่ถูกแต่งแต้มอย่างประณีตที่ส่งกลิ่นหอมอันดีเลิศให้แก่บรรยากาศ
ต้นไม้สูงใหญ่ในป่าที่ปกคลุมด้วยใบเขียวชอุ่มต่างเป็นพยานให้เห็นว่าพระเจ้าของเราทรงรักใคร่และห่วงใยเยี่ยงพ่อ และทรงต้องการให้บุตรทั้งหลายของพระองค์มีความสุข {SC 10.1}
พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยให้เห็นพระลักษณะของพระองค์
พระองค์ได้ทรงประกาศถึงความรักและพระเมตตาคุณอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของพระองค์เอง เมื่อโมเสสกราบทูลว่า “ขอทรงโปรดสำแดงพระสิริของพระองค์แก่ข้าพระองค์” นั้น พระเจ้าทรงตรัสตอบว่า “เราจะให้คุณความดีของเราประจักษ์แจ้งต่อหน้าเจ้า” (อพยพ 33:18, 19)
นี่คือพระสิริของพระองค์
พระผู้เป็นเจ้าทรงเสด็จผ่านโมเสสไป
และพระองค์ทรงประกาศว่า “พระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ พระเจ้าผู้ทรงพระกรุณา ทรงกอปรด้วยพระคุณ ทรงกริ้วช้าและบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง
ผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อมนุษย์กระทั่งพันชั่วอายุ ผู้ทรงโปรดยกโทษการล่วงละเมิด การทรยศ
และบาปของเขาเสีย” (อพยพ 34:6, 7) พระองค์ “ทรงกริ้วช้าและบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง” “เพราะว่าพระองค์ทรงพอพระทัยในความรักมั่นคง” (โยนาห์ 4:2; มีคาห์ 7:18) {SC
10.2}
พระเจ้าทรงประทานสิ่งของมากมายทั้งจากสวรรค์และจากโลกนี้เพื่อผูกมัดจิตใจของเราไว้กับพระองค์ พระองค์ทรงใช้สิ่งต่างๆ
ในธรรมชาติและทรงใช้ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและลึกซึ้งที่สุดที่มีในโลกเท่าที่จิตใจของมนุษย์จะรู้จักเพื่อสำแดงตัวพระองค์เองให้แก่เรา
แต่สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นความรักของพระองค์ได้ไม่บริบูรณ์ ถึงแม้พระเจ้าจะทรงโปรดประทานหลักฐานต่างๆ
ทั้งหมดแล้วก็ตาม
แต่ศัตรูของความดีได้บดบังความนึกคิดของมนุษย์ จนพวกเขามองดูพระเจ้าด้วยความหวาดกลัว พวกเขามองว่าพระองค์ทรงโหดร้ายและไม่ให้อภัย ซาตานชักนำมนุษย์ให้เข้าใจว่า พระลักษณะสำคัญที่สุดของพระเจ้า คือ
พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาที่เข้มงวด
เป็นผู้ตัดสินที่โหดเหี้ยม
รุนแรง
เป็นเจ้าหนี้ที่เกรี้ยวกราด
ซาตานวาดภาพพระผู้สร้างให้เป็นผู้ที่จ้องมองมนุษย์ด้วยดวงตาที่ริษยาเพื่อคอยจับผิดและหาข้อผิดพลาดและนำมนุษย์มาลงโทษเพื่อที่จะขจัดเงามืดนี้และแสดงให้เห็นถึงความรักอันไร้ขอบเขตของพระเจ้า
พระเยซูจึงได้ทรงเสด็จลงมาดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์ {SC 10.3}
พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาจากสวรรค์เพื่อเปิดเผยพระบิดาให้ประจักษ์
“ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย
พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในพระทรวงของพระบิดา พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว” (ยอห์น 1:18) “ไม่มีใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตร และผู้ที่พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้” (มัทธิว 11:27)
เมื่อสาวกคนหนึ่งทูลขอว่า “ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เห็น”
พระเยซูตรัสตอบว่า “เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียงนี้และท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น” (ยอห์น 14:8, 9) {SC 11.1}
พระเยซูตรัสถึงพระราชกิจของพระองค์ในโลกว่า
“พระเจ้าได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ” (ลูกา 4:18) นี่เป็นพระราชกิจของพระองค์
พระองค์ทรงดำเนินไปทุกหนทุกแห่งเพื่อทำการดีและรักษาผู้ที่ถูกซาตานครอบงำไว้ให้หาย หมู่บ้านหลายแห่งไม่มีบ้านใดที่มีเสียงร้องคร่ำครวญของความเจ็บปวดเลย เพราะพระองค์เสด็จดำเนินเข้าไปและทรงรักษาคนป่วยในบ้านเรือนเหล่านั้น
พระราชกิจของพระองค์เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงเจิมพระองค์
พระราชกิจทุกอย่างที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของพระองค์ ได้แสดงให้เห็นถึงความรัก
ความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจพระทัยของพระองค์ทรงเมตตาสงสารเหล่าบุตรของมนุษย์ พระองค์ทรงรับธรรมชาติของมนุษย์
เพื่อพระองค์จะทรงเข้าถึงความต้องการของมนุษย์ได้
ผู้ที่ยากจนและต่ำต้อยที่สุดไม่กลัวที่จะเข้ามาหาพระองค์ แม้เด็กเล็กๆ ก็ยังหลงใหลในพระองค์ พวกเขาชอบที่จะขึ้นนั่งบนตักของพระองค์และจ้องมองดูพระพักตร์ที่เศร้าหมองแต่เต็มเปี่ยมด้วยความรัก {SC 11.2}
พระเยซูไม่ทรงปิดบังความจริงแม้เพียงคำเดียว
แต่พระองค์ทรงตรัสความจริงเหล่านั้นด้วยความรักเสมอ เมื่อพระองค์ทรงติดต่อกับคนทั้งหลาย พระองค์ทรงใช้ไหวพริบและความรอบคอบและความสนพระทัยที่เปี่ยมด้วยความเมตตา พระองค์ไม่เคยหยาบคาย ไม่เคยตรัสคำพูดที่รุนแรงโดยไม่จำเป็น ไม่เคยทำให้จิตวิญญาณที่อ่อนไหวต้องได้รับความเจ็บปวดโดยไม่จำเป็น พระองค์ไม่ได้ตำหนิความอ่อนแอของมนุษย์ พระองค์ทรงตรัสอย่างตรงไปตรงมา แต่ทรงตรัสด้วยความรักเสมอ พระองค์ทรงประณามความหน้าซื่อใจคด ความไม่เชื่อ
และความชั่ว
แต่ขณะเมื่อพระองค์ทรงตำหนิด้วยคำพูดที่เสียดแทงนั้น
พระสุรเสียงของพระองค์กลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
พระองค์ทรงกันแสงให้แก่กรุงเยรูซาเล็มซึ่งเป็นเมืองที่พระองค์ทรงรัก เป็นเมืองที่ปฏิเสธไม่ยอมรับพระองค์ผู้ทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริง
และเป็นชีวิต
พวกเขาปฏิเสธพระองค์ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
แต่พระองค์ยังทรงมองดูพวกเขาด้วยความอ่อนโยนสงสาร
พระองค์ทรงมีชีวิตที่ละทิ้งตนเองและเอาใจใส่ผู้อื่น จิตวิญญาณทุกดวงมีค่าในสายพระเนตรของพระองค์
ถึงแม้ว่าพระองค์เองเคยทรงดำรงไว้ซึ่งฐานันดรศักดิ์ของพระเจ้า
แต่พระองค์ทรงก้มลงมายังสมาชิกทุกคนในครอบครัวของพระเจ้าด้วยความสนใจอย่างที่สุด
พระองค์ทรงมองดูมนุษย์ทุกคนและทรงมองเห็นวิญญาณที่ล้มลงในบาป
ซึ่งเป็นพันธกิจที่พระองค์ทรงต้องการช่วยจิตวิญญาณเหล่านี้ให้รอด {SC 12.1}
นี่เป็นพระลักษณะของพระคริสต์ตามที่ปรากฏให้เห็นในชีวิตของพระองค์ พระเจ้าทรงมีพระลักษณะเช่นเดียวกัน
พระเมตตาคุณของพระเจ้าที่ไหลบ่ามาจากพระทัยของพระบิดา ได้ปรากฏให้เห็นในพระคริสต์
และได้ไหลบ่าไปยังบรรดาบุตรทั้งหลายของมนุษย์ พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาและความสงสาร ทรงเป็นพระเจ้าเสด็จมา “ปรากฏเป็นมนุษย์” (1 ทิโมธี 3:16)
{SC 12.2}
พระเยซูเสด็จมาในโลกและทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยเราให้รอด พระองค์จึงได้กลาย “เป็นคนที่รับความเศร้าโศก” (อิสยาห์ 53:3)
เพื่อเราจะได้รับความสุขนิรันดร
พระเจ้าทรงอนุญาตให้พระบุตรที่พระองค์ทรงรัก พระบุตรผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณและความจริง เสด็จลงมาจากโลกที่มีรัศมีอันสุดจะบรรยายได้
มายังโลกที่เปรอะเปื้อนและถูกทำลายด้วยความบาป
โลกที่มืดมนด้วยเงามืดแห่งความตายและคำสาปแช่ง พระเจ้าทรงอนุญาตให้พระองค์ออกมาจากอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความรักของพระองค์ ออกมาจากทูตสวรรค์ที่เทิดทูลพระองค์ เพื่อมารับความอับอาย การเหยียดหยาม
ความอัปยศอดสูตกแก่ท่าน
ที่ท่านต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี” (อิสยาห์ 53:5) จงมองดูพระองค์ขณะที่พระองค์อยู่ในป่ากันดาร ในสวนเกทเสมนี
และบนกางเขน
พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงปราศจากด่างพร้อย
ต้องทนรับภาระบาปมาใส่พระองค์เอง
พระองค์ผู้ทรงเป็นหนึ่งร่วมกับพระเจ้า
ภายในวิญญาณของพระองค์
พระองค์ทรงรู้สึกถึงความน่าสะพรึงกลัวที่บาปได้แยกพระเจ้าออกไปจากมนุษย์จนทำให้พระองค์ต้องร้องขึ้นมาด้วยความปวดร้าวว่า
“พระเจ้าของข้าพระองค์
พระเจ้าของข้าพระองค์
ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” (มัทธิว 27:46) เป็นเพราะภาระหนักของบาป ความรู้สึกถึงความเลวร้ายน่ากลัวของมัน ที่แยกจิตวิญญาณของพระองค์ออกไปจากพระเจ้า ทำให้พระทัยของพระบุตรพระเจ้าแตกสลายไป {SC
13:1}
แต่การเสียสละที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อทำให้พระทัยของพระบิดาเกิดความรักในตัวมนุษย์
ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อให้พระองค์เต็มใจช่วยมนุษย์ ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์” (ยอห์น 3:16)
พระบิดาทรงรักเรา
ไม่ใช่เพราะการลบล้างพระอาชญาที่ยิ่งใหญ่โดยพระโลหิตของพระเยซู
แต่พระองค์ทรงจัดเตรียมการลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระเยซูเพราะพระองค์ทรงรักเรา
พระคริสต์ทรงเป็นสื่อกลางที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อให้ความรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัดของพระองค์ให้หลั่งลงมายังโลกที่พ่ายแพ้แก่บาปได้ “พระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์” (2 โครินธ์ 5:19)
พระเจ้าทรงร่วมทุกข์กับพระบุตรของพระองค์ในความปวดร้าวทรมานที่สวนเกทเสมนี ในความมรณาบนกางเขนคาล์วารี
พระทัยแห่งความรักอันไร้ขอบเขตจำกัดของพระเจ้าได้ชำระราคาค่าไถ่บาปของเราแล้ว {SC 13:2}
พระเยซูตรัสว่า “ด้วยเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา
เพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก”
(ยอห์น 10:17)
หมายความว่า “พระบิดาของเราทรงรักท่านทั้งหลายมาก
และพระองค์ทรงรักเรามากยิ่งขึ้นเมื่อเรายอมถวายชีวิตของเราเพื่อไถ่ท่านทั้งหลาย
เราเป็นตัวแทนของท่านทั้งหลายเป็นผู้ประกันท่านทั้งหลาย เรายอมสละชีวิต รับภาระหนี้และการล่วงละเมิดของท่านทั้งหลาย พระบิดาจึงชื่นชอบเรามาก
เพราะโดยการเสียสละของเราจึงเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า พระเจ้าทรงความเที่ยงธรรม ไม่เพียงแต่เท่านั้นยังพิสูจน์ให้เห็นว่า
ผู้ที่เชื่อในพระเยซูจะได้เป็นผู้ชอบธรรมเช่นกัน” {SC
14.1}
ไม่มีผู้ใดนอกจากพระบุตรของพระเจ้าที่จะทำการไถ่เราได้สำเร็จ
เพราะผู้ที่ทรงสถิตอยู่ในพระบิดาเท่านั้นที่จะประกาศเรื่องของพระองค์ได้
มีเพียงผู้ที่เข้าใจความสูงและความลึกที่มีอยู่ในความรักของพระเจ้าเท่านั้นจึงจะเปิดเผยความรักนั้นให้เห็นแจ้งได้
ไม่มีวิธีอื่นนอกจากการเสียสละที่เหลือคณานับของพระคริสต์ที่ทรงทำเพื่อมนุษย์ที่พลาดพลั้งในบาปจะกล่าวถึงความรักของพระบิดาที่มีต่อมวลมนุษย์ที่หลงหายได้ {SC 14.2}
“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์”
พระเจ้าไม่เพียงแต่ทรงประทานพระเยซูให้มาทรงพระชนม์อยู่ท่ามกลางมนุษย์เท่านั้น
แต่ทรงเสด็จมาเพื่อแบกรับบาปของเราและสิ้นพระชนม์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาของพวกเราด้วย
พระเจ้าทรงประทานพระคริสต์ให้แก่เผ่าพันธุ์ที่พลั้งพลาดไปในบาป พระองค์จึงนำตัวพระองค์เองให้เข้ามามีส่วนร่วมกับผลประโยชน์และความต้องการของมนุษยชาติ
พระองค์ผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียวร่วมกับพระเจ้าได้ทรงเชื่อมสัมพันธ์กับเหล่าบุตรของมนุษย์ด้วยสายสัมพันธ์ที่ไม่มีวันขาด “พระองค์จึงไม่ทรงละอายที่จะทรงเรียกเขาเหล่านั้นว่าเป็นพี่น้อง” (ฮีบรู 2:11)
พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของเรา
ทรงเป็นผู้แก้ต่างของเรา
ทรงเป็นพี่ชายของเรา
พระองค์อยู่เบื้องพระบัลลังก์ของพระบิดาทรงมีสภาพมนุษย์เหมือนกันกับเรา
และพระองค์ผู้ทรงเป็นบุตรมนุษย์จะทรงอยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์ที่พระองค์ได้ทรงไถ่ให้รอดตลอดชั่วนิรันดร์
และทั้งหมดนี้ก็เพื่อยกระดับมนุษย์ขึ้นมาจากการพินาศและความเสื่อมสลายของบาป
เพื่อให้มนุษย์ได้สะท้อนความรักของพระเจ้าและมีส่วนร่วมในความสุขของความบริสุทธิ์ {SC 14:3}
ค่าไถ่ที่จ่ายไปเพื่อไถ่เราให้รอด ซึ่งเป็นการเสียสละที่เหลือคณานับของพระบิดาบนสวรรค์ที่ทรงประทานพระบุตรของพระองค์ให้มาสิ้นพระชนม์แทนเรานั้น ควรทำให้เรามีแนวคิดที่สูงส่งว่า โดยทางพระคริสต์เราจะเป็นคนเช่นไร ขณะที่อัครทูตยอห์นผู้ได้รับการดลใจได้มองเห็นความสูง ความลึกและความกว้างของความรักของพระบิดาที่มีต่อเผ่าพันธุ์ที่กำลังจะพินาศนั้น ท่านเปี่ยมล้นด้วยการเทิดทูนและความเคารพ
ท่านไม่สามารถหาคำพูดที่เหมาะสมเพื่อมาบรรยายถึงความยิ่งใหญ่และความนุ่มนวลของความรักนี้ได้ ท่านจึงเชิญชวนให้โลกมาดูว่า “จงดูเถิด
พระบิดาทรงโปรดประทานความรักแก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า” (1 ยอห์น 3:1)
สิ่งที่มนุษย์เราได้รับนั้น
ช่างมีคุณค่าสูงอะไรเช่นนี้
แต่เนื่องจากมนุษย์ได้กระทำผิด
พวกเขาจึงตกไปอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตาน
โดยทางความเชื่อในการเสียสละของพระคริสต์ที่ทรงประทานพระองค์เองมาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เหล่าบุตรของอาดัมจะได้กลายมาเป็นบุตรของพระเจ้า
เมื่อพระคริสต์ทรงรับธรรมชาติของมนุษย์มาไว้กับตัวพระองค์เองแล้ว พระองค์ได้ทรงยกระดับมนุษยชาติขึ้น โดยการสัมพันธ์กับพระคริสต์
มนุษย์ที่ล้มลงในบาปจึงจะคู่ควรกับการได้ชื่อว่าเป็น ”บุตรของพระเจ้า” อย่างแท้จริง {SC 15.1}
ไม่มีสิ่งใดจะมาเทียบเท่ากับความรักเช่นนี้ได้ เราได้เป็นบุตรของพระราชาแห่งสรวงสวรรค์ นี่เป็นพระสัญญาที่ประเสริฐยิ่ง เป็นหัวข้อที่ลึกซึ่งที่สุดที่เราจะใช้ในการใคร่ครวญ
ความรักที่ไม่มีรักใดเปรียบได้ของพระเจ้าที่ให้กับโลกที่ไม่รักพระองค์ ความคิดเช่นนี้มีอำนาจควบคุมจิตวิญญาณและนำความคิดให้มาอยู่ภายใต้น้ำพระทัยของพระเจ้า
ยิ่งเราศึกษาพระลักษณะของพระเจ้าภายใต้ความสว่างของกางเขนมากขึ้นเพียงไร
เราก็จะยิ่งมองเห็นพระเมตตาคุณความอ่อนโยนและการอภัยที่ประสานกันด้วยความมีเหตุผลและยุติธรรมได้มากขึ้นเท่านั้น และเราก็จะมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นถึงหลักฐานมากมายของความรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัด และความเมตตาสงสาร
ที่มีมากกว่าเสียงร้องน่าสงสารของแม่ที่ตามหาลูกที่หลงหายไป {SC 15.2}
เคล็ดลับที่
2
คนบาปต้องการพระเยซู
เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาตั้งแต่แรกนั้น
มนุษย์มีความสามารถเป็นเลิศและมีความคิดอย่างสมดุลที่สุด
เขาเป็นคนสมบูรณ์แบบและร่วมกันเป็นหนึ่งกับพระเจ้า ความคิดของเขาบริสุทธิ์
เป้าหมายของเขาสูงส่งแต่เพราะความไม่เชื่อฟัง เขาจึงนำความสามารถต่างๆ ไปใช้ในทางที่ผิด และความเห็นแก่ตัวก็เข้ามาแทนที่ความรัก
การล่วงละเมิดทำให้ธรรมชาติของเขาอ่อนแอลงจนไม่มีพละกำลังที่จะต้านอำนาจของความบาปได้ เขาจึงถูกซาตานควบคุมไว้ และคงจะต้องเป็นเช่นนั้นไปตลอดกาล
ถ้าพระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงเข้ามาแทรกแซงเป็นกรณีพิเศษ
เป็นเป้าหมายของจอมหลอกลวงที่ต้องการทำลายแผนการของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์
และทำให้โลกนี้เต็มล้นไปด้วยความทุกข์ยากและความอ้างว้าง
และมันก็จะชี้ว่าความเลวร้ายทั้งหมดนี้เป็นผลจากพระเจ้าพระราชกิจของพระเจ้าที่ได้สร้างมนุษย์ {SC 17.1}
มนุษย์ที่ปราศจากบาปได้สื่อสัมพันธ์อย่างมีความสุขกับพระเจ้าผู้ทรงเป็น
“คลังสติปัญญา และความรู้ทุกอย่างทรงปิดซ่อนไว้ในพระองค์” (โคโลสี 2:3)
แต่หลังจากมนุษย์ได้ทำบาป เขาไม่ได้ชื่นชอบกับความบริสุทธิ์อีกต่อไป
และเขาพยายามซ่อนตัวให้พ้นจากเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า นี่คือสภาพของจิตใจที่ยังมิได้รับการเปลี่ยนแปลง และไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า
และการสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้าไม่ได้สร้างความสุขอันให้แก่เขา
คนบาปไม่มีความสุขที่ได้อยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า เขาจะหลบหนีให้พ้นจากการต้องเข้าสนิทสนมกับบรรดาผู้บริสุทธิ์ ถ้าหากเขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสวรรค์ การอยู่ในสวรรค์ก็ไม่ได้สร้างความสุขให้แก่เขา
เพราะที่นั่นปกครองด้วยวิญญาณแห่งความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว
จิตใจทุกดวงตอบสนองต่อพระทัยที่เต็มไปด้วยความรักอันไร้ขอบเขตจำกัดของพระเจ้า
ซึ่งจิตใจของคนบาปไม่อาจที่จะสื่อกับความรักเช่นนี้ได้ ความนึกคิด
ความสนใจ และแรงบันดาลใจของเขาจะเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดสำหรับชาวเมืองที่ปราศจากบาป
เขาจะกลายเป็นเพียงเสียงเพี้ยนที่ประสานให้เข้ากับเสียงเพลงอันไพเราะของชาวสวรรค์ไม่ได้ สรวงสวรรค์จะกลายเป็นความสว่างและเป็นศูนย์กลางแห่งความชื่นชมยินดี บรรดาคนชั่วถูกกีดกันออกจากสวรรค์ ไม่ได้เป็นเพราะพระบัญชาอันไร้เหตุผลของพระเจ้า แต่แท้จริงแล้ว
การที่พวกเขาไม่สามารถเข้ามาร่วมปฏิสัมพันธ์กับชาวสวรรค์ต่างหากที่ได้กีดกันพวกเขาออกไป พระสิริของพระเจ้าจะเป็นดั่งไฟเผาผลาญพวกเขา
พวกเขาคงปรารถนาการทำลายเพื่อจะได้หนีไปให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ผู้ทรงยอมสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่พวกเขา
{SC 17.2}
โดยลำพังตัวของเราเอง
เราหลบหนีให้พ้นหลุมพรางแห่งความบาปที่เรากำลังจมดิ่งลงไปไม่ได้ จิตใจของเรานั้นชั่ว และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ “ใครจะเอาสิ่งสะอาดออกมาจากสิ่งไม่สะอาดได้ ไม่มีใครสักคน” “เหตุว่าใจซึ่งปักอยู่กับเนื้อหนังนั้นก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า
หาได้อยู่ใต้บังคับธรรมบัญญัติของพระเจ้าไม่และที่จริงจะอยู่ใต้บังคับธรรมบัญญัตินั้นไม่ได้” (โยบ 14:4; โรม 8:7) การศึกษา
วัฒนธรรม ความตั้งใจ ความพยายามของมนุษย์ ล้วนมีอิทธิพลที่เหมาะสมในตัวของมันเอง แต่ในโลกนี้
สิ่งเหล่านี้กลับไม่มีอำนาจ
สิ่งเหล่านี้อาจจะมีผลที่ดีต่อพฤติกรรมภายนอก แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจได้
และก็ไม่สามารถชำระน้ำพุแห่งชีวิตให้บริสุทธิ์ได้ จำเป็นที่จะต้องมีอำนาจที่มาจากภายใน
ซึ่งเป็นชีวิตใหม่ที่มาจากเบื้องบนที่จะเปลี่ยนแปลงมนุษย์จากความบาปไปสู่ความบริสุทธิ์ได้ พลังอำนาจนั้น คือ
พระคริสต์
พระคุณของพระองค์เท่านั้นที่สามารถปลุกจิตวิญญาณที่ไร้ชีวิตชีวาขึ้นมา
และดึงดูดให้จิตวิญญาณนั้นกลับเข้ามาหาพระเจ้า เข้ามาหาความบริสุทธิ์ {SC 18.1}
พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า
“ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่
ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้” (ยอห์น 3:3)
เขาจะต้องได้รับจิตใจดวงใหม่
ความปรารถนาใหม่
จุดมุ่งหมายของชีวิตใหม่
และแรงบันดาลใหม่
เพื่อนำเขาไปสู่ชีวิตใหม่
ความคิดที่ว่า
เพียงแค่พัฒนาสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ความคิดเช่นนี้เป็นการหลอกลวงที่อันตรายถึงตาย “แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ” “อย่างประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านทั้งหลายต้องบังเกิดใหม่” (1โครินธ์ 2:14; ยอห์น 3:7) พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บันทึกถึงพระคริสต์ว่า “พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์” “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” (ยอห์น 1:4; กิจการของอัครทูต 4:12) {SC 18.2}
การเข้าใจพระกรุณาที่เต็มด้วยความรักของพระเจ้า การมองเห็นพระเมตตาคุณและความเอ็นดูเยี่ยงความรักของพ่อที่มีอยู่ในพระลักษณะนิสัยของพระองค์นั้นไม่เป็นการเพียงพอ การมองเห็นพระปัญญาและความยุติธรรมที่มีอยู่ในพระบัญญัติของพระเจ้า
และมองเห็นว่าพระบัญญัติตั้งอยู่บนหลักการแห่งความรักที่นิรันดร์นั้นก็ยังไม่เป็นการเพียงพอ อัครทูตเปาโลเข้าใจสิ่งทั้งหมดนี้ เมื่อท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้ายอมรับว่าธรรมบัญญัตินั้นดี” “เหตุฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงเป็นสิ่งบริสุทธิ์และข้อบัญญัติก็บริสุทธิ์ยุติธรรมและดีงาม”
แต่ด้วยจิตวิญญาณที่เศร้าหมองและสิ้นหวัง
เปาโลได้กล่าวเพิ่มเติมด้วยความขมขื่นว่า “แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ถูกขายไว้ให้อยู่ใต้บาป” (โรม 7:16, 12, 14) เปาโลปรารถนาความบริสุทธิ์ ความชอบธรรม
ซึ่งในตัวเขาเองไม่มีอำนาจที่จะครอบครองสิ่งนี้ได้ และจึงร้องออกมาว่า “โอย
ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้
ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ซึ่งเป็นของความตายได้” (โรม 7:24)
เสียงร้องคร่ำครวญจากจิตใจที่ปวดร้าวเช่นนี้มีให้ได้ยินจากทั่วทุกหนแห่งและตลอดทุกยุคทุกสมัย แต่มีคำตอบอยู่เพียงคำตอบเดียวที่มีไว้สำหรับทุกคน นั่นคือ “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย” (ยอห์น 1:29) {SC 19.1}
มีบุคคลมากมายซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสาะแสวงหาเพื่อให้เขาได้รับรู้ความจริง
และเพื่อให้ความกระจ่างแจ้งแก่จิตวิญญาณทั้งหลายที่อยากหลุดพ้นจากภาระหนักของความผิดบาป ภายหลังจากที่ยาโคบได้หลอกเอซาวแล้ว เขาได้หลบหนีออกจากบ้านของบิดา เขาถูกกดดันด้วยความรู้สึกผิด
ในขณะที่เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวและไร้ที่อยู่อาศัย
ถูกตัดขาดจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ครั้งหนึ่งเคยมีค่าต่อชีวิตของเขา แต่ความคิดหนึ่งที่บีบคั้นเขามากกว่าความคิดอื่นๆ
คือ
เขากลัวว่าความบาปของเขาทำให้เขาถูกตัดขาดจากพระเจ้า และจะถูกสวรรค์ทอดทิ้ง เขาเอนตัวลงนอนบนพื้นดินที่ว่างเปล่าด้วยความโศกเศร้า รอบตัวมีแต่เนินเขาที่อ้างว้าง
และเหนือขึ้นไปก็มีแต่ท้องฟ้าที่สว่างสดใจด้วยแสงดาว ในขณะที่เขานอนหลับอยู่นั้น เขาได้เห็นแสงประหลาดส่องเจิดจ้ามา และดูเถิด
จากพื้นราบที่เขานอนอยู่นั้น มีบันไดลึกลับขนาดมหึมาทอดสูงขึ้นไปจนถึงประตูแห่งสวรรค์
และมีบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าเดินขึ้นลงบันไดนั้น และจากรัศมีเจิดจ้าที่มาจากเบื้องบน เขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสข้อความที่ปลอบประโลมใจและให้ความหวัง จึงทำให้ยาโคบรู้สึกว่า
จิตวิญญาณของเขาได้พบกับสิ่งที่เขาต้องการและโหยหามาช้านาน นั่นก็คือพระผู้ช่วยให้รอด
เขาเปี่ยมล้นไปด้วยความชื่นชมยินดีและขอบพระคุณ เมื่อเขามองเห็นหนทางที่ได้เปิดเผยให้แก่เขาได้รู้ว่า
ในสภาพที่เป็นคนบาปเขายังฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้
บันไดลึกลับในฝันของเขานั้นเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระเยซู ผู้ทรงเป็นสื่อกลางเพียงหนึ่งเดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
{SC 19.2}
พระคริสต์ทรงใช้สัญลักษณ์เดียวกันนี้เมื่อพระองค์สนทนากับนาธานาเอล พระองค์ทรงตรัสว่า “ท่านจะได้เห็นท้องฟ้าเบิกออก
และบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์” (ยอห์น 1:5)
เมื่อมนุษย์ละทิ้งพระเจ้า
เขาได้นำตัวเองให้เหินห่างไปจากพระองค์
โลกก็ถูกตัดขาดจากสวรรค์ ไม่มีการติดต่อระหว่างสองฟากฝั่งที่ถูกเหวลึกขวางกั้นได้ แต่โดยผ่านทางพระคริสต์
โลกจึงเชื่อมต่อกับสวรรค์ได้อีกครั้งและด้วยความดีที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้ พระคริสต์ได้เชื่อมต่อสองฟากฝั่งของเหวลึกที่เกิดจากความบาป
เพื่อว่าเหล่าทูตสวรรค์ผู้รับใช้จะสื่อสัมพันธ์กับมนุษย์ได้ พระคริสต์ทรงนำมนุษย์ที่ล้มลงด้วยความอ่อนแอและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มาเชื่อมต่อกับพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของพลังอำนาจที่ไม่มีขอบเขตจำกัด
{SC 20.1}
ถ้ามนุษย์ไม่สนใจพระองค์ผู้ทรงเป็นบ่อเกิดแห่งความหวังและการช่วยเหลือเพียงแหล่งเดียวของมนุษยชาติที่ได้ล้มลงแล้ว ความใฝ่ฝันถึงความก้าวหน้าของพวกเขาก็ไร้ประโยชน์
ความพยายามทั้งสิ้นที่จะยกระดับมนุษยชาติก็ไม่เกิดผล “ของประทานอันดีทุกอย่างและของประทานอันเลิศทุกอย่าง” ย่อมมาจากพระเจ้า (ยากอบ 1:17) เมื่อเราเหินห่างออกไปจากพระองค์
อุปนิสัยที่ดีเลิศอย่างแท้จริงก็จะไม่เกิดขึ้น และทางเดียวที่เราจะไปให้ถึงพระเจ้าได้คือไปทางพระคริสต์ พระองค์ทรงตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยอห์น 14:6) {SC 21.1}
พระทัยของพระเจ้าถวิลหาบรรดาลูกๆ
ของพระองค์ซึ่งอยู่บนโลกใบนี้ด้วยความรักมั่นคงที่ไม่หวั่นเกรงแม้ความตาย
เมื่อพระเจ้าทรงประทานพระบุตรของพระองค์ลงมานั้น
พระองค์ทรงประทานทุกสิ่งที่มีอยู่ในสวรรค์ลงมาในของขวัญล้ำค่าชิ้นนั้น
ชีวิตและความตายและการร้องขอความกรุณาขององค์พระผู้ช่วยให้รอด การรับใช้ของทูตสวรรค์ การวิงวอนของพระวิญญาณ พระราชกิจของพระเจ้าทั้งจากเบื้องบนและตลอดเวลาที่ผ่านมา
ความสนใจและเอาใจใส่อย่างไม่หยุดหย่อนของเหล่าชาวสวรรค์ ทุกอย่างที่กล่าวมานี้มีไว้เพื่อการไถ่มนุษย์ {SC 21.2}
ให้เราไตร่ตรองถึงการเสียสละอันน่าอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อเราทั้งหลาย ให้เราถึงพอใจกับแรงงานและพลังงานที่พระเจ้าได้ทรงใช้ไปเพื่อกอบกู้ผู้ที่หลงหายและนำกลับคืนสู่บ้านของพระบิดา
ไม่มีแรงจูงใจใดที่แกร่งกล้ากว่าหรือหน่วยงานใดที่มีอำนาจมากกว่าจะสามารถทำการกอบกู้นี้ได้ ลองคิดถึงรางวัลยิ่งใหญ่สำหรับการทำในสิ่งที่ถูกต้อง ความเบิกบานหรรษาในสวรรค์ การเข้าร่วมสังคมกับเหล่าทูตสวรรค์
การได้สื่อสัมพันธ์และเป็นที่รักของพระเจ้าและของพระบุตร
การที่เราจะได้รับความสามารถทั้งหมดที่ดีขึ้นและเพิ่มมากขึ้นตลอดชั่วนิรันดร
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แรงจูงใจและกำลังใจให้เรามอบจิตใจเพื่อการรับใช้ด้วยความรักแด่พระผู้สร้างและพระผู้ไถ่ของเราหรือ {SC 21.3}
และในทางกลับกัน
พระวจนะของพระเจ้าได้บรรยายถึงเรื่องพระเจ้าที่พิพากษาความบาป ผลของความบาปที่เลี่ยงไม่ได้ อุปนิสัยของเราที่ตกต่ำลงและเมื่อความบาปจะถูกทำลายไปในที่สุด
ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตือนพวกเราทุกคนว่าให้ระวังอย่าไปรับใช้ซาตาน {SC 21.4}
เราจะไม่ใส่ใจต่อพระเมตตาคุณของพระเจ้าหรือ พระองค์จะต้องทำอะไรมากกว่านี้อีกหรือ
ให้เรานำตัวของเราเข้าไปอยู่ในความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์ผู้ทรงรักเราด้วยความรักอันประเสริฐ
ให้เราฉวยโอกาสด้วยวิถีทางที่ได้จัดเตรียมไว้ให้แก่เรา เพื่อเราจะถูกเปลี่ยนแปลงจนเป็นเหมือนพระองค์และได้ฟื้นฟูสัมพันธภาพใหม่กับเหล่าทูตสวรรค์ผู้รับใช้
จนได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและมีส่วนร่วมกับพระบิดาและพระบุตร {SC 22.1}
เคล็ดลับที่ 3
การกลับใจ
มนุษย์จะทำตัวให้เป็นคนเที่ยงธรรมจำเพาะพระเจ้าได้อย่างไร คนบาปจะทำตัวให้เป็นคนชอบธรรมได้อย่างไร
โดยทางพระคริสต์เท่านั้นที่เราจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระเจ้าและร่วมในความบริสุทธิ์ของพระองค์ได้ แต่เราจะเข้ามาหาพระคริสต์ได้อย่างไร มีคนมากมายได้ถามคำถามเดียวกันกับฝูงชนที่สำนึกในบาปถามกันในวันเพ็นเทคศเตว่า “เราจะทำอย่างไรดี” ประโยคแรกที่เปโตรตอบคือ “จงกลับใจใหม่” (กิจการของอัครทูต 2:37, 38) หลังจากนั้นไม่นาน ท่านได้พูดอีกว่า “จงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย” (กิจการของอัครทูต 3:19) {SC 23.1}
การกลับใจจะต้องมีการเสียใจในความบาปที่ได้ทำลงไปและหันหลังให้กับบาปนั้น
เราจะไม่ละทิ้งความบาปนอกเสียจากว่าเราจะมองเห็นความชั่วร้ายของมัน
ชีวิตของเราจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงจนกว่าเราจะหันหลังให้กับความบาปด้วยความเต็มใจ {SC 23.2}
มีคนมากมายที่ไม่เข้าใจธาตุแท้ของการกลับใจ
คนมากมายเสียใจกับความบาปที่ได้ทำลงไปและยังแสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงภายนอกเพราะกลัวว่าความผิดของเขาจะนำความทุกข์ยากมายังตัวเขาเอง แต่นี่ไม่ใช้การกลับใจที่พระคัมภีร์ได้สอนไว้
พวกเขาโศกเศร้าให้กับความทุกข์ยากแทนที่จะโศกเศร้าให้กับการบาป เอซาวตกลงสู่ความโศกเศร้าทุกข์ใจเช่นนี้เมื่อเขารู้สึกตัวว่าได้สูญเสียสิทธิบุตรหัวปีไปตลอดกาล บาลาอัมตกใจกลัวเมื่อเห็นทูตสวรรค์ยืนถือดาบขวางอยู่กลางทาง เขายอมรับผิดเพราะกลัวตาย แต่ไม่ได้กลับใจจากความบาปอย่างจริงใจ เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงความตั้งใจและไม่ได้รังเกียจความชั่วของเขา เมื่อยูดาส
อิสคาริโอทได้ทรยศพระอาจารย์ของเขาแล้วเขาได้ร้องอุทานขึ้นมาว่า “ข้าพเจ้าทำบาปที่ได้อายัดคนบริสุทธิ์มาให้ถึงความตาย” (มัทธิว 27:4)
{SC 23.3}
คำสารภาพเช่นนี้ถูกบีบคั้นออกมาจากจิตใจที่รู้สึกผิด โดยกลัวว่าจะถูกกำหนดโทษและกลัวการพิพากษาที่เขาจะต้องเผชิญ
ตัวเขาเต็มล้นไปด้วยความหวาดผวาต่อผลที่เขาจะได้รับ แต่ภายในจิตวิญญาณของเขา
เขาไม่ได้เสียใจอย่างลึกซึ้งและไม่มีความปวดร้าวอยู่ภายในใจของเขา
เขาได้ทรยศพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงปราศจากความผิดและปฏิเสธองค์ผู้บริสุทธิ์ของชนชาติอิสราเอล เมื่อฟาโรห์ต้องตกลงสู่ความทุกข์ในการพิพากษาของพระเจ้า
เขายอมรับบาปของเขาเพียงเพื่อให้หลุดพ้นจากการต้องรับโทษเพิ่มเติม
แต่เขาหวนกลับเยาะเย้ยพระเจ้าแห่งสวรรค์อีกในทันทีที่ภัยพิบัติสงบลง คนเหล่านี้โศกเศร้ากับผลของความบาป แต่ไม่ได้เสียใจให้กับบาปที่ได้ทำไป {SC 24.1}
แต่เมื่อหัวใจยอมอยู่ภายใต้อิทธิพลพระวิญญาณของพระเจ้า ความสำนึกของเขาก็จะตื่นขึ้น
และคนบาปก็จะเข้าใจสิ่งที่ล้ำลึกและศักดิ์สิทธิ์บางประการที่มีอยู่ในพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า
ซึ่งเป็นพื้นฐานการปกครองของทั้งในสวรรค์และในโลก “แสงสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงนั้นได้แม้ขณะนั้นกำลังเข้ามาในโลก”
ได้ส่องเข้าไปในห้องชั้นในของวิญญาณและทำให้มองเห็นสิ่งของที่ซ่อนอยู่ในความมืด
(ยอห์น 1:9)
ความรู้สึกสำนึกจะเกิดขึ้นภายในความนึกคิดและในจิตใจ
คนบาปจะรู้สึกถึงความชอบธรรมของพระเยโฮวาห์และรู้สึกกลัวที่จะต้องไปปรากฏอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงตรวจสอบจิตใจพร้อมกับสภาพที่ผิดและไม่สะอาดตาของเขา เขามองเห็นความรักของพระเจ้า ความบริสุทธิ์ที่งดงามยิ่ง ความบริสุทธิ์ที่น่าชื่นชม
เขาหวังที่จะได้รับการชำระและนำกลับคืนไปสู่การสื่อสัมพันธ์กับสวรรค์ {SC 24.2}
คำอธิษฐานของดาวิดหลังจากที่ท่านล้มลงในความบาปเป็นแบบอย่างที่แสดงให้เห็นถึงสภาพของความเสียใจต่อความบาปอย่างแท้จริง การกลับใจของท่านนั้นจริงใจและลึกซึ้ง
คำอธิษฐานของท่านไม่ได้เกิดจากความพยายามที่จะลดโทษความผิดของท่านลงไป หรือต้องการหลีกเลี่ยงการพิพากษาที่ท่านจะต้องเผชิญ
ดาวิดมองเห็นถึงความเลวร้ายของการล่วงละเมิดของตนเอง ท่านมองเห็นความสกปรกในจิตวิญญาณของท่าน ท่านรังเกียจบาปของท่าน ท่านอธิษฐานไม่ใช่เพียงเพื่อขอการอภัยเท่านั้น แต่ได้ทูลขอจิตใจที่บริสุทธิ์ด้วย ท่านปรารถนาที่จะได้รับความบริสุทธิ์ที่ก่อให้เกิดความสุข
เพื่อจะได้กลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและเข้าสัมพันธ์กับพระเจ้า คำพูดที่ออกมาจากจิตวิญญาณของท่านมีอยู่ว่า
“บุคคลผู้ซึ่งได้รับอภัยการละเมิดแล้วก็เป็นสุข
คือผู้ทรงกลบเกลื่อนบาปให้นั้น
บุคคลซึ่งพระเจ้ามิได้ทรงถือโทษก็เป็นสุข
คือผู้ที่ไม่มีการหลอกลวงในใจของเขา”
(สดุดี 32:1, 2)
“ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงแสดงพระกรุณาต่อข้าพระองค์
ตามความรักมั่นคงของพระองค์
ขอทรงลบการทรยศของข้าพระองค์ออกไป
ตามแต่พระกรุณาอันอุดมของพระองค์.....
เพราะข้าพระองค์ทราบถึงการละเมิดของข้าพระองค์แล้ว
และบาปของข้าพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพระองค์เสมอ.....
ขอทรงชำระข้าพระองค์ด้วยต้นหุสบ ข้าพระองค์จึงจะสะอาด
ขอทรงล้างข้าพระองค์ และข้าพระองค์จะขาวกว่าหิมะ.....
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์
และฟื้นน้ำใจที่หนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์
ขออย่าทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ไปเสียจากเบื้องพระพักตร์พระองค์
และขออย่าทรงนำวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ไปจากข้าพระองค์
ขอทรงคืนความชื่นบานในความรอดแก่ข้าพระองค์
และชูข้าพระองค์ไว้ด้วยเต็มพระทัย.....
ข้าแต่พระเจ้า คือพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์
ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากกรรมชั่วเพราะทำโลหิตเขาตก
และลิ้นของข้าพระองค์จะร้องเพลงเรื่อง การช่วยกู้ของพระองค์”
(สดุดี 51:1-14) {SC 24.3}
การกลับใจเช่นนี้อยู่ไกลเกินกว่าอำนาจของเราเองที่จะกระทำให้สำเร็จได้ การกลับใจเช่นนี้จะได้มาโดยทางพระคริสต์เท่านั้น พระองค์เสด็จขึ้นไปยังที่สูงแล้วและทรงประทานของขวัญให้แก่บรรดามนุษย์ {SC 25.1}
มีคนมากมายเข้าใจเรื่องนี้ผิดไปและจึงไม่ได้รับการทรงช่วยที่พระคริสต์ ทรงปรารถนาจะประทานให้แก่พวกเขา
พวกเขาคิดว่าจะเข้ามาหาพระคริสต์ไม่ได้นอกเสียจากได้กลับใจแล้วและการกลับใจนี้จะเตรียมเขาให้พร้อมเพื่อรับการอภัยจากบาป
จริงอยู่การกลับใจจะต้องเกิดขึ้นก่อนการอภัยบาป
มีเพียงจิตใจที่สำนึกผิดและชอกช้ำที่จะรู้สึกว่าเขาต้องการพระผู้ช่วยให้รอด
แต่คนบาปจะต้องรอจนกว่าเขากลับใจเรียบร้อยแล้วจึงเข้ามาหาพระเยซูหรือ จะต้องปล่อยให้การกลับใจเป็นอุปสรรค์ระหว่างคนบาปและพระผู้ช่วยให้รอดหรือ
{SC 26.1}
พระคัมภีร์ไม่ได้สอนว่าคนบาปจะต้องกลับใจก่อนแล้วจึงตอบสนองคำเชิญของพระคริสต์ได้ “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” (มันธิว 11:28) เป็นเพราะพระคุณความดีที่ออกมาจากพระคริสต์ต่างหากที่นำให้เกิดการกลับใจที่แท้จริง
เมื่อเปโตพูดกับชนชาติอิสราเอลถึงเรื่องนี้ ท่านได้อธิบายอย่างแจ่มแจ้งว่า “พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์
ให้เป็นองค์พระผู้นำและองค์พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่แล้วจะทรงโปรดยกความบาปผิดของเขา” (กิจการของอัครทูต 5:31)
เรากลับใจไม่ได้เมื่อปราศจากพระวิญญาณของพระคริสต์ที่จะปลุกจิตสำนึกของเราให้ตื่นขึ้นฉันใด
เราก็จะรับการอภัยบาปไม่ได้เมื่อปราศจากพระคริสต์ฉันนั้น {SC 26.2}
พระคริสต์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของแรงบันดาลใจที่ดีทั้งปวง
พระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะทรงปลูกฝังความเป็นคู่อริต่อความบาปเข้าไปในจิตใจได้
ในทุกความปรารถนาที่อยากได้ความจริงและความบริสุทธิ์ ในทุกความสำนึกที่มีต่อบาปหนาของเรา
ล้วนเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณของพระองค์กำลังขับเคลื่อนอยู่ในหัวใจของเรา {SC 26.3}
พระเยซูตรัสไว้ว่า “เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราก็จะชักนำคนเป็นอันมากให้มาหาเรา” (ยอห์น 12:32)
เราจะต้องเปิดเผยให้คนบาปมองเห็นว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อความบาปของโลก และเมื่อเรามองดูพระเมษโปดกของพระเจ้าบนกางเขนแห่งคาล์วารี
ความลึกลับของการไถ่บาปจะเริ่มปรากฏขึ้นในสมองของเราและพระคุณความดีของพระเจ้าจะทรงนำเราให้กลับใจ
ในการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์เพื่อคนบาปนั้น
พระองค์ทรงสำแดงให้เห็นความรักที่เราไม่อาจจะเข้าใจได้ และเมื่อคนบาปมองดูความรักนี้
ความรักนี้จะทำให้จิตใจอ่อนลง
ประทับลงในความคิดและดลบันดาลให้จิตวิญญาณเกิดการสำนึกผิด {SC 26.4}
จริงอยู่
ในบางครั้งมนุษย์อาจจะรู้สึกอับอายต่อชีวิตบาปของเขาและละทิ้งนิสัยชั่วบางประการของเขาไป ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวว่าเขากำลังถูกชักนำเข้าไปหาพระคริสต์
แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาพยายามปฏิรูปด้วยความตั้งใจจริงที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
นั่นก็เป็นเพราะอำนาจของพระคริสต์กำลังชักนำเขาอยู่เป็นอิทธิพลที่ทำงานในจิตวิญญาณของเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว และปลุกจิตใต้สำนึกของเขาให้ตื่นขึ้น และชีวิตภายนอกของเขาก็ได้รับการเปลี่ยนแปลง
และในขณะที่พระคริสต์ทรงชักนำให้เขาหันกลับไปมองกางเขนของพระองค์ มองดูความบาปของเขาที่ได้แทงพระองค์ พระบัญญัติของพระเจ้าจะกลับเข้ามายังสามัญสำนึกของเขา
ความบาปชั่วในชีวิตของเขาและที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณก็จะถูกเปิดเผยให้เขามองเห็น
พวกเขาจะเริ่มเข้าใจเรื่องความชอบธรรมของพระคริสต์ได้บางส่วนและร้องออกมาว่า “ความบาปคืออะไรหนอที่ทำให้ต้องมีการเสียสละมากมายเช่นนี้เพื่อไถ่บาปของเหยื่อเหล่านั้น จะต้องใช้ความรักทั้งหมดนี้ การทรมานทั้งหมดนี้ การขายหน้าทั้งหมดนี้เพื่อให้เราไม่ต้องพินาศและมีชีวิตนิรันดร์หรือ” {SC 27.1}
คนบาปอาจต่อต้านความรักนี้ เขาอาจปฏิเสธไม่ยอมเข้ามาหาพระคริสต์ แต่หากเขาไม่ดื้อดึง เขาก็จะถูกชักนำให้เข้ามายังพระเยซู ความรู้เรื่องแผนการ
แห่งการไถ่ให้รอดจะนำเขาเข้าไปยังกางเขนด้วยการกลับใจจากบาปของเขา ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้พระบุตรของพระเจ้าต้องได้รับความทุกข์ทรมาน {SC 27.2}
พระปัญญาเดียวกันกับที่กระทำการในธรรมชาติกำลังตรัสกับจิตใจของมนุษย์และก่อให้เกิดความกระหายในสิ่งที่เขาไม่มี
สิ่งของในโลกสร้างความพึงพอใจให้แก่เขาไม่ได้ พระวิญญาณของพระเจ้ากำลังอ้อนวอนเขาให้ค้นหาสิ่งเดียวที่จะให้สันติสุขและการพักผ่อนได้
สิ่งนั้นคือพระคุณของพระคริสต์ซึ่งเป็นความสุขที่บริสุทธิ์
พระผู้ช่วยให้รอดทรงกระทำการอยู่อย่างต่อเนื่องโดยผ่านทางอิทธิพลที่ตามองเห็นและมองไม่เห็น
เพื่อดึงดูดความคิดของมนุษย์ให้ออกจากความสุขสำราญของความบาปที่ไม่รู้จักอิ่มไปยังพระพรของพระเจ้าที่จะตกเป็นของเขาเมื่อเขาอยู่ในพระองค์
สำหรับจิตวิญญาณเหล่านี้ที่ยังค้นหาเพื่อที่จะดื่มน้ำจากถึงน้ำแตกของโลกแต่ต้องพบกับความผิดหวังนั้น ข่าวของพระเจ้าที่มายังเขาคือ “ให้ผู้ที่กระหายเข้ามา ผู้ใดมีใจปรารถนาก็ให้ผู้นั้นมารับน้ำแห่งชีวิต โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย” (วิวรณ์
22:17) {SC 28.1}
สำหรับท่านที่มีจิตใจปรารถนาที่จะได้บางสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่โลกนี้จะมอบให้ได้นั้น
จะมองเห็นว่าความปรารถนานี้เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับวิญญาณจิต จงทูลขอให้พระองค์ทรงประทานการกลับใจให้แก่ท่าน
ขอพระองค์ทรงเปิดเผยพระคริสต์ให้แก่ท่านด้วยความรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัด
ให้ท่านมีความบริสุทธิ์อันไพบูลย์ของพระองค์ ชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอดเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของหลักการแห่งพระบัญญัติของพระเจ้า หลักการนั้นคือรักพระเจ้าและรักมนุษย์ ความเมตตากรุณาและความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวเป็นชีวิตของวิญญาณของพระองค์
ในขณะที่เราเฝ้ามองพระองค์เมื่อแสงสว่างจากพระผู้ช่วยให้รอดส่องลงมายังเรา
เราก็จะมองเห็นจิตใจของเราเองที่เต็มไปด้วยความบาป {SC 28.2}
เราอาจมีลักษณะเหมือนนิโคเดมัสที่ยกยอตัวเราเองว่าชีวิตของเรานั้นซื่อตรง
อุปนิสัยทางฝ่ายศีลธรรมของเราถูกต้องและคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องถ่อมใจลงต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเหมือนเช่นคนบาปทั่วไป
แต่เมื่อแสงสว่างจากพระคริสต์ส่องลงมายังจิตวิญญาณของเราแล้ว
เราก็จะมองเห็นว่าเราเองนั้นเปรอะเปื้อนเพียงไร เราจะมองเห็นความตั้งใจที่เห็นแก่ตัว
ความเป็นคู่อริกับพระเจ้าทำให้ทุกสิ่งที่เราทำลงไปนั้นเป็นมลทิน
แล้วเราจะได้รู้ว่าความชอบธรรมของเรานั้นแท้จริงแล้วเป็นแต่เพียงผ้าขี้ริ้ว
และมีเพียงพระโลหิตของพระคริสต์เท่านั้นที่จะชำระเราจากความสกปรกของบาปและเปลี่ยนจิตใจของเราใหม่ให้เหมือนของพระองค์ได้ {SC 28.3}
แสงแห่งพระสิริของพระเจ้าเพียงลำแสงเดียว ความบริสุทธิ์ของพระคริสต์เพียงแวบเดียวที่ส่องทะลุผ่านจิตวิญญาณจะทำให้มองเห็นรอยเปื้อนของมลทินได้
มองเห็นทุกรอยได้อย่างเด่นชัดจนน่าเจ็บปวดและจะเปิดเผยความผิดปกติและจุดบกพร่องในอุปนิสัยของมนุษย์
ทำให้เขามองเห็นความปรารถนาที่ไม่ได้ผ่านการชำระ หัวใจที่ไม่สัตย์ซื่อ ริมฝีปากที่ไม่บริสุทธิ์ การกระทำที่ไม่จงรักภักดีของคนบาปในการลบล้างธรรมบัญญัติจะถูกเปิดออกให้เขามองเห็น
และภายใต้อิทธิพลการตรวจสอบของพระวิญญาณของพระเจ้า วิญญาณจิตของเขาจะได้รับผลกระทบและเกิดความปวดร้าว
เมื่อเขามองเห็นพระลักษณะที่บริสุทธิ์และไร้ตำหนิของพระเจ้าเขาจะรังเกียจตนเอง {SC 29.1}
เมื่อผู้เผยพระวจนะดาเนียลได้มองเห็นพระสิริที่ล้อมรอบผู้สื่อข่าวชาวสวรรค์ที่ได้รับบัญชาให้มาหาท่านนั้นท่านรู้สึกว่าความอ่อนแอและความไม่บริบูรณ์ในตัวได้ครอบงำตัวท่านเองไว้
ท่านได้บรรยายถึงผลลัพธ์จากเหตุการณ์อันอัศจรรย์ใจนี้ไว้ว่า “ข้าพเจ้าก็สิ้นเรี่ยวสิ้นแรง
หน้าตาสุกใสของข้าพเจ้าก็เปลี่ยนเป็นหน้าซีด ข้าพเจ้าหมดแรง” (ดาเนียล 10:8)
จิตวิญญาณที่ได้รับการสัมผัสเช่นนี้จะเกลียดชังความเห็นแก่ตัวในตัวของเขาเอง รังเกียจการรักตนเอง
และเขาจะแสวงหาความบริสุทธิ์ของจิตใจผ่านความชอบธรรมของพระคริสต์ เพื่อจะผสานเป็นหนึ่งกับพระบัญญัติของพระเจ้าและพระลักษณะของพระคริสต์
{SC 29.2}
เปาโลพูดถึงตัวเองโดยใช้ “ความชอบธรรมซึ่งมีอยู่โดยธรรมบัญญัติ” มาตัดสินภาพลักษณ์ภายนอก ซึ่ง “ไม่มีที่ติได้”
(ฟีลิปปี 3:6)
แต่เมื่อท่านนำสภาพฝ่ายวิญญาณของธรรมบัญญัติมาพิจารณาแล้ว ท่านมองเห็นว่าตัวเองเป็นคนบาป
เมื่อตัดสินตามตัวอักษรของธรรมบัญญัติดังที่มนุษย์นำมาใช้กับชีวิตภายนอกแล้ว ท่านได้ละเว้นจากบาป แต่เมื่อท่านมองเข้าไปถึงส่วนลึกของพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์และได้มองเห็นตนเองดังที่พระเจ้าทรงมองเห็นแล้ว ท่านจึงได้กราบลงด้วยความถ่อมใจและสารภาพความผิด ท่านกล่าวว่า
“เมื่อก่อนข้าพเจ้าดำรงชีวิตอยู่นอกเหนือธรรมบัญญัติ แต่เมื่อมีธรรมบัญญัติขึ้น บาปก็เกิดขึ้นและข้าเจ้าก็ตาย” (โรม 7:9)
เมื่อท่านมองเห็นสภาพฝ่ายวิญญาณของธรรมบัญญัติ
ความบาปพร้อมกับความน่าเกลียดที่แท้จริงก็ปรากฏขึ้น และความหยิ่งผยองของท่านก็หายไป {SC 29.3}
พระเจ้าไม่ได้ทรงถือว่าความบาปทั้งหมดมีความรุนแรงเท่ากัน พระองค์ทรงประเมินความผิดไว้หลายระดับ เช่นเดียวกับการประเมินของมนุษย์
แต่ไม่ว่าสายตาของมนุษย์จะเห็นว่าการกระทำผิดนี้หรือการกระทำผิดโน้นจะเล็กน้อยเพียงไรก็ตาม ไม่มีบาปใดจะเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระเจ้า การตัดสินของมนุษย์นั้นลำเอียง ไม่สมบูรณ์
แต่พระเจ้าประเมินทุกสิ่งตามความเป็นจริง
คนขี้เมาจะถูกดูหมิ่นและถูกตราว่าความบาปของเขาจะทำให้เขาไม่มีส่วนในแผ่นดินสวรรค์ ในขณะที่ความหยิ่งยโส ความเห็นแก่ตัวและความโลภมักจะไม่ถูกตำหนิ แต่พระเจ้าทรงรังเกียจความบาปเหล่านี้มาก
เพราะความบาปเหล่านี้มีลักษณะตรงข้ามกับพระลักษณะนิสัยของพระองค์ ที่มีแต่ความกรุณา เป็นความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว
ซึ่งบรรยากาศที่แท้จริงของจักรวาลที่ไม่ล้มลงในความบาปจะเป็นเช่นนี้
ผู้ที่ได้ทำบาปที่ยิ่งใหญ่กว่าอาจจะรู้สึกอับอายและขัดสน และเขาต้องการพระคุณของพระคริสต์
แต่ความทะนงทำให้เขาไม่รู้สึกถึงความต้องการของตนเอง เขาจึงปิดประตูหัวใจให้กับพระคริสต์และปฏิเสธพระพรมากมายที่พระองค์เสด็จมาเพื่อประทานให้แก่เขา {SC 30.1}
คนเก็บภาษีผู้น่าสงสารได้อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด” (ลูกา 18:13) เขาคิดว่าตนเองเป็นคนชั่วมากและคนอื่นๆ
ก็มองดูเขาด้วยแนวคิดเดียวกัน แต่เขารู้สึกถึงความต้องการของเขาและเขาได้เข้ามาเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าพร้อมกับภาระความผิดและความอับอาย เขาได้ทูลขอพระเมตตาของพระองค์ จิตใจของเขาเปิดออกให้กับพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อให้พระองค์ได้กระทำการแห่งความเมตตาและปลดปล่อยเขาให้หลุดพ้นจากอำนาจของความบาป
ส่วนคำอธิษฐานของพวกฟาริสีที่โอ้อวดและคิดว่าตนเองชอบธรรม
เมื่อเทียบกับความสมบูรณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า เขารู้สึกว่าเขาไม่ขาดสิ่งใดและเขาจึงไม่ได้รับอะไรเลย {SC 30.2}
หากท่านมองเห็นความบาปในตัวท่าน อย่ารีรอที่จะทำตัวเองให้ดีก่อน มีสักกี่คนที่คิดว่าตนเองยังดีไม่พอที่จะมาหาพระคริสต์
ท่านหวังที่จะเป็นคนดีขึ้นด้วยความพยายามของตัวท่านเองหรือ “คนเอธิโอเปียเปลี่ยนวรรณของตนเองได้หรือ หรือเสือดาวเปลี่ยนลายของมัน
ถ้าได้แล้วเจ้าทั้งหลายผู้ที่เคยต่อการกระทำความชั่วจะมากระทำความดีก็ได้” (เยเรมีย์ 13:23) การช่วยเหลือมีไว้ให้แก่เรา
เป็นการช่วยเหลือซึ่งจะพบได้ในพระเจ้าเท่านั้น
เราจะต้องไม่คอยให้มีการเรียกร้องมากกว่านี้ คอยโอกาสที่ดีกว่านี้ หรือคอยให้มีอารมณ์ที่บริสุทธิ์กว่านี้ โดยลำพังตัวเราเองแล้ว เราจะทำอะไรไม่ได้เลย เราจะต้องเข้ามาหาพระคริสต์ในสภาพที่เป็นอยู่ {SC 31.1}
แต่อย่าให้ผู้ใดหลอกลวงตนเองด้วยความคิดว่า
พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักและพระเมตตาคุณอันยิ่งใหญ่
พระองค์จะประทานความรอดให้แม้กับคนที่ปฏิเสธพระคุณของพระองค์ด้วย
มีเพียงแสงสว่างจากกางเขนเท่านั้นที่จะประเมินความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่ของความบาปได้
เมื่อมนุษย์เร้าให้เชื่อว่าพระเมตตาคุณของพระเจ้าประเสริฐเกินที่จะทำลายคนบาป ก็ขอให้มองไปยังกางเขนคาล์วารี เป็นเพราะไม่มีหนทางอื่นแล้วที่มนุษย์จะรอดได้ เป็นเพราะว่าถ้าปราศจากการเสียสละเช่นนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่มีทางหนีให้พ้นจากอำนาจชั่วร้ายของบาปและกลับไปสื่อสัมพันธ์กับบรรดาชาวสวรรค์ที่บริสุทธิ์ได้ ไม่มีทางใดที่มนุษย์จะมีส่วนในชีวิตฝ่ายวิญญาณได้
ด้วยเหตุฉะนี้พระคริสต์จึงทรงต้องรับความผิดของการไม่เชื่อฟังและรับความทุกข์ของคนบาปมาไว้กับพระองค์เอง ความรักและการทนทุกข์ทรมานและความมรณาของพระบุตรของพระเจ้าจึงเป็นพยานถึงความน่ากลัวอย่างมหันต์ของบาปและประกาศว่าไม่มีทางที่จะหนีให้พ้นจากอำนาจของมันไม่มีความหวังที่จะได้ชีวิตที่สูงส่งกว่า
นอกจากด้วยการมอบถวายจิตวิญญาณแด่พระคริสต์ {SC 31.2}
บางครั้ง คนที่ไม่สำนึกผิดจะแก้ตัวด้วยการเปรียบเทียบกับคนที่อ้างตัวเป็นคริสเตียนว่า “ฉันก็เป็นคนดีพอๆกับพวกเขา ฉันไม่เห็นว่าความประพฤติของพวกเขาในเรื่องการตามใจตนเอง ความสุขุมหรือรอบคอบดีกว่าฉัน
พวกเขาชอบความสนุกสนานและปล่อยตัวตามใจตนเองพอๆกับฉัน” ด้วยการทำเช่นนี้ เขาเอาความผิดของผู้อื่นมาใช้แก้ตัวกับการละเลยหน้าที่ของเขาเอง
แต่ความบาปและความบกพร่องของผู้อื่นไม่อาจแก้ต่างให้กับผู้ใดได้
เพราะพระเจ้าไม่ได้ประทานมนุษย์ที่ทำผิดมาเป็นแบบอย่างของเรา
พระองค์ทรงประทานพระบุตรของพระองค์ผู้ทรงปราศจากด่างพร้อยเป็นแบบอย่างแก่เรา และคนที่ตำหนิผู้ที่อ้างตนเป็นคริสเตียนว่าประพฤติผิด
เขาเองควรจะต้องแสดงให้เห็นชีวิตและแบบอย่างที่ประเสริฐกว่านี้
หากเขามีแนวคิดที่สูงส่งว่าคริสเตียนควรจะเป็นเช่นไรแล้ว ความบาปของเขาเองจะไม่ยิ่งใหญ่กว่านี้หรือ
เพราะเขารู้ว่าอะไรถูกและยังปฏิเสธที่จะทำตาม {SC 32.1}
ขอให้ท่านระวังเรื่องของความผัดวันประกันพรุ่ง
อย่ารอช้าที่จะละทิ้งความบาปของท่านและแสวงหาความบริสุทธิ์ในจิตใจโดยผ่านทางพระเยซู
จุดนี้เองที่ทำให้คนนับพันต้องหลงหายไปชั่วนิรันดร์
ข้าพเจ้าจะไม่ขอกล่าวถึงเรื่องของชีวิตที่แสนสั้นและไม่แน่นอน แต่จะกล่าวถึงเรื่องน่ากลัวที่เป็นภัยอันตราย เป็นเรื่องที่เข้าใจกันยังไม่ดีพอ
นั่นคือการรีรอไม่ยอมฟังพระสุรเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่เชิญชวนอยู่ แต่เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในความบาป เพราะการรีรอเช่นนี้คือบาป การปล่อยตัวให้แก่บาป ไม่ว่าความบาปนั้นจะดูเล็กน้อยเพียงไร จะนำมาซึ่งความพินาศที่จะหลงหายไปตลอดกาล สิ่งที่เราเอาชนะไม่ได้ สิ่งนั้นจะชนะเราและจะนำเราไปสู่ความพินาศ {SC 32.2}
อาดัมและเอวาปลอบใจตัวเองให้เชื่อว่าเรื่องเล็กน้อยเช่นการรับประทานผลไม้ต้องห้ามไม่น่าส่งผลลัพธ์น่ากลัวตามที่พระเจ้าทรงประกาศไว้ แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เป็นการล่วงละเมิดพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าที่แปรเปลี่ยนไม่ได้
และแยกมนุษย์ออกไปจากพระเจ้าและเปิดประตูให้แก่ความตายและความหายนะเหลือคณานับให้ไหลบ่าเข้ามาในโลกของเรา
ยุคแล้วยุคเล่าเสียงร้องโศกเศร้าดังมาจากโลกของเราอย่างต่อเนื่อง และสภาพทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสร้างต่างร้องคร่ำครวญและผจญความทุกข์ยากด้วยกันอย่างเจ็บปวดจากผลของการไม่เชื่อฟังของมนุษย์
แม้สวรรค์เองก็ยังสัมผัสได้กับผลการกบฏของมนุษย์ที่มีต่อพระเจ้า กางเขนคาล์วารีตั้งเด่นเป็นอนุสรณ์ของการเสียสละอันอัศจรรย์ที่กำหนดไว้เพื่อไถ่บาปที่ได้ล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า ให้เราอย่าถือว่าบาปเป็นเรื่องเล็ก {SC 33.1}
การล่วงละเมิดของแต่ละครั้ง
การละเลยหรือปฏิเสธพระคุณของพระคริสต์ในแต่ละคราวจะมีผลกระทบต่อตัวของท่านเอง ทำให้จิตใจแข็งกระด้างไป การตัดสินใจถูกลิดรอน ความเข้าใจเฉื่อยชาลง
และไม่เพียงแต่ทำให้การยอมมอบถวายของท่านลดลงเท่านั้น
แต่จะทำให้ความสามารถในการยอมจำนนต่อการทรงเรียกด้วยความอ่อนโยนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าลดลงไปด้วย {SC 33.2}
มีคนจำนวนมากทำให้ความว้าวุ่นของสามัญสำนึกสงบลงด้วยความคิดที่ว่าเขาเปลี่ยนวิถีทางแห่งความชั่วตามที่เขาต้องการได้ ฉะนั้น
เขาจึงล้อเล่นกับคำเชิญชวนแห่งพระเมตตาและคาดว่าจะยังคงได้รับคำเชื้อเชิญนี้ต่อไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาคิดว่าหลังจากที่เขาได้ทำสิ่งที่ดูแคลนพระวิญญาณแห่งพระคุณ
หลังจากที่เขาได้รับอิทธิพลอยู่ในฝ่ายของซาตาน เขาจะยังคงสามารถเปลี่ยนวิถีทางของตนเองได้ภายในเสี้ยวเวลาอันสั้นเมื่อวิกฤติร้ายแรงมาถึง
แต่การกระทำเช่นนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ
ประสบการณ์และการศึกษาที่มีมาตลอดทั้งชีวิตได้หล่อหลอมอุปนิสัยของพวกเขาอย่างเต็มที่
จนมีคนจำนวนน้อยที่จะอยากรับพระฉายาของพระเยซู {SC 33.3}
หากเราจะทะนุถนอมลักษณะอุปนิสัยที่ผิดไว้แม้เพียงประการเดียว ความปรารถนาชั่วเพียงอันเดียว
ในที่สุดสิ่งเหล่านี้จะลบล้างอำนาจของพระกิตติคุณไป
การปล่อยตัวให้กับความบาปทุกครั้งจะทำให้จิตวิญญาณเกลียดชังพระเจ้าเพิ่มมากขึ้น ผู้ทนต่อการนอกรีดหรือดื้อดึงไม่ใส่ใจต่อความจริงของพระเจ้ากำลังเก็บเกี่ยวสิ่งที่เขาเองเป็นผู้หว่าน
ไม่มีคำเตือนใดในพระคัมภีร์ทั้งเล่มที่น่ากลัวไปกว่าคำเตือนของนักปราชญ์ต่อการเล่นกับความชั่วซึ่งกล่าวไว้ว่าคนบาปจะ “ติดอยู่กับตาข่ายบาปของเขา” (สุภาษิต 5:22) {SC 34.1}
พระคริสต์ทรงพร้อมที่จะปลดปล่อยเราให้หลุดพ้นจากความบาป
แต่พระองค์ไม่ทรงบังคับความตั้งใจของเราและถ้าหากเรายังยืนกรานที่จะล่วงละเมิด
ความตั้งใจของเราจะโอนเอียงให้กับความชั่วต่อไปและเราก็ไม่ต้องการรับการปลดปล่อย หากเราไม่ยอมรับพระคุณของพระองค์ พระองค์จะทรงทำอะไรให้เราได้อีก
เราทำลายตัวเราเองด้วยการมุ่งมั่นปฏิเสธความรักของพระองค์ “นี่แน่ะ บัดนี้เป็นเวลาอันชอบ
นี่แน่ะ บัดนี้เป็นวันแห่งความรอด” “วันนี้ถ้าท่านทั้งหลายฟังพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าให้จิตใจของท่านดื้อรั้น” (2 โครินธ์
6:2; ฮีบรู 3:7, 8)
{SC 34.2}
“มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ”
จิตใจมนุษย์ที่มีอารมณ์ความสุขและความเศร้าใจขัดแย้งกันอยู่ จิตใจที่คอยตีตัวออกห่าง เต็มไปด้วยความไม่สะอาดและความหลอกลวง (1 ซามูเอล 16:7)
พระองค์ทรงทราบเจตนา
ความตั้งใจและเป้าหมายของเขา
จงไปหาพระองค์ด้วยสภาพวิญญาณจิตที่เปรอะเปื้อนอยู่
จงทำอย่างผู้พระพันธ์สดุดีที่ได้เปิดจิตใจทุกห้องออกให้ตรวจสอบและร้องทูลขอว่า “ข้าแต่พระเจ้า
ขอทรงค้นดูข้าพระองค์และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์
ขอทรงลองข้าพระองค์และทรงทราบความคิดของข้าพระองค์ และทอดพระเนตรว่ามีทางชั่วใดๆ ในข้าพระองค์หรือไม่ และขอทรงนำข้าพระองค์ไปในมรรคานิรันดร์” (สดุดี 139:23, 24) {SC 34.3}
คนมากมายยอมรับศาสนาที่ใช้ปัญญา
นี่เป็นการถือศาสนาแต่เปลือกนอกแบบหนึ่งเมื่อจิตใจไม่ได้ผ่านการชำระ ขอให้คำอธิษฐานนี้เป็นของท่าน “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์และฟื้นน้ำใจที่หนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์” (สดุดี 51:10)
ขอให้ท่านจัดการกับจิตวิญญาณของท่านอย่างจริงจัง ให้ทำกันอย่างจริงใจ แน่วแน่
เสมือนหนึ่งว่าชีวิตของท่านตกอยู่อันตราย
นี่เป็นเรื่องที่ท่านต้องจัดการระหว่างพระเจ้ากับจิตวิญญาณของท่านเอง เป็นการจัดการเพื่อชีวิตนิรันดร์
ซึ่งเป็นความหวังและไม่มีสิ่งอื่นใดจะนำความหายนะมาให้แก่ท่านได้ {SC 35.1}
จงศึกษาพระคำของพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน พระคำซึ่งอยู่เบื้องหน้าท่าน
ทั้งในพระบัญญัติของพระเจ้าและในชีวิตของพระคริสต์ ซึ่งเป็นหลักการยิ่งใหญ่ของความบริสุทธิ์ หากปราศจากหลักการนี้แล้ว “จะไม่มีผู้ใดเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย” (ฮีบรู 12:14)
หลักการนี้ทำให้รู้สึกสำนึกในการบาป
และเปิดเผยให้เห็นถึงทางที่จะนำไปสู่ความรอดได้อย่างชัดเจนในขณะที่พระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสกับจิตวิญญาณของท่านอยู่นั้น ขอให้ท่านใส่ใจในเรื่องนี้ {SC 35.2}
ขณะที่ท่านมองเห็นความร้ายกาจของความบาป
ขณะที่ท่านมองเห็นสภาพที่แท้จริงของตัวท่านเองว่าเป็นเช่นไร จงอย่าปล่อยตัวไปกับความสิ้นหวัง พระคริสต์เสด็จลงมาช่วยคนบาป เราไม่จำเป็นต้องหาทางคืนดีกับพระเจ้า แต่ด้วยความรักอัศจรรย์อันประเสริฐ พระเจ้า
“ทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์” (2 โครินธ์
5:19)
พระองค์ทรงตามหาลูกๆ ที่ทำผิดของพระองค์ด้วยความรักอ่อนโยน
ไม่มีพ่อแม่คนใดในโลกที่จะอดทนต่อความบกพร่องและความผิดของลูกๆ
ได้มากไปกว่าความอดทนนานของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้ที่พระองค์ทรงแสวงหาเพื่อจะทรงช่วยให้รอด
ไม่มีผู้ใดจะอ้อนวอนต่อผู้ล่วงละเมิดได้อย่างอ่อนโยนมากเท่านี้
ไม่มีริมฝีปากมนุษย์คนใดที่จะอ้อนวอนอย่างอ่อนโยนต่อผู้ที่หลงไปได้เท่ากับพระองค์ พระสัญญาทั้งหมดของพระองค์ คำตักเตือนของพระองค์ เป็นแต่เพียงลมหายใจของความรักที่ไม่อาจพรรณนาได้ {SC 35.3}
เมื่อซาตานมาบอกกับท่านว่า ท่านเป็นคนบาปหนา
จงหันไปหาพระผู้ไถ่ของท่านและพูดถึงพระคุณความดีของพระองค์ สิ่งที่จะช่วยท่านได้คือให้ท่านมองไปยังแสงสว่างของพระองค์
ให้ท่านยอมรับบาปของท่านและบอกศัตรูของท่านว่า “พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลกเพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด”
และความรักของพระองค์ที่ไม่มีรักใดเปรียบได้จะช่วยท่านให้รอดได้ (1 ทิโมธี 1:15)
พระเยซูตรัสถามซีโมนในเรื่องลูกหนี้สองคน
คนหนึ่งเป็นหนี้นายของเขาเพียงเล็กน้อยและอีกคนเป็นหนี้ก้อนใหญ่ แต่นายได้ยกหนี้ให้ทั้งสองคนและพระคริสต์ตรัสถามซีโมนว่าลูกหนี้คนไหนจะรักนายของเขามากที่สุด ซีโมนตอบว่า
“คนที่นายได้โปรดยกหนี้ให้มากก็เป็นคนที่รักนายมาก” (ลูกา 7:43) เราเป็นคนบาปหนา
แต่พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราจะได้รับการอภัย
พระคุณความดีของการเสียสละของพระองค์นั้นพอเพียงที่จะนำเสนอพระบิดาเพื่อเรา
ผู้ที่ได้รับการอภัยจากพระองค์มากจะรักพระองค์มากและจะยืนอยู่ใกล้ชิดพระบัลลังก์ของพระองค์มากที่สุดเพื่อสรรเสริญพระองค์สำหรับความรักและการเสียสละอันยิ่งใหญ่ เราจะตระหนักถึงความร้ายกาจของบาปได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจความรักของพระเจ้าอย่างเต็มที่เท่านั้น
เมื่อเรามองเห็นความยาวของโซ่ที่หย่อนลงมาให้เรา
เมื่อเราเข้าใจเรื่องการเสียสละอันยิ่งใหญ่ ซึ่งพระคริสต์ทรงกระทำเพื่อเราแล้ว
จิตใจของเราก็จะหลอดละลายลงด้วยความอ่อนโยนและสำนึกผิด {SC 35.4}
เคล็ดลัดที่ 4
การสารภาพบาป
บุคคลที่ซ่อนการละเมิดของตนจะไม่จำเริญ แต่บุคคลที่สารภาพและทิ้งความชั่วเสียจะได้ความกรุณา” (สุภาษิต 28:13) {SC 37.1}
เงื่อนไขที่จะรับพระเมตตาคุณของพระเจ้านั้นง่ายและยุติธรรมและสมเหตุสมผล
พระเจ้าไม่บังคับให้เราต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อจะได้การอภัยจากบาป พระองค์ไม่ได้บังคับให้เราเดินทางไปแสวงหาบุญที่ยืดเยื้อและน่าเบื่อหน่ายหรือแก้บาปด้วยการทรมานร่างกายให้เจ็บปวด
เพื่อให้พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ยอมรับจิตวิญญาณของเราหรือลบล้างบาปการล่วงละเมิดของเรา
แต่ผู้ที่สารภาพและละทิ้งบาปจะได้รับพระเมตตาคุณ {SC 37.2}
อัครทูตกล่าวว่า “จงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย” (ยกกอบ 5:16)
จงสารภาพบาปของท่านกับพระเจ้า
พระองค์เท่านั้นที่จะทรงให้อภัยบาปได้และจงสารภาพความผิดต่อกันและกัน หากท่านทำผิดต่อมิตรสหายหรือเพื่อนบ้านของท่านท่านจะต้องยอมรับผิด
และเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะอภัยให้ท่านด้วยความเต็มใจ
แล้วท่านจะต้องทูลขอพระเจ้าทรงอภัยให้ท่านด้วย เพราะพี่น้องที่ท่านได้ทำผิดต่อเขานั้นเป็นสมบัติของพระเจ้า และเมื่อท่านทำร้ายเขา
ท่านก็ได้ทำบาปต่อพระผู้สร้างและพระผู้ไถ่ของเขาด้วย และคดีความนี้จะถูกนำขึ้นไปยังเบื้องพระพักตร์ของพระผู้ไกล่เกลี่ยแท้จริงพระองค์เดียว
พระองค์ผู้ทรงเป็นมหาปุโรหิตยิ่งใหญ่ของเรา “ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป” และพระองค์ทรง “เห็นใจในความอ่อนแอของเราทุกประการ” และทรงชำระเราจากความเปรอะเปื้อนของความชั่วทุกประการ (ฮีบรู 4:15) {SC 37.3}
ผู้ที่ไม่ได้ถ่อมจิตใจลงเพื่อยอมรับความผิดของเขาต่อพระเจ้าก็ยังไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อแรกเพื่อให้พระเจ้าทรงยอมรับ หากเรายังไม่เคยมีประสบการณ์ของการกลับใจ ไม่เคยรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำไปและไม่ได้ถ่อมจิตใจลงอย่างแท้จริง
และวิญญาณจิตไม่รู้สึกชอกช้ำที่ต้องสารภาพความบาปและรู้สึกเกลียดชังความชั่วของตัวเองแล้ว เราก็ยังไม่เคยทูลขอการอภัยบาปอย่างแท้จริง และหากเรายังไม่เคยทูลขอ เราก็จะยังไม่เคยพบกับสันติสุขในพระเจ้า มีเหตุผลเดียวที่ทำให้บาปผิดในอดีตที่ผ่านมาไม่ได้รับการอภัยคือ
เราไม่เต็มใจที่จะถ่อมจิตใจของเราลงและทำตามเงื่อนไขที่จารึกไว้ในพระวจนะแห่งความจริง
สำหรับเรื่องนี้ได้ทรงประทานคำแนะนำไว้อย่างชัดเจน
การสารภาพบาปไม่ว่าจะทำในที่ลี้ลับหรือในที่สาธารณะจะต้องทำด้วยความจริงใจและด้วยความสมัครใจ คนบาปจะต้องไม่ถูกบีบบังคับให้สารภาพบาป การสารภาพบาปจะต้องไม่ทำอย่างเล่นๆ
หรืออย่างไม่ใส่ใจ
หรือเป็นการบังคับผู้ที่ไม่รู้สึกสำนึกถึงความน่ารังเกียจของความบาป
การสารภาพบาปที่ทำด้วยการเปิดส่วนลึกที่สุดของจิตใจออก จะพบหนทางที่นำไปถึงพระเจ้า ผู้ทรงกอปรด้วยพระเมตตาที่ไม่มีขอบเขต ผู้ประพันธ์สดุดีตรัสว่า “พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ผู้ที่จิตใจฟกช้ำและทรงช่วยผู้ที่จิตใจสำนึกผิด” (สดุดี 34:18) {SC 37.4}
การสารภาพบาปที่จริงใจจะต้องมีลักษณะเฉพาะเจาะจงและยอมรับบาปที่ได้ทำไปแล้ว อาจจะเป็นความบาปที่เราต้องสารภาพต่อเบื้องพระเจ้าเท่านั้นหรือเป็นความบาปที่เราต้องสารภาพกับบุคคลที่ต้องทนทุกข์อันเนื่องมาจากความผิดที่เราได้ทำไป
หรือเป็นความบาปที่ทำต่อส่วนรวมซึ่งต้องสารภาพอย่างเปิดเผย แต่การสารภาพความบาปทั้งปวงนั้นจะต้องชัดเจนและเจาะจง ยอมรับบาปที่ท่านได้ทำไป {SC 38.1}
ในสมัยของซามูเอล
ชนชาติอิสราเอลเดินหลงออกไปจากทางของพระเจ้า
พวกเขาต้องตกอยู่ในความทุกข์ยากอันเนื่องจากผลของความบาปเพราะพวกเขาได้ละทิ้งความเชื่อในพระเจ้า
มองไม่เห็นอำนาจและพระปัญญาของพระองค์ที่ปกครองประเทศ สูญเสียความเชื่อมั่นในอำนาจของพระเจ้าที่พิทักษ์และรักษาผลประโยชน์ของพระองค์
พวกเขาหันออกไปจากพระเจ้ายิ่งใหญ่ผู้ทรงปกครองจักรวาลและปรารถนาการปกครองแบบเดียวกันกับประเทศที่อยู่รอบข้าง ก่อนที่พวกเขาจะพบกันสันติสุขได้อีกครั้งหนึ่งนั้น พวกเขาได้สารภาพบาปอย่างตรงๆ ว่า “เพราะเราได้เพิ่มความชั่วนี้เข้ากับบาปทั้งสิ้นของเราคือขอให้มีพระราชาสำหรับเราทั้งหลาย” (2 ซามูเอล
12:19)
พวกเขาต้องสารภาพบาปที่ได้ทำไปแล้ว
ความอกตัญญูของพวกเขาบีบบังคับจิตวิญญาณและได้ตัดพวกเขาออกไปจากพระเจ้า {SC 38.2}
พระเจ้าจะไม่ยอมรับการสารภาพบาปที่ปราศจากการกลับใจและการปฏิรูปด้วยความจริงใจ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างแน่วแน่
จะต้องขจัดสิ่งที่พระเจ้ารังเกียจทิ้งไปให้หมด เป็นผลงานที่เกิดจากการเสียใจต่อบาปอย่างสุดซึ้ง
ส่วนที่เราจะต้องทำนั้นได้จัดวางไว้อยู่หน้าเราอย่างชัดเจนว่า “จงชำระตัว จงทำตัวให้สะอาด จงเอากรรมชั่วของเจ้าออกไปให้พ้นจากสายตาของเรา จงเลิกกระทำชั่ว จงฝึกกระทำดี
จงแสวงหาความยุติธรรม
จงบรรเทาผู้ถูกบีบบังคับ
จงป้องกันให้ลูกกำพร้าพ่อ
จงสู้ความเพื่อหญิงม่าย” (อิสยาห์ 1:16, 17) “ถ้าคนอธรรมได้คืนของประกัน ขโมยอะไรของเขามาก็คืนเสีย และดำเนินตามกฎเกณฑ์แห่งชีวิต ไม่กระทำความบาปชั่วเลย เขาจะดำรงชีวิตอยู่แน่ เขาไม่ต้องตาย” เปาโลกล่าวถึงการกลับใจว่า “จงพิจารณาดูว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า กระทำให้เกิดความกระตือรือร้นมากทีเดียว
ทำให้เกิดความขวนขวายที่จะแก้ตัวใหม่และการเดือดร้อนแทนความตื่นตัว ความอาลัย
และความกระตือรือร้น
และการลงโทษในทุกสิ่งเหล่านี้
ท่านได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าท่านก็ไม่ได้กระทำผิด” (2 โครินธ์ 7:11) {SC 39.1}
เมื่อความบาปทำให้การรับรู้ทางศีลธรรมตายด้านไป ผู้ที่ทำผิดมองไม่เห็นความบกพร่องในอุปนิสัยของตนเอง หรือตระหนักถึงความร้ายกาจของความชั่วที่เขาได้ทำ
และถ้าเขาไม่ยอมรับอำนาจการตักเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว
ตาของเขาก็จะยังคงมืดมนต่อความบาปที่เขาได้ทำ เขาจะไม่จริงใจและไม่จริงจังต่อการสารภาพของเขา
สำหรับความผิดทุกเรื่องที่เขารู้เขาจะมีข้ออ้างเพื่อแก้ตัวให้กับสิ่งที่เขาทำ โดยกล่าวว่า
หากไม่ใช่เป็นเพราะสถานการณ์บังคับแล้ว
เขาก็คงจะไม่ทำสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้ที่ทำตัวเขาต้องถูกตำหนิ {SC 40.1}
หลังจากอาดัมและเอวาได้รับประทานผลไม้ต้องห้ามแล้ว พวกเขาอับอายและหวาดกลัวอย่างเต็มที่ ในช่วงแรก
พวกเขาได้แต่คิดว่าจะแก้ตัวให้กับการกระทำบาปอย่างไร
และหนีให้พ้นความตายซึ่งเป็นคำตัดสินที่น่ากลัวได้อย่างไร เมื่อพระเจ้าตรัสถามถึงบาปของเขา อาดัมตอบด้วยการโยนความผิดส่วนหนึ่งให้พระเจ้าและอีกส่วนหนึ่งให้แก่คู่ชีวิตของเขา “หญิงที่พระองค์ประทานให้อยู่กินกับข้าพระองค์นั้นส่งผลไม้นั้นให้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงรับประทาน”
ส่วนหญิงนั้นโยนความผิดใส่งูด้วยการพูดว่า
“งูล่อลวงข้าพระองค์ข้าพระองค์จึงได้รับประทาน” (ปฐมกาล 3:12, 13) ทำไมพระองค์จึงทรงสร้างงู
ทำไมพระองค์จึงปล่อยให้มันเข้ามาในสวนเอเดน
นี่คือความหมายของคำตอบที่เธอใช้แก้ตัวให้กับบาปของเธอ “ ด้วยประการฉะนี้
พวกเขาจึงโยนความรับผิดชอบต่อการล้มลงในบาปให้พระเจ้า
วิญญาณแห่งการชอบแก้ตัวที่กำเนิดมาจากบิดาแห่งการพูดมุสาจึงปรากฏอยู่ในบุตรชายและบุตรหญิงทั้งปวงของอาดัม
การสารภาพบาปในรูปแบบเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณของพระเจ้าและพระองค์จะไม่ทรงยอมรับ
การกลับใจที่แท้จริงจะนำบุคคลนั้นให้ยอมรับความผิดว่าเป็นของตนเองและยอมรับโดยไม่มีการแอบแฝงหรือเสแสร้ง
เขาจะเป็นเหมือนคนเก็บภาษีผู้น่าสงสารซึ่งไม่กล้าแม้จะแหงนหน้าดูฟ้า แต่ได้ร้องว่า
ข้าแต่พระเจ้า
ขอทรงโปรดพระเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด” (ลูกา 18:13)
และผู้ที่ยอมรับความผิดของตนเองจะได้รับการแก้ให้เป็นผู้ชอบธรรม
เพราะว่าพระเยซูจะทรงทูลขอแทนจิตวิญญาณที่ได้กลับใจด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง {SC 40.2}
แบบอย่างของการกลับใจด้วยความจริงใจและถ่อมใจดังที่มีจารึกไว้ในพระวจนะของพระเจ้านั้น
เปิดเผยให้เห็นการสารภาพบาปโดยไม่มีการแก้ตัวหรือพยายามทำให้ตนเองไม่มีความผิด เปาโลไม่ได้คอยหาทางที่จะปกปิดตัวเอง
ท่านป้ายสีความบาปของท่านด้วยสีเข้มที่สุดซึ่งไม่ทำให้ความผิดของท่านเบาบางลง ท่านกล่าวว่า
“สิ่งเหล่านั้นข้าพระบาทได้กระทำในกรุงเยรูซาเล็มเมื่อข้าพระบาทรับอำนาจจากพวกมหาปุโรหิตแล้ว ข้าพระบาทได้ขังวิสุทธิชนหลายคนไว้ในคุก และครั้นเขาถูกลงโทษถึงตาย ข้าพระบาทก็เห็นดีด้วย ข้าพระบาทได้ทำโทษเขาบ่อยๆ
ในธรรมศาลาทุกแห่งและบังคับเขาให้กล่าวคำหมิ่นประมาทพระเจ้า และเพราะข้าพระบาทโกรธเขายิ่งนักข้าพระบาทได้ตามไปข่มเหงถึงเมืองในต่างประเทศ” (กิจการของอัครทูต 26:10-11) ท่านไม่รีรอที่จะประกาศว่า “พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลกเพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอก” (1 ทิโมธี 1:15) {SC 41.1}
ผู้ที่กลับใจอย่างแท้จริงและมีจิตใจที่ถ่อมและชอกช้ำจะซาบซึ้งกับความรักองพระเจ้าและราคาที่พระองค์ต้องทรงชำระที่บนกางเขนแห่งคาล์วารีและดั่งเช่นบุตรที่เข้ามาสารภาพความผิดกับบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรัก
ผู้ที่สำนึกผิดอย่างจริงจังและนำความบาปทั้งสิ้นของเขาเข้ามายังพระเจ้าก็จะเป็นเช่นนั้น ด้วยมีคำเขียนไว้ว่า “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา
พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา
และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1 ยอห์น 1:9) {SC 41.2}
เคล็ดลับที่ 5
การอุทิศถวายตน
พระเจ้าทรงสัญญาไว้แล้วว่า “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” (เยเรมีย์ 29:13) {SC 43.1}
เราต้องมองถวายจิตใจทั้งหมดให้แก่พระเจ้า
มิฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงที่จะนำเรากลับคืนสู่พระฉายาของพระเจ้าจะเกิดขึ้นไม่ได้ โดยธรรมชาติแล้ว เราห่างเหินจากพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์บรรยายสภาพของเราไว้ดังนี้ว่า “ตายแล้วโดยการละเมิดและการบาป” “ศีรษะก็เจ็บหมดจิตใจก็อ่อนเปลี้ยไปสิ้น” “ไม่มีความปกติในนั้นเลย”
เราถูกกับดักของซาตานผูกมัดไว้อย่างหนาแน่น “ดักจับเขาไว้ให้ทำตามความประสงค์ของมัน (เอเฟซัส 2:1; อิสยาห์ 1:5,
6;2 ทิโมธี 2:26)
พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะรักษาเราให้หายเพื่อปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ แต่จะทำเช่นนี้ได้นั้น จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติทั้งหมดของเรา
เราจึงต้องยอมมอบถวายตัวของเราทั้งหมดให้พระองค์ {SC 43.2}
สงครามยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการต่อสู้มาคือ การต่อสู้กับตนเอง การยอมถวายตน
มอบถวายทุกสิ่งให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้านั้นจำเป็นต้องมีการดิ้นรนต่อสู่
แต่เราจะต้องยอมมอบถวายจิตวิญญาณของเราให้พระเจ้าก่อน
แล้วความบริสุทธิ์ในจิตใจจึงจะถูกสร้างใหม่ได้ {SC 43.3}
การปกครองของพระเจ้าไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักการของการเชื่อฟังอย่างไม่ลืมหูลืมตาซึ่งเป็นการควบคุมอย่างไม่มีเหตุผลตามที่ซาตานต้องการให้ทุกคนเชื่อ
ผู้ที่มีปัญญาและมีจิตสำนึกจะซาบซึ้งกับการปกครองของพระองค์คำเชิญชวนของพระผู้สร้างที่ทรงยื่นให้แก่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างมานั้นคือ “มาเถิด ให้เราสู้ความกัน” (อิสยาห์ 1:18)
พระเจ้าไม่ได้บังคับความนึกคิดของผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง
พระองค์จะไม่ทรงยอมรับความจงรักภักดีที่ไม่ได้มอบถวายด้วยความเต็มใจและด้วยความเข้าใจอย่างมีสติ
การบังคับให้เชื่อฟังจะกีดขวางการพัฒนาสติปัญญาและอุปนิสัยที่แท้จริงทั้งหมด และทำให้มนุษย์เป็นแต่เพียงเครื่องจักร สภาพเช่นนี้ไม่ได้เป็นพระประสงค์ของพระผู้สร้าง
พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้มนุษย์ซึ่งเป็นจิตรกรรมล้ำเลิศที่สุดของอำนาจการทรงสร้างของพระองค์ก้าวไปให้ถึงการพัฒนาสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ พระองค์ทรงจัดวางพระพรอันประเสริฐที่สุดไว้อยู่ต่อหน้าเราเพื่อนำเราให้ไปถึงพระคุณของพระองค์
พระองค์ทรงเชิญชวนให้เรามอบถวายตัวเราเองให้พระองค์ เพื่อพระองค์จะทรงกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ในตัวเราที่เหลือจะขึ้นกับเราว่าเราเลือกจะให้หลุดพ้นจากการจองจำของความบาป
เพื่อมีส่วนร่วมกับเสรีภาพที่ยิ่งใหญ่ของพระบุตรของพระเจ้าหรือไม่ {SC 43.4}
เมื่อเรามอบถวายตัวเราเองให้พระเจ้าแล้วนั้นเราจำเป็นต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่จะแยกตัวเราออกไปจากพระองค์ ด้วยเหตุนี้
พระผู้ช่วยให้รอดตรัสไว้ว่า “ทุกคนในพวกท่านที่มิได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่จะเป็นสาวกของเราไม่ได้ (ลูกา 14:33)
เราต้องสละทุกสิ่งที่จะชักนำจิตใจให้เหินห่างออกจากพระเจ้า ทรัพย์สมบัติเป็นรูปเคารพของคนมากมาย การรักเงินทองความปรารถนาที่จะได้สมบัติเป็นโซ่ทองคำที่ผูกมัดเขาเหล่านั้นเข้ากับซาตาน ชื่อเสียงและเกียรติยศทางฝ่ายโลกเป็นสิ่งที่คนอีกกลุ่มหนึ่งบูชา
ชีวิตที่สุขสบายอย่างเห็นแก่ตัวและอิสระจากการรับผิดชอบเป็นรูปเคารพของคนอีกกลุ่มหนึ่ง
โซ่ความเป็นทาสที่ผูกมัดเหล่านี้จะต้องถูกตัดให้ขาด
เราเป็นคนของพระเจ้าเพียงครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งเป็นของโลกไม่ได้ เรามิใช่บุตรของพระเจ้าเว้นเสียแต่ว่าเราจะเป็นของพระองค์อย่างเต็มบริบูรณ์เท่านั้น {SC 44.1}
มีคนที่อ้างตนว่ารับใช้พระเจ้า
แต่ในขณะเดียวกันก็พึ่งพาความสามารถของตนเองในการประพฤติตามพระบัญญัติของพระเจ้าปั้นแต่งอุปนิสัยให้ถูกต้องและแสวงหาความรอด ความรักที่มีต่อพระคริสต์ไม่ได้ขับเคลื่อนอยู่ในจิตใจของเขา แต่เขาพยายามประพฤติตามวิถีทางของคริสเตียนตามที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้เพื่อจะได้ครอบครองสวรรค์ ศาสนาเช่นนี้ไม่มีคุณค่าเลย เมื่อพระคริสต์เสด็จเข้ามาอยู่ในจิตใจ
จิตวิญญาณก็จะเต็มล้นด้วยความรักของพระองค์ การสื่อสัมพันธ์กับพระองค์จะสร้างความสุขให้แก่เขาอย่างเต็มล้น เขาจะติดสนิทอยู่กับพระองค์ และเมื่อเขาเพ่งพิจพินิจถึงพระองค์ เขาก็จะลืมมองตนเองไป
ความรักที่มีต่อพระคริสต์จะเป็นแหล่งกำเนิดให้เกิดการกระทำ
ผู้ที่สัมผัสกับความรักของพระเจ้าที่กำลังผลักดันเขาอยู่ จะไม่ถามว่าเขาต้องมอบถวายให้น้อยเพียงไรเพื่อจะไปให้ถึงเป้าหมายที่พระเจ้ากำหนด พวกเขาจะไม่ถามหามาตรฐานต่ำที่สุด
แต่จะตั้งเป้าหมายที่จะทำตามพระประสงค์ของพระผู้ไถ่ให้สมบูรณ์ที่สุด ด้วยความปรารถนาที่จริงใจ
พวกเขามอบถวายทุกสิ่งทุกอย่างและแสดงความสนใจเทียบเท่ากับคุณค่าของสิ่งที่เขาแสวงหา
การยอมรับพระคริสต์โดยขาดความรักที่ลึกซึ้งนี้จะเป็นแต่เพียงการคุยโว
เป็นพิธีกรรมที่แห้งแล้งและเป็นภาระหนักที่น่าเบื่อหน่าย {SC 44.2}
ท่านมีความรู้สึกว่า
การมอบถวายทุกสิ่งให้พระคริสต์เป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่เกินไปหรือ จงถามคำถามนี้กับตนเองว่า “พระคริสต์ทรงประทานอะไรให้แก่ข้าพเจ้า”
พระบุตรของพระเจ้าทรงประทานทุกสิ่ง
พระองค์ทรงประทานชีวิต
ความรักและการทนทุกข์ทรมานเพื่อความรอดของเรา แล้วเราผู้เป็นเป้าหมายอันไม่คู่ควรกับความรักอันยิ่งใหญ่นี้จะยับยั้งหัวใจของเราออกจากพระองค์กระนั้นหรือ ทุกเสี้ยววินาทีในชีวิตของเรา เราได้รับพระพรแห่งพระคุณของพระองค์ และด้วยเหตุผลนี้ เราไม่สามารถหยั่งรู้ได้อย่างเต็มที่ว่าเราถูกช่วยให้หลุดรอดออกมาจากบ่อลึกของความโง่เขลาและความทุกข์ยากได้อย่างไร
เราจะมองไปยังพระองค์ที่เราได้ทิ่มแทงด้วยความบาปของเรา และยังเต็มใจดูหมิ่นความรักและการเสียสละทั้งปวงของพระองค์ได้หรือ
เมื่อเรามองเห็นการถ่อมตนอันไม่มีขอบเขตจำกัดของพระสิริของพระเจ้าแล้ว
เราจะมัวบ่นพึมพำเพียงเพราะเราต้องผ่านความขัดแย้งและการถ่อมตน เพื่อจะได้ก้าวเข้ามาสู่ชีวิตเท่านั้นหรือ {SC 45.1}
หัวใจเย่อหยิ่งของมนุษย์จำนวนมากถามว่า “ทำไมข้าพเจ้าจึงต้องสำนึกผิดและถ่อมใจลงก่อนเพื่อให้มั่นใจว่าพระเจ้าทรงยอมรับข้าพเจ้า” ข้าพเจ้าขอชี้ให้ท่านมองไปยังพระคริสต์
พระองค์ผู้ทรงปราศจากบาปและยิ่งกว่านั้นพระองค์ทรงเป็นเจ้าชายแห่งสวรรค์
แต่เพื่อมนุษย์พระองค์ได้ทรงรับความบาปของมนุษยชาติ พระองค์ “ถูกนับเข้ากับความทรยศ ถึงกระนั้นท่านก็แบกบาปของคนเป็นอันมาก
และทำการอ้อนวอนเพื่อผู้ทรยศ” (อิสยาห์ 53:12) {SC 45.2}
แต่เมื่อเราสละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเราได้ละทิ้งอะไรไปบ้าง
จิตใจที่เปรอะเปื้อนด้วยความบาปเพื่อให้พระเยซูชำระให้บริสุทธิ์ ให้พระองค์ทรงล้างด้วยพระโลหิตของพระองค์
และประทานความรอดให้ด้วยความรักที่ไม่มีสิ่งใดเปรียบเสมอได้ แต่ถึงกระนั้น
มนุษย์ยังคิดว่า
เป็นเรื่องยากลำบากเหลือเกินที่จะยอมทิ้งทุกสิ่งไป ข้าพเจ้ารู้สึกละอายใจที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ รู้สึกอับอายที่จะต้องเขียนคำพูดเช่นนี้ {SC 46.1}
พระเจ้าไม่ได้บังคับให้เราละทิ้งสิ่งที่ดีใดๆ
ที่เราต้องเก็บรักษาไว้เพื่อประโยชน์สูงสุดของเรา
ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้น
พระองค์ทรงมองดูความผาสุกของบุตรทั้งหลายของพระองค์ หากว่าคนทั้งหลายที่ไม่เลือกพระคริสต์จะตระหนักว่าพระองค์ทรงมีสิ่งที่ดีกว่าที่จะมอบให้แก่เขา
ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่เขาสามารถสรรหามาให้แก่ตนเองได้
เมื่อมนุษย์คิดและทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยของพระเจ้า
เขากำลังนำอันตรายและความไม่เป็นธรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุดมายังจิตวิญญาณของเขาเอง เมื่อเขาไปในทิศทางที่พระองค์ทรงตรัสห้ามไว้ เขาจะพบกับความสุขที่แท้จริงไม่ได้ พระองค์ทรงทราบดีว่าเส้นทางใดดีที่สุด และทรงเป็นผู้วางแผนเพื่อให้เกิดผลดีแก่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างมานั้น
ส่วนเส้นทางแห่งการล่วงละเมิดเป็นทางแห่งความทุกข์ลำบากและความพินาศ {SC 46.2}
เป็นเรื่องผิดที่จะคิดว่า
พระเจ้าทรงพอพระทัยที่เห็นบุตรทั้งหลายของพระองค์ตกอยู่ในความทุกข์ยาก
ชาวสวรรค์ทั้งหมดให้ความสนใจกับความสุขของมนุษย์ พระบิดาในสวรรค์ของเราไม่ได้ปิดช่องทางแห่งความสุขของมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง ข้อบังคับของพระเจ้าทรงเรียกให้เราละทิ้งการหมกมุ่นที่นำมาซึ่งความทุกข์ทรมานและความผิดหวัง
และนำเราออกไปจากประตูแห่งความสุขและประตูของสวรรค์
พระผู้ไถ่ของโลกทรงยอมรับมนุษย์ในสภาพที่เขาเป็นอยู่ ซึ่งเต็มไปด้วยความร้องการ ความไม่ดีพร้อม และความอ่อนแอ
และพระองค์จะไม่ทรงชำระเขาจากบาปและประทานความรอดโดยทางพระโลหิตของพระองค์เท่านั้น แต่จะทรงประทานความพึงพอใจให้แก่หัวใจทุกดวงที่แสวงหาพระองค์
ซึ่งยอมรับแอกและแบกรับภาระของพระองค์เป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่จะทรงประทานสันติสุขและความสงบสุขให้แก่ทุกคนที่เข้ามาหาพระองค์เพื่อแสวงหาทิพย์อาหารแห่งชีวิต พระองค์ทรงกำหนดให้เราทำแต่หน้าที่ที่จะนำเราให้ก้าวสูงขึ้นสู่ความสงบสุขให้แก่ทุกคนที่เข้ามาหาพระองค์เพื่อแสวงหาทิพย์อาหารแห่งชีวิต
พระองค์ทรงกำหนดให้เราทำแต่หน้าที่ที่จะนำเราให้ก้าวสูงขึ้นสู่ความสุขสำราญซึ่งผู้ที่ไม่เชื่อฟังจะก้าวไปไม่ถึง ชีวิตเที่ยงแท้ ความสุขที่แท้จริงจะต้องมีพระคริสต์ทรงสถิตร่วมอยู่ภายใน พระองค์ผู้ทรงเป็นความหวังใจแห่งพระสิริ {SC 46.3}
คนมากมายถามว่า “ข้าพเจ้าจะมอบถวายตนเองให้พระเจ้าได้อย่างไร”
ท่านประสงค์ที่จะถวายตนเองให้พระองค์
แต่อำนาจฝ่ายศีลธรรมของท่านนั้นอ่อนแอ
เป็นทาสของความสงสัย
และชีวิตของท่านถูกควบคุมด้วยอุปนิสัยของความบาปผิด คำมั่นสัญญาและความตั้งใจของท่านเปรียบเหมือนกับเชือกที่ทำด้วยทราย ท่านควบคุมความคิด แรงผลักดัน
ความรู้สึกของท่านเองไม่ได้
ท่านตระหนักว่า
การผิดคำมั่นสัญญาและการไม่รักษาคำพูดได้บั่นทอนความมั่นใจในความจริงใจของท่าน
และทำให้ท่านรู้สึกว่าพระเจ้าทรงรับท่านไม่ได้ แต่ท่านไม่ต้องท้อใจ สิ่งที่ท่านต้องเข้าใจคือ กำลังที่แท้จริงของความตั้งใจ
สิ่งนั้นคืออำนาจที่ควบคุมธรรมชาติของมนุษย์ เป็นอำนาจในการตัดสินใจหรือการเลือก ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับความตั้งใจที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง
พระเจ้าทรงประทานอำนาจแห่งการเลือกให้แก่มนุษย์ ซึ่งเขาจะต้องนำมาใช้ ท่านเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านไม่ได้
ท่านถวายความรักของท่านให้พระเจ้าด้วยลำพังตัวของท่านเองไม่ได้ แต่ท่านเลือกที่จะรับใช้พระองค์ได้ ท่านถวายความตั้งใจของท่านให้พระองค์ได้ แล้วพระองค์จะทรงกระทำกิจภายในตัวท่านเพื่อให้ความตั้งใจและการกระทำของท่านเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เมื่อเป็นเช่นนี้
ธรรมชาติทั้งหมดของท่านจะเข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมของพระวิญญาณของพระคริสต์
ความรู้สึกของท่านจะมีศูนย์กลางอยู่ในพระองค์ ความคิดของท่านจะประสานเข้ากับพระประสงค์ของพระองค์ {SC 47.1}
ความปรารถนาคุณความดีและความบริสุทธิ์เป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่ในระดับหนึ่ง แต่หากท่านหยุดแค่นี้ ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับความปรารถนานี้ คนมากมายสูญหายไปในขณะที่เขาหวังและอยากเป็นคริสเตียน พวกเขาเข้ามาไม่ถึงจุดที่จะยอมมอบถวายความตั้งใจให้พระเจ้า เขาจึงไม่ได้เลือกที่จะเป็นคริสเตียน {SC 47.2}
เมื่อท่านใช้ความตั้งใจอย่างถูกต้อง
ชีวิตของท่านจะได้รับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด
เมื่อท่านถวายความตั้งใจของท่านให้พระคริสต์ ท่านได้นำตัวของท่านเองเข้ามาผูกพันกับอำนาจที่เหนือกว่าเจ้าผู้ครอบครองและอำนาจใดๆ
ทั้งสิ้น
ท่านจะมีกำลังจากเบื้องบนที่คอยพยุงให้ท่านมั่นคง
และด้วยการมอบถวายตัวให้พระเจ้าอย่างต่อเนื่อง ท่านจะดำเนินชีวิตใหม่ได้ ซึ่งเป็นชีวิตแห่งความเชื่อ {SC 48.1}
เคล็ดลับที่ 6
ความเชื่อและการยอมรับ
เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ปลุกสามัญสำนึกของท่านให้ตื่นขึ้น ท่านจึงเริ่มมองเห็นความเลวร้ายของบาป มองเห็นอำนาจของมัน ความผิดของมันความทุกข์ยากของมัน และท่านจะมองความบาปด้วยความรังเกียจ ท่านรู้สึกว่า
บาปได้แยกตัวท่านออกไปจากพระเจ้า
ท่านถูกจองจำด้วยอำนาจของความชั่ว เมื่อท่านดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นมากขึ้นเท่าใด ท่านก็จะยิ่งพบว่า ท่านช่วยตัวเองไม่ได้ เป้าหมายของท่านไม่บริสุทธิ์ จิตใจของท่านไม่สะอาด
ท่านมองเห็นว่าชีวิตของท่านเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวและความบาป ท่านปรารถนาที่จะได้รับการอภัย ได้รับการชำระ
ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระท่านจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้ปรองดองกับพระเจ้าและมีลักษณะเหมือนพระองค์ {SC 49.1}
สันติสุขเป็นสิ่งที่ท่านต้องการ
คือการอภัยและความสงบสุขและความรักจากสวรรค์เบื้องบนที่อยู่ภายในวิญญาณจิตของท่าน เงินทองจัดซื้อเอาไว้ไม่ได้ ปัญญาจัดหามาให้ไม่ได้ ความรอบรู้นำไปให้ถึงไม่ได้
ท่านหวังที่จะได้สันติสุขนี้มาครอบครองด้วยความพยายามของท่านเองไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงยื่นมาเป็นของประทานให้แก่ท่าน “โดยไม่ต้องเสียเงินเสียค่า” (อิสยาห์ 55:1) สันติสุขนี้จะเป็นของท่าน เพียงแต่ท่านจะยื่นมือของท่านและรับเอาไว้ พระเจ้าตรัสว่า “ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้ม ก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดง ก็จะกลายเป็นอย่างขนแกะ” (อิสยาห์ 1:18) “เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้าและเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า” (เอเสเคียล 36:26) {SC
49.2}
ท่านสารภาพบาปของท่านแล้ว ละทิ้งไปด้วยความเต็มใจ
ท่านตัดสินใจที่จะมอบถวายตัวของท่านเองให้พระเจ้า
ขอให้ท่านไปหาพระองค์เดี๋ยวนี้และทูลขอพระองค์ให้ชำระบาปของท่านและประทานจิตใจใหม่ให้แก่ท่าน แล้วเชื่อว่าพระองค์ทรงประทานให้แก่ท่าน เพราะว่าพระองค์ทรงสัญญาไว้แล้ว นี่คือบทเรียนที่พระเยซูทรงสอนในขณะที่ทรงดำเนินอยู่ในโลกนี้ว่า
ของประทานที่พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานให้แก่เรานั้น เราจะต้องเชื่อว่าเราได้รับแล้ว และของประทานนั้นจะเป็นของเรา พระเยซูทรงรักษาประชาชนให้หายจากโรคต่างๆ เมื่อพวกเขาวางใจในอำนาจของพระองค์ พระองค์ทรงประทานการช่วยเหลือในสิ่งที่ตามองเห็น
ซึ่งเป็นสิ่งที่หนุนใจให้เขาวางใจพระองค์
ในสิ่งที่ตามองไม่เห็นนั่นคือ
นำพวกเขาให้เชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระองค์ที่จะทรงอภัยบาปผิดได้ ในเรื่องนี้
พระองค์ทรงกล่าวไว้อย่างชัดเจนเมื่อพระองค์ทรงรักษาชายง่อย “แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้ พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านเถิด” (มัทธิว 9:6)
ยอห์นผู้ประกาศก็ได้กล่าวถึงการอัศจรรย์ของพระคริสต์ไว้เช่นกันว่า “แต่การที่ได้บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์” (ยอห์น 20:31) {SC 49.3}
จากเหตุการณ์เรียบง่ายที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ซึ่งกล่าวถึงวิธีที่พระเยซูรักษาคนเจ็บป่วย เราเรียนรู้บางเรื่องว่าเราจะต้องเชื่อพระองค์อย่างไรเพื่อจะได้รับการอภัยจากบาป
ให้เราไปดูเรื่องของชายง่อยที่ข้างสระน้ำเบธซาธา
ผู้ป่วยน่าสงสารคนนี้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขาไม่ได้ใช้ขามานานถึงสามสิบแปดปีแล้ว แต่ถึงกระนั้น
พระเยซูทรงบัญชาว่า “จงลุกขึ้นยกแคร่ของเจ้าเดินไปเถิด” คนป่วยผู้นี้อาจจะตอบพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า หากท่านจะรักษาให้ข้าพเจ้าหายดีแล้ว ข้าพเจ้าจะเชื่อฟังพระคำของพระองค์” แต่เขาไม่ได้พูดเช่นนี้ เขาเชื่อพระดำรัสของพระคริสต์
เขาเชื่อว่าพระองค์ทรงรักษาเขาให้หายได้และเขาก็ทำตามทันที เขาอยากเดินและเขาก็เดินได้ เขาทำตามพระดำรัสของพระคริสต์และพระเจ้าทรงประทานกำลังให้เขา เขาก็หายเป็นปกติ {SC 50.1}
ในทำนองเดียวกัน ท่านเป็นคนบาป
ท่านลบความบาปที่ท่านทำมาแล้วในอดีตไม่ได้
ท่านเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านและทำให้ตัวของท่านบริสุทธิ์ไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงสัญญาที่จะทำสิ่งทั้งหมดนี้ให้ท่านโดยผ่านทางพระคริสต์ ท่านเชื่อพระสัญญานั้น
ท่านสารภาพความบาปของท่านและถวายตัวของท่านเองให้พระเจ้า ท่านตั้งใจที่จะรับใช้พระองค์
ทันทีที่ท่านทำเช่นนี้พระเจ้าจะทรงกระทำตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ให้แก่ท่าน ถ้าท่านเชื่อพระสัญญาของพระเจ้า คือเชื่อว่าท่านได้รับการอภัยและการชำระแล้ว พระเจ้าจะทรงประทานความจริงให้ท่าน ท่านจะได้รับการรักษาให้หาย เหมือนที่พระคริสต์ทรงประทานกำลังให้คนง่อยเดินได้ เมื่อเขาเชื่อว่าเขาหายจากโรคแล้ว หากท่านเชื่อท่านก็จะหายได้เช่นกัน {SC 51.1}
อย่ารีรอจนท่านรู้สึกตัวว่า ท่านหายดีแล้ว
แต่จงพูดว่า “ข้าพเจ้าเชื่อแล้วก็จะเป็นเช่นนั้น
ไม่ใช่เพราะข้าพเจ้ารู้สึก
แต่เพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้แล้ว” {SC 51.2}
พระเยซูตรัสว่า “เมื่อท่านอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับและท่านจะได้รับสิ่งนั้น” (มาระโก 11:24) มีเงื่อนไขผูกติดอยู่กับพระสัญญานี้ คือ
เราจะต้องอธิษฐานให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
แต่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะทรงชำระเราจากความบาป
เพื่อให้เราเป็นบุตรของพระองค์และช่วยให้เราดำเนินชีวิตที่ชอบธรรม ดังนั้น
เราจึงทูลขอพระพรเหล่นี้ได้และเชื่อว่าเราได้รับและขอบพระคุณพระเจ้าที่เราได้รับแล้ว
เป็นสิทธิพิเศษที่เราเข้ามาหาพระเยซูและรับการชำระให้สะอาดได้
และเราจะยืนอยู่หน้าพระบัญญัติเหล่านี้โดยปราศจากความละอายหรือความเสียใจ “เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์” (โรม 8:1) {SC 51.3}
ต่อแต่นี้ไป ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง ท่านถูกซื้อด้วยราคาสูง “พระองค์ได้ทรงไถ่ท่านทั้งหลาย.....มิใช่ไถ่ไว้ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้ เช่นเงินและทอง
แต่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตประเสริฐของพระคริสต์ ดังเลือดลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่าง” (1 เปโตร 1:18,
19) ด้วยวิธีการเชื่อพระเจ้าที่ง่ายๆ เช่นนี้
พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เริ่มชีวิตใหม่ในจิตใจของท่านแล้ว
ท่านเป็นเหมือนเด็กเกิดใหม่มาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้าและพระองค์ทรงรักท่านเหมือนที่พระองค์ทรงรักพระบุตรของพระองค์ {SC 51.4}
บัดนี้ ท่านได้มอบตัวท่านเองให้พระเยซูแล้ว จงอย่าหันหลังกลับ จงอย่านำตัวของท่านออกไปจากพระองค์ แต่ในทุกๆ วัน
ให้ท่านพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นของพระคริสต์
ข้าพเจ้าได้มอบถวายตัวข้าพเจ้าให้พระองค์แล้ว”
และทูลขอพระองค์ให้พระทานพระวิญญาณของพระองค์แก่ท่าน และรักษาท่านไว้ โดยพระคุณของพระองค์ เมื่อท่านมอบถวายตัวท่านเองให้พระเจ้า และเชื่อในพระองค์ อัครทูตเปาโลได้กล่าวว่า “เมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์เจ้าแล้วฉันใด จงปฏิบัติพระองค์ด้วยฉันนั้น” (โคโลสี 2:6) {SC 52.1}
บางคนอาจจะรู้สึกว่า
เขาจะต้องถูกทดสอบและพิสูจน์ตนให้พระเจ้าเห็นว่าเขาได้ปฏิรูปแล้วเสียก่อนเขาจึงจะขอรับพระพรของพระองค์ได้ แต่พวกเขาเข้ามารับพระพรในเวลานี้ได้เลย เขาต้องมีพระคุณของพระเจ้า พระวิญญาณของพระคริสต์เพื่อช่วยความอ่อนแอในตัวของเรา ความผิดของเรา
ความบาปของเรา
และกราบลงแทบพระบาทของพระองค์ด้วยความเสียใจต่อบาป พระสิริของพระเจ้าจะโอบล้อมเราในอ้อมแขนแห่งความรักของพระองค์ และจะรักษาบาดแผลของเรา และชำระเราให้พ้นจากความผิดทั้งหมด {SC 52.2}
คนมากมายล้มลงในเรื่องนี้ พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงอภัยให้เขาเป็นการส่วนตัวและเป็นรายบุคคล พวกเขาไม่เชื่อตามพระดำรัสของพระเจ้า เป็นสิทธิพิเศษของทุกคนที่ทำตามเงื่อนไขจะรู้ได้ด้วยตนเองว่า
การบาปผิดทุกรายจะได้รับการอภัยโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ จงทิ้งความสงสัยที่ว่า พระสัญญาของพระเจ้าไม่ได้มีไว้ให้ท่าน
พระสัญญานี้มีไว้ให้ผู้ล่วงละเมิดทุกคนที่กลับใจ
โดยทางพระคริสต์ พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมกำลังและพระคุณเพื่อทูตสวรรค์ผู้รับใช้จะนำไปให้แก่จิตวิญญาณทุกดวงที่มีความเชื่อ
ไม่มีผู้ใดมีบาปที่หนาเกินไปที่จะเข้ามาหาพละกำลัง ความบริสุทธิ์และความชอบธรรมที่มีอยู่ในพระเยซูผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อทุกคนไม่ได้ พระองค์ทรงรอคอยที่จะถอดเสื้อที่เปรอะเปื้อนและสกปรกด้วยบาปของพวกเขาออก และสวมเสื้อแห่งความชอบธรรมให้แก่เขา
พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เขามีชีวิตอยู่และไม่ต้องตาย {SC 52.3}
พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติต่อเราเหมือนเช่นมนุษย์ที่เป็นเนื้อหนังปฏิบัติต่อกัน
ความคิดของพระองค์เป็นความคิดแห่งความเมตตา ความรักและเอ็นดูพระองค์ตรัสว่า “ให้คนอธรรมละทิ้งทางของเขา และคนไม่ชอบธรรมสละความคิดของเขา ให้เขากลับยังพระเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงกรุณาเขา และยังพระเจ้าของเรา เพราะพระองค์จะทรงอภัยอย่างล้นเหลือ” “เราได้ลบล้างการทรยศของเจ้าเสียเหมือนเมฆ
และลบล้างบาปของเจ้าเหมือนหมอก จงกลับมาหาเรา
เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว” (อิสยาห์ 55:7;
44:22) {SC 53.1}
“พระเจ้าตรัสว่า
เราไม่มีความพอใจในความตายของผู้หนึ่งผู้ใดเลย จงหันกลับและดำรงชีวิตอยู่” (เอเสเคียล 18:32)
ซาตานพร้อมที่จะฉกชิงพระสัญญาอันประเสริฐของพระเจ้าไป มันมุ่งมั่นที่จะเอาแสงแห่งความหวังที่ริบหรี่และลำแสงแห่งความจริงทั้งหมดออกไปจากจิตวิญญาณ แต่ท่านจะต้องไม่ปล่อยให้มันทำเช่นนี้ จงอย่าฟังผู้ล่อลวง แต่ให้ท่านพูดว่า “พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ พระองค์ทรงรักข้าพเจ้า และไม่ทรงประสงค์ให้ข้าพเจ้าพินาศ
ข้าพเจ้ามีพระบิดาบนสวรรค์ที่ทรงเมตตาปราณี
และถึงแม้ข้าพเจ้าได้ใช้ความรักของพระองค์ไปในทางที่ผิด แม้ข้าพเจ้าได้ใช้พระพรที่พระองค์ทรงประทานให้แก่ข้าพเจ้าอย่างสุรุ่ยสุร่าย ข้าพเจ้าจะลุกขึ้นไปหาพระบิดาของเรา และพูดกับท่านว่า “บิดาเจ้าข้า
ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย
ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป
ขอท่านให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างของท่านคนหนึ่งเถิด” อุปมานี้บอกท่านให้ทราบว่า ผู้ที่หลงหายไปได้รับการต้อนรับอย่างไร “เมื่อเขายังอยู่แต่ไกลบิดาแลเห็นเขาก็มีความเมตตา จึงวิ่งออกไปกอดคอจูบเขา” (ลูกา 15:18-20) {SC 53.2}
ถึงแม้อุปมานี้จะอ่อนหวานและจับใจเพียงไรก็ตาม
แต่ก็ยังบรรยายถึงพระเมตตาคุณของพระเจ้าแห่งสวรรค์ได้ไม่หมด พระเจ้าทรงประกาศผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า “เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป” (เยเรมีย์ 31:3)
ในขณะที่คนบาปยังอยู่ไกลบ้านของพระบิดา
เขาผลาญทรัพย์ของตนอยู่ในเมืองไกล
พระหทัยของพระบิดายังห่วงหาถึงเขา
และจิตวิญญาณทุกดวงที่ตื่นขึ้นและอยากจะกลับไปยังพระเจ้าก็เกิดจากการร้องขออย่างแผ่วเบาของพระวิญญาณของพระองค์ที่กำลังเรียกร้อง เชิญชวน
ชักนำผู้ที่หลงหายไปให้กลับมายังพระหทัยที่เปี่ยมด้วยความรักของพระบิดา {SC 54.1}
ด้วยพระสัญญามากมายในพระคัมภีร์ที่อยู่ต่อหน้าท่าน ท่านจะเปิดทางให้กับความสงสัยได้อย่างไร
ท่านจะเชื่อได้อย่างไรว่าเมื่อคนบาปผู้น่าสงสารอยากจะหันหลังกลับ อยากจะละทิ้งความบาปของเขา
พระเจ้าจะทรงเกรี้ยวกราดไม่ยอมให้เขาเมายังแทบพระบาทของพระองค์เพื่อกลับใจหรือให้ท่านทิ้งความคิดเช่นนี้ออกไปเสีย ไม่มีสิ่งใดจะทำความเสียหายให้แก่จิตวิญญาณของท่านได้มากกว่าการที่ท่านจะสนุกกับความคิดที่ว่าพระบิดาบนสวรรค์ของเราเป็นเช่นนี้ พระองค์ทรงเกลียดชังบาป
แต่พระองค์ทรงรักคนบาปและพระองค์ทรงประทานพระองค์เองในพระคริสต์ เพื่อให้ทุกคนที่ต้องการได้รับความรอด และพระพรชั่วนิรันดร์ในแผ่นดินแห่งพระสิริ
พระองค์จะทรงใช้ภาษาใดที่หนักแน่นกว่าและอ่อนโยนกว่านี้เพื่อบรรยายถึงความรักของพระองค์ที่มีต่อเราได้ พระองค์ทรงประกาศว่า “ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง และจะไม่เมตตาบุตรจากครรภ์ของนางได้หรือ
แม้ว่าคนเหล่านี้ยังลืมได้กระนั้นเราก็จะไม่ลืมเจ้า” (อิสยาห์ 49:15) {SC
54.2}
จงแหงนหน้ามองขึ้นไป ท่านทั้งหลายที่สงสัยตัวสั่นสะท้านอยู่ เพราะพระเยซูทรงพระชนม์อยู่เพื่อเป็นผู้แก้ต่างของเรา ขอบคุณพระเจ้าสำหรับของประทาน คือ
พระบุตรอันเป็นที่รักของพระองค์
และจงอธิษฐานเพื่อการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เพื่อท่านนั้นจะไม่เป็นการสูญเปล่า พระวิญญาณทรงเชิญท่านในวันนี้ ขอให้ท่านเข้ามาหาพระเยซูด้วยหัวใจทั้งหมดของท่าน และท่านยื่นมือรับพระพรของพระองค์ได้ {SC 54.3}
ในขณะที่ท่านอ่านพระสัญญา
จงจดจำไว้เสมอว่าพระสัญญาเหล่านั้นเป็นการแสดงความรักและพระเมตตาที่ไม่อาจจะเปล่งออกมาเป็นวาจาได้
พระหทัยยิ่งใหญ่ของพระองค์ผู้มีความรักที่ไม่มีที่สิ้นสุดจะเข้ามาหาคนบาปด้วยความเมตตาอันไร้ขอบเขต “เราได้รับการไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์
คือได้รับการอภัยโทษบาปของเราโดยพระกรุณาอันอุดมของพระองค์” (เอเฟซัส 1:17) ถูกแล้ว
เพียงเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยของท่าน
พระองค์ทรงประสงค์ที่จะนำพระฉายาด้านศีลธรรมกลับคืนมาให้มนุษย์
ในขณะที่ท่านเข้ามาใกล้พระองค์ด้วยการสารภาพและการกลับใจ
พระองค์จะทรงเข้ามาใกล้ท่านด้วยความเมตตาและการอภัย {SC 55.1}
เคล็ดลับที่ 7
การทดสอบการเป็นสาวก
“ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2 โครินธ์
5:17) {SC 57.1}
คนๆ
หนึ่งไม่อาจบอกเวลาหรือสถานที่แน่นอนหรือลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในขบวนการของการกลับใจ
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้กลับใจ พระคริสต์ตรัสกับนิโคเดมัสว่า “ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้นและท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากทางไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน” (ยอห์น 3:8)
พระวิญญาณของพระเจ้าก็เป็นเหมือนเช่นลมที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่เรามองเห็นและสัมผัสผลของพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทำงานในจิตใจมนุษย์ได้อย่างชัดเจน
อำนาจการบังเกิดใหม่ซึ่งสายตามนุษย์ไม่อาจจะมองเห็นได้นั้นจะทำให้เกิดชีวิตใหม่ขึ้นในจิตวิญญาณ อำนาจนั้นสร้างคนใหม่ที่มีพระฉายาของพระเจ้าในตัวเขา ในขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานอย่างเงียบๆ
และสัมผัสไม่ได้
แต่ผลของการกระทำนั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจน
หากพระวิญญาณของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่แล้ว
ชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจะเป็นพยานให้เห็นถึงความจริง ในขณะที่เราเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราและนำตนเองให้มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้าไม่ได้ ในขณะที่เราจะต้องไม่วางใจในตัวเราหรือในการดีที่เราทำ แต่ชีวิตของเราจะแสดงออกให้เห็นว่า
เรามีพระคุณของพระเจ้าที่ทรงร่วมสถิตอยู่ด้วยหรือไม่ เราจะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบุคลิก ในอุปนิสัยและในการงาน
เราจะมองเห็นความแตกต่างระหว่างชีวิตในอดีตที่ผ่านมากับชีวิตในปัจจุบันได้อย่างชัดเจนและแน่นอน
เราจะมองเห็นอุปนิสัยที่โน้มเอียงในการทำการดีทั้งทางวาจาและการกระทำ
แทนที่จะเป็นการกระทำความชอบในโอกาสนี้และทำการไม่ดีในโอกาสอื่น {SC 57.2}
ความประพฤติดีที่แสดงออกมาให้เห็นภายนอกอาจเกิดขึ้นได้โดยปราศจากอำนาจการบังเกิดใหม่ของพระคริสต์
จิตใจที่ปรารถนาจะได้อำนาจเหนือผู้อื่นและได้คำสรรเสริญจากผู้อื่น อาจทำให้ชีวิตมีระเบียบขึ้นมาได้ ความเคารพตนเองนำเราให้หลีกเลี่ยงการกระทำชั่ว
จิตใจที่มีแต่ความเห็นแก่ตัวอาจแสดงตนเป็นผู้ที่มีใจกว้างได้ แล้วจะนำอะไรมาใช้เพื่อตัดสินว่าเราอยู่ฝ่ายใด {SC 58.1}
ใครเป็นผู้ครอบครองหัวใจของเรา
ใครอยู่ในความนึกคิดของเรา
เราชื่นชอบที่จะสนทนากับผู้ใด
ใครได้ความรู้สึกดีที่สุดและได้พละกำลังที่ดีเลิศสุดของเรา หากเราเป็นของพระคริสต์ ความนึกคิดของเราจะอยู่กับพระองค์ และความคิดหวานชื่นที่สุดจะเป็นเรื่องของพระคริสต์
ทุกสิ่งที่เรามีและที่เราเป็นอยู่จะมอบถวายให้พระองค์ เราปรารถนาที่จะได้พระฉายาของพระองค์ หายใจด้วยวิญญาณของพระองค์
กระทำตามพระประสงค์ของพระองค์และทำทุกสิ่งให้เป็นที่พอพระทัยพระองค์ {SC 58.2}
ผู้ที่ได้รับการสร้างใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์จะเกิดผลของพระวิญญาณ “ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข
ความอดกลั้นใจ ความปราณี ความดี
ความสัตย์ซื่อ
ความสุภาพอ่อนน้อม
การรู้จักบังคับตน”
(กาลาเทีย 5:22, 23)
พวกเขาจะไม่ใส่ใจต่อกิเลสตัณหาในอดีต
แต่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า
พวกเขาจะดำเนินตามพระองค์
สะท้อนพระอุปนิสัยของพระองค์และชำระตัวให้บริสุทธิ์เหมือนพระองค์ สิ่งที่เขาเคยเกลียดชัง บัดนี้เขารัก
และสิ่งที่เขาเคยรักบัดนี้เขาเกลียดชัง
ผู้ที่ยโสและเห็นแก่ตัวจะกลายเป็นคนเอาจริงเอาจังและไม่โอ้อวด คนเมากลับเป็นคนที่มีเหตุมีผลและคนไร้ศีลธรรมกลายเป็นคนที่ไม่มีราคี ธรรมเนียมและความนิยมของชาวโลกจะถูกปัดทิ้งไป คริสเตียนจะไม่แสวงหา “การประดับภายนอก” แต่จะ “ประดับภายในจิตใจ แต่งด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลายคือ ด้วยจิตใจที่สงบและสุภาพ” (1 เปโตร 3:3,
4) {SC 58.3}
ไม่มีหลักฐานใดที่จะแสดงให้เห็นว่ามีการกลับใจที่แท้จริงนอกจากว่าการกลับใจนั้นจะก่อให้เกิดการปฏิรูป หากเขาทำตามสิ่งที่ได้สัญญาไว้ ส่งคืนสิ่งของที่ได้ปล้นมา สารภาพบาปของเขาและรักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์
คนบาปนั้นจึงอาจจะมั่นใจได้ว่าเขาได้ก้าวจากความตายไปสู่ชีวิต {SC 59.1}
เมื่อเราเข้ามาหาพระคริสต์ในสภาพของคนบาปและได้รับพระคุณแห่งการอภัยบาปของพระองค์แล้ว ความรักจะเกิดขึ้นภายในจิตใจ ทุกภาระจะเบาลง เพราะแอกที่พระคริสต์ทรงวางไว้ให้นั้นพอเหมาะ
ภาระหน้าที่กลายเป็นเรื่องที่ทำด้วยความยินดี การเสียสละจะเป็นสิ่งที่สร้างความสุข หนทางเบื้องหน้าที่เคยดูประหนึ่งว่า ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด
จะสว่างไสวด้วยลำแสงจากดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม {SC 59.2}
พระลักษณะที่น่ารักของพระคริสต์จะปรากฏให้เห็นในตัวของผู้ติดตามพระองค์
พระคริสต์ทรงชื่นชอบกับการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ความรักที่พระองค์ถวายพระเจ้าและความร้อนรนในการถวายพระสิริให้พระเจ้าคืออำนาจที่คอยควบคุมในชีวิตองพระผู้ช่วยให้รอดของเรา
ความรักส่งผลให้ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำแลดูสวยงามและสูงส่ง ความรักจากพระเจ้าจิตใจที่ยังไม่ได้อุทิศถวายพระเจ้าจะก่อให้เกิดหรือแสดงความรักเช่นนี้ออกมาไม่ได้
ความรักเช่นนี้จะพบได้ในจิตใจที่มีพระเยซูครอบครองอยู่เท่านั้น “เราทั้งหลายรักก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” (1 ยอห์น 4:19)
ในจิตใจที่สร้างขึ้นมาใหม่ด้วยพระคุณของพระเจ้านั้นจะมีความรักเป็นหลักการของการกระทำ ความรักนี้จะหล่อหลอมอุปนิสัย บังคับความรู้สึก ควบคุมกิเลสตัณหา ลดความเป็นศัตรูกันและทำให้ความรักสูงส่ง
ความรักเช่นนี้จะถนอมจิตวิญญาณและทำให้ชีวิตหวานชื่นและกระจายอิทธิพลบริสุทธิ์ให้แก่ทุกคนที่อยู่รอบข้าง {SC 59.3}
มีความผิดอยู่สองประการที่บุตรทั้งหลายของพระเจ้าจะต้องระวัง โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเข้ามามอบความวางใจในพระคุณของพระองค์ได้ไม่นาน ประการแรก
เป็นเรื่องที่กล่าวมาแล้ว
คือการมองไปที่ผลงานของตนเองและเชื่อมั่นในการกระทำเพื่อนำตัวเองให้เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า
ผู้ที่พยามทำตัวเองให้บริสุทธิ์ด้วยการถือรักษาพระบัญญัติกำลังพยายามทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
การกระทำทั้งหมดที่มนุษย์ทำไปโดยปราศจากพระคริสต์ล้วนเปรอะเปื้อนด้วยความเห็นแก่ตัวและความบาป
มีเพียงพระคุณของพระเจ้าที่เราได้รับโดยความเชื่อเท่านั้นที่จะทำให้เราบริสุทธิ์ {SC 59.4}
ความผิดในทางกลับกันและอันตรายไม่น้อยกว่ากันคือการเชื่อว่าพระคริสต์ทรงปลดปล่อยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากการถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าแล้ว
โดยให้เหตุผลว่าเราจะมีส่วนในพระคุณของพระคริสต์ได้ด้วยความเชื่อเท่านั้น การกระทำไม่มีผลต่อความรอดของเราเลย {SC 60.1}
แต่ขอให้สังเกตว่า การเชื่อฟังไม่ใช่เป็นการร่วมมือที่ปรากฏให้เห็นแต่เพียงภายนอก การเชื่อฟังเป็นการรับใช้แห่งรัก
พระบัญญัติของพระเจ้าซึ่งแสดงให้เห็นธรรมชาติของพระเจ้า เป็นศูนย์รวมแห่งหลักการที่ยิ่งใหญ่ของความรักและเป็นรากฐานการปกครองของพระเจ้าทั้งในสวรรค์และบนโลก
หากหัวใจของเราถูกเปลี่ยนใหม่ให้เหมือนของพระเจ้า หากบัญญัติแห่งรักของพระเจ้าถูกปลูกฝังเข้าไปอยู่ในจิตวิญญาณ
พระบัญญัติของพระเจ้าจะไม่ปรากฏออกให้เห็นในชีวิตของเราหรือ เมื่อหลักการแห่งความรักถูกปลูกฝังลงในจิตใจ
เมื่อมนุษย์ถูกสร้างขึ้นใหม่ตามแบบพระฉายาของพระองค์ผู้ทรงสร้างเขามานั้น พระสัญญาใหม่ก็จะเกิดขึ้น “เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในใจของเขาทั้งหลาย
และเราจะจารึกพระธรรมนั้นไว้ในจิตใจของเขาทั้งหลาย”
(ฮีบรู 10:16)
และหากบทบัญญัติถูกจารึกลงไปในใจของเขาแล้ว พระบัญญัติจะไม่หล่อหลอมชีวิตของเขาหรือ
การเชื่อฟังซึ่งเป็นการรับใช้และความภักดีของความรักจะเป็นหมายสำคัญของการเป็นสาวกที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์จึงได้กล่าวไว้ว่า “นี่แหละเป็นความรักต่อพระเจ้า คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์” “คนใดที่กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าคุ้นกับพระองค์’ แต่มิได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์
คนนั้นเป็นคนพูดมุสาและความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย” (1 ยอห์น 5:3, 2:4)
เราไม่ได้ถูกปลดปล่อยให้พ้นจากการต้องเชื่อฟัง
แต่ด้วยความเชื่อและความเชื่อเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้เรามีส่วนในพระคุณของพระคริสต์และทำให้เราเชื่อฟัง {SC 60.2}
เราไม่ได้รับความรอดเป็นค่าจ้างตอบแทนการเชื่อฟัง
เพราะความรอดเป็นของประทานของพระเจ้าที่ทรงประทานให้เปล่าๆ
ซึ่งเราจะรับมาได้โดยความเชื่อ
แต่การเชื่อฟังเป็นผลของความเชื่อ “ท่านทั้งหลายรู้แล้วว่า
พระองค์ได้ทรงปรากฏเพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป และพระองค์ไม่ทรงมีบาปเลย ผู้ใดที่อยู่ในพระองค์ ผู้นั้นไม่กระทำบาป ส่วนผู้ใดที่กระทำบาป ผู้นั้นยังไม่เห็นพระองค์ และยังไม่รู้จักพระองค์” (1 ยอห์น 3:5, 6) นี่คือการทดสอบที่แท้จริง หากเราอยู่ในพระคริสต์ หากความรักของพระเจ้าอยู่ภายในตัวเรา ความรู้สึกของเรา ความคิดของเรา
เป้าหมายของเรา การกระทำของเราจะประสานกับน้ำพระทัยของพระเจ้าตามที่พระบัญญัติบริสุทธิ์ของพระองค์ได้สอนว่า “ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้ใครชักจูงท่านให้หลง
ผู้ที่ประพฤติชอบก็ชอบธรรมเหมือนอย่างพระองค์ชอบธรรม”
(1 ยอห์น 3:7)
ความชอบธรรมถูกกำหนดด้วยมาตรฐานพระบัญญัติบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ได้สำแดงให้เห็นในหลักการสิบประการที่ทรงโปรดประทานจากภูเขาซีนาย {SC 61.1}
ความเชื่อในพระคริสต์ที่อ้างว่าได้ปลดปล่อยให้มนุษย์หลุดพ้นจากการถูกกำหนดให้เชื่อฟังพระเจ้านั้น
แท้จริงแล้วไม่ใช่ความเชื่อแต่เป็นการทึกทักคิดขึ้นมาเอง “เราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ” แต่ “ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ประพฤติตามก็ไร้ผล” (เอเฟซัส 2:8; ยากอบ 2:17)
พระเยซูตรัสถึงพระองค์เองในสมัยก่อนที่พระองค์จะเสด็จมายังโลกว่า “ข้าพระองค์ปิติยินดีที่กระทำตามน้ำพระทัยพระองค์ พระธรรมของพระองค์อยู่ในจิตใจของข้าพระองค์” (สดุดี 40:8)
ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับไปยังสวรรค์เพียงเล็กน้อย พระองค์ทรงประกาศว่า “เราประพฤติตามพระบัญญัติของพระบิดาและยึดมั่นอยู่ในความรักของพระองค์” (ยอห์น 15:10) พระคัมภีร์กล่าวว่า “เราจะมั่นใจได้ว่าเราคุ้นกับพระองค์โดยข้อนี้ คือถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์.....ผู้ใดกล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์
ผู้นั้นก็ควรดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงดำเนินนั้น” (1 ยอห์น 2:3-6) “เพราะว่าพระคริสต์ก็ได้ทรงทนทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลาย
ให้เป็นแบบอย่างแก่ท่านเพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์” (1 เปโตร 2:21) {SC 61.2}
ในเวลานี้
เงื่อนไขที่จะได้ชีวิตนิรันดร์ก็ยังคงเหมือนเดิม
เป็นเหมือนกับครั้งที่เป็นอยู่ในสรวงสวรรค์ก่อนที่บรรพบุรุษคู่แรกล้มลงในบาป นั่นคือการเชื่อฟังบทบัญญัติของพระเจ้าอย่างบริบูรณ์ มีผลให้เกิดความชอบธรรมที่สมบูรณ์ หากจะลดเงื่อนไขการรับชีวิตนิรันดร์ลง
ความผาสุกของทั่วทั้งจักรวาลก็จะตกอยู่ในอันตราย
เป็นการเปิดทางให้ความบาปนำความทุกข์และความโศกเศร้าให้ยั่งยืนเป็นอมตะตลอดไป {SC 62.1}
ก่อนอาดัมล้มลงในบาป
บุคลิกชอบธรรมของอาดัมพัฒนาขึ้นมาได้ด้วยการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า แต่อาดัมพลาดในเรื่องนี้ และเนื่องจากความบาปของอาดัม
ธรรมชาติของเราจะตกต่ำลงและเราทำให้ตัวเราเองชอบธรรมไม่ได้ เนื่องจากเราเป็นคนบาปหนา ไม่บริสุทธิ์
เราจึงเชื่อฟังบทบัญญัติศักดิ์สิทธิ์อย่างสมบูรณ์แบบไม่ได้
เราไม่มีความชอบธรรมของเราเองที่จะนำมาชดใช้ค่าเสียหายตามที่พระบัญญัติของพระเจ้าเรียกร้องได้ แต่พระคริสต์ทรงจัดหาหนทางให้เราหลุดพ้น พระองค์ทรงดำเนินชีวิตที่ปราศจากบาป พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราและบัดนี้พระองค์ทรงเสนอตัวรับบาปของเราและประทานความชอบธรรมของพระองค์ให้แก่เรา หากท่านจะถวายตัวให้พระองค์และยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่านแล้ว ไม่ว่าท่านจะมีบาปหนาเพียงไร โดยหนทางของพระองค์ ท่านจะได้เป็นคนชอบธรรม พระลักษณะของพระคริสต์จะเข้ามาในอุปนิสัยของท่านและต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า
ท่านจะได้รับการยอมรับว่าท่านไม่เคยทำบาปมาก่อนเลย {SC 62.2}
นอกเหนือจากนี้ พระคริสต์ทรงเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านได้
และโดยความเชื่อพระองค์ทรงร่วมสถิตอยู่ในใจของท่าน และท่านจะต้องรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้โดยความเชื่อและมอบถวายความตั้งใจของท่านให้พระองค์เรื่อยไป และตราบเท่าที่ท่านยังคงทำเช่นนี้ พระองค์จะทรงกระทำกิจอยู่ภายในตัวท่านเพื่อให้ความต้องการและความปรารถนาของท่านเป็นไปตามชอบพระทัยของพระองค์ แล้วท่านจะพูดได้ว่า “ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้
ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้าและได้ทรงสละพระองค์เพื่อข้าพเจ้า” (กาลาเทีย 2:20)
ดังที่พระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า
“ผู้ที่พูดมิใช่ตัวท่านเอง
แต่เป็นพระวิญญาณแห่งพระบิดาของท่านผู้ตรัสทางท่าน” (มัทธิว 10:20) เมื่อท่านมีพระคริสต์การกระทำการในตัวท่าน
ท่านก็จะมีจิตวิญญาณที่เหมือนของพระองค์และกระทำงานที่ดีแบบเดียวกัน นั่นคืองานของความชอบธรรมและการเชื่อฟัง {SC 62.3}
ดังนั้นเราจึงไม่มีสิ่งใดในตัวเราที่จะอวด
เราไม่มีข้ออ้างใดที่จะยกชูตัวของเราเองให้สูงขึ้น
พื้นฐานของความหวังเดียวของเราอยู่ในความชอบธรรมของพระคริสต์ที่ทรงประทานให้แก่เราและพระวิญญาณของพระองค์ที่กระทำการอยู่ในตัวของเราและสำเร็จในเรา {SC 63.1}
เมื่อเราพูดถึงความเชื่อแล้ว มีความแตกต่างที่เราต้องใส่ใจ
มีความเชื่อบางประการที่แตกต่างจากความเชื่อที่กล่าวมาแล้วโดยสิ้นเชิง การดำรงอยู่ของพระเจ้าและอำนาจของพระองค์ ความจริงที่อยู่ในพระวจนะของพระเจ้า เรื่องเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่แม้ซาตานและบริวารของมันก็ไม่อาจปฏิเสธ พระคัมภีร์กล่าวว่า “ปีศาจก็เชื่อ และกลัวจนตัวสั่น” แต่นี่ไม่ใช่ความเชื่อ (ยากอบ 2:19)
เราจะต้องไม่เพียงเชื่อในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น
แต่เราจะต้องนำความต้องการมามอบถวายให้พระองค์ เราจะต้องมอบถวายจิตใจให้พระองค์ ให้ความรู้สึกติดสนิทอยู่กับพระองค์ การทำเช่นนี้ต้องมีความเชื่อ
ความเชื่อที่กระทำการโดยความรักและการชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์
ความเชื่อเช่นนี้จะสร้างหัวใจขึ้นมาใหม่ในพระฉายาของพระเจ้า
และหัวใจที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่จะอยู่ภายใต้พระบัญญัติของพระเจ้าไม่ได้และจะเป็นเช่นนั้นไม่ได้
แต่บัดนี้ปีติยินดีในพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า จะร้องขึ้นพร้อมกับผู้ประพันธ์สดุดีว่า “แหม ข้าพระองค์รักพระธรรมของพระองค์จริงๆ
เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์วันยังค่ำ” (สดุดี 119:97) และความชอบธรรมของพระบัญญัติสำเร็จในเรา “ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ” (โรม 8:1) {SC 63.2}
ยังมีผู้ที่เคยรู้จักความรักแห่งการอภัยของพระคริสต์และพวกเขามีความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะเป็นบุตรของพระเจ้า
แต่ถึงกระนั้นพวกเขารู้ดีว่าอุปนิสัยของเขายังไม่สมบูรณ์แบบ
ชีวิตของเขายังด่างพร้อยและเขาก็สงสัยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจของเขาใหม่แล้วหรือยัง ข้าพเจ้าขอบอกกับคนเหล่านี้ว่า อย่าหันกลับด้วยความท้อใจถึงแม้บ่อยครั้งเราจะต้องก้มลงและร้องไห้แทบพระบาทของพระองค์เพราะความบกพร่องและความผิดของเรา แต่เราจะต้องไม่ท้อถอย
ถึงแม้ว่าเราจะพ่ายแพ้ต่อศัตรูแต่พระเจ้าก็ไม่ได้ขับไล่ ทอดทิ้งและปฏิเสธเรา ไม่เลย
พระคริสต์ทรงประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า พระองค์ทรงทูลขอเพื่อเรา
ยอห์นผู้เป็นที่รักยิ่งของพระคริสต์ได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลาย เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป และถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ผู้ทูลขอพระบิดาเพื่อเรา คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเที่ยงธรรมนั้น” (1 ยอห์น 2:1)
และขอให้ท่านอย่าลืมพระดำรัสของพระคริสต์ที่ว่า “พระบิดาเองก็ทรงรักท่านทั้งหลาย” (ยอห์น 16:27) พระองค์ทรงประสงค์ที่จะนำท่านกลับมายังพระองค์เพื่อให้ความบริสุทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์สะท้อนออกมาจากตัวท่าน
และหากท่านจะยอมมอบถวายตัวท่านเองให้พระองค์ พระองค์ผู้ได้ทรงเริ่มต้นการดีในตัวท่าน
จะทรงกระทำการต่อไปจนถึงวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้อธิษฐานด้วยใจร้อนรนมากยิ่งขึ้น เชื่อมั่นอย่างเต็มที่
เมื่อเรามาถึงจุดที่เราไม่วางใจในอำนาจของตนเอง
ขอให้เราวางใจในอำนาจของพระผู้ไถ่และสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงเป็นความไพบูลย์ในชีวิตของเรา {SC 64.1}
เมื่อท่านเข้าใกล้พระเยซูมากยิ่งขึ้นเพียงไร ท่านก็จะยิ่งมองเห็นความบกพร่องในตัวของท่านเองมากขึ้นเท่านั้น เพราะสายตาของท่านจะมองเห็นได้ดียิ่งขึ้น
และเมื่อท่านเทียบกับธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบของพระองค์ ท่านก็จะเห็นความไม่สมบูรณ์ในตัวของท่านได้โจ่งแจ้งและมีความชัดเจนมากขึ้น นี่คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า อำนาจการหลอกลวงของซาตานได้เสื่อมถอยไปแล้วและอิทธิพลที่ให้ชีวิตของพระวิญญาณของพระเจ้าได้ปลุกท่านให้ตื่นขึ้น {SC 64.2}
ความรักที่มีต่อพระเยซูไม่อาจที่จะฝังลึกเข้าไปในจิตใจที่ไม่สำนึกในความบาปของตนได้
จิตวิญญาณที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงด้วยพระคุณของพระคริสต์จะชื่นชมกับพระลักษณะของพระเจ้า แต่หากเรามองไม่เห็นความบกพร่องทางคุณธรรมของเราแล้ว นั่นก็คือหลักฐานที่เด่นชัดว่า
เรายังมองไม่เห็นความงามและคุณความดีของพระคริสต์ {SC 65.1}
เมื่อเราประเมินค่าในตัวของเราเองให้ยิ่งน้อยลงเพียงไร
เราก็จะประเมินค่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้าและความดีงามของพระผู้ช่วยให้รอดได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ภาพของความผิดบาปของเราจะผลักดันเราให้ไปหาพระองค์ ผู้ทรงให้อภัยบาปผิดของเราได้ และเมื่อจิตวิญญาณตระหนักถึงความไม่สามารถช่วยตัวเองได้และยื่นมือไปหาพระคริสต์ พระองค์จะทรงเปิดเผยพระองค์เองด้วยอำนาจยิ่งใหญ่ เมื่อความรู้สึกถึงความขาดแคลนของเราผลักเราให้เข้าไปหาพระองค์และพระวจนะของพระเจ้ามากยิ่งขึ้นเพียงไร
เราก็จะมองเห็นพระลักษณะของพระเจ้าได้สูงส่งมากขึ้นและเราก็จะสะท้อนพระฉายาของพระเจ้าได้บริบูรณ์มากยิ่งขึ้นเท่านั้น {SC 65.2}
เคล็ดลับที่ 8
เติบใหญ่ขึ้นในพระเยซู
พระคัมภีร์เรียกการเปลี่ยนแปลงจิตใจที่ทำให้เราได้เป็นบุตรของพระเจ้าว่า การบังเกิดใหม่ พระคัมภีร์ยังเปรียบเทียบการบังเกิดใหม่นี้กับการแตกหน่อของเมล็ดดีที่ชาวนาหว่านลงไป ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่กลับใจใหม่ในพระคริสต์เปรียบเหมือน “ทารกแรกเกิด” “เพื่อจะจำเริญขึ้น” เป็นชายและหญิงในพระเยซูคริสต์ (1 เปโตร 2:2; เอเฟซัส 4:15)
ดั่งเมล็ดดีที่หว่านลงในทุ่งนาเจริญงอกงามขึ้นและเกิดผล อิสยาห์กล่าวว่า “คนจะเรียกเขาว่าต้นก่อหลวงแห่งความชอบธรรม
ที่ซึ่งพระเจ้าทรงปลูกไว้เพื่อพระองค์จะทรงสำแดงพระสิริของพระองค์” (อิสยาห์ 61:3) ดังนั้น
จึงได้มีการนำเรื่องราวชีวิตในธรรมชาติมาใช้เป็นตัวอย่างเพื่อช่วยอธิบายให้เราเข้าใจความจริงที่ลึกลับของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ {SC 67.1}
ปัญญาและความสามารถทั้งหมดของมนุษย์ไม่อาจทำให้เกิดชีวิตเล็กที่สุดในธรรมชาติได้ ทั้งพืชหรือสัตว์จะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยชีวิตที่พระเจ้าทรงประทานให้เท่านั้น เช่นเดียวกัน
ชีวิตฝ่ายวิญญาณจะบังเกิดขึ้นในหัวใจมนุษย์ได้ก็ด้วยชีวิตที่มาจากพระเจ้า ถ้ามนุษย์ไม่ได้ “บังเกิดใหม่จากเบื้องบน”
เขาจะมีส่วนในชีวิตซึ่งพระคริสต์เสด็จมาประทานให้ไม่ได้ (ยอห์น 3:3) {SC 67.2}
การเติบใหญ่ขึ้นจะมีลักษณะเหมือนเช่นกับการมีชีวิต
พระเจ้าทรงเป็นผู้กระทำให้ดอกตูมนั้นบานและจากดอกทำให้เกิดเป็นผล
ด้วยอำนาจของพระองค์ที่จะทำให้เมล็ดเกิดขึ้น “เป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง” (มาระโก 4:28)
และผู้เผยพระวจนะโฮเชยากล่าวถึงชนชาติอิสราเอลว่า “เขาจะเบิกบานอย่างดอกพลับพลึง” “เขาจะเจริญขึ้นเหมือนอุทยาน จะออกดอกเหมือนเถาองุ่น” (โฮเยา 14:5, 7) และพระเยซูทรงบัญชาให้เรา “พิจารณาดอกไม้ว่ามันงอกเจริญขึ้นอย่างไร” (ลูกา 12:27) ต้นพืชและดอกไม้ไม่อาจงอกงามขึ้นด้วยการใส่ใจหรือความร้อนใจหรือความพยายามของมันเอง
แต่จะเจริญเติบใหญ่ขึ้นได้ด้วยสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้เพื่อเลี้ยงดูชีวิตของมัน
เด็กไม่อาจขยายรูปร่างของตนให้ใหญ่ขึ้นได้ด้วยความห่วงใยหรือด้วยพละกำลังของตนเอง
ชีวิตฝ่ายวิญญาณของท่านไม่อาจเติบใหญ่ขึ้นได้จากความทุกข์ร้อนใจ ความกังวลหรือความพยายามของตัวท่านเอง ต้นพืช
เด็ก
เติบใหญ่ขึ้นด้วยการรับสิ่งต่างๆ รอบตัวที่รับใช้ชีวิตของเขาทั้งหลาย ซึ่งได้แก่
อากาศ แสงแดด และอาหาร
ธรรมชาติให้ของขวัญเหล่านี้แก่ทั้งพืชและสัตว์
ในทำนองเดียวกันพระเจ้าทรงประทานสิ่งเหล่านี้ให้แก่ทุกคนที่วางใจในพระองค์ พระองค์ทรงเป็น “ความสว่างเป็นนิตย์ของเขา” “เป็นดวงอาทิตย์และเป็นโล่” (อิสยาห์ 60:19; สดุดี 84:11)
พระองค์ทรง “เป็นเหมือนน้ำค้างแก่อิสราเอล” “เป็นเหมือนฝนที่ตกบนหญ้าที่ตัดแล้ว” (โฮเชยา 14:5; สดุดี 72:6)
พระองค์ทรงเป็นบ่อน้ำพุแห่งชีวิต
เป็น “อาหารของพระเจ้า.....ที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก” (ยอห์น 6:33) {SC 67.3}
เมื่อพระเจ้าทรงประทานพระบุตรของพระองค์มาเป็นของขวัญที่ไม่อาจพระเมินค่าได้
พระองค์ได้ทรงโอบล้อมโลกทั้งใบนี้ไว้ด้วยบรรยากาศแห่งพระคุณ เหมือนกับอากาศที่กระจายอยู่รอบโลก
ทุกคนที่เลือกหายใจด้วยบรรยากาศที่ให้ชีวิตนี้ จะมีชีวิตและเติบใหญ่ขึ้นเป็นชายและหญิงในพระคริสต์ {SC 68.1}
เช่นเดียวกับที่ดอกไม้หันเข้าหาดวงอาทิตย์เพื่อแสงสว่างจะช่วยให้ดอกไม้นั้นงดงามและสมดุลอย่างสมบูรณ์
เราจึงควรหันไปยังดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมเพื่อแสงสว่างจากสวรรค์จะส่องลงมายังเรา เพื่ออุปนิสัยของเราจะได้พัฒนาขึ้นจนเป็นเหมือนพระฉายาของพระคริสต์ {SC 68.2}
พระเยซูทรงสอนเรื่องเดียวกันนี้ เมื่อพระองค์ตรัสว่า “จงเข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน
แขนงจะเกิดผลเองไม่ได้นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด
ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้.....เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” (ยอห์น 15:4, 5) ท่านจะต้องพึ่งพระคริสต์ เพื่อชีวิตของท่านจะบริสุทธิ์
เหมือนเช่นกิ่งที่ต้องพึ่งลำต้นเพื่อจะงอกและเกิดผล หากท่านแยกตัวเองออกจากพระองค์ ท่านจะไม่มีชีวิต
ท่านไม่มีอำนาจต่อต้านการทดลองหรืออำนาจที่จะเจริญขึ้นในพระคุณและความบริสุทธิ์ จงเข้าสนิทกับพระองค์ แล้วท่านจะรุ่งเรือง จงหล่อเลี้ยงชีวิตของท่านจากพระองค์ เพื่อท่านจะไม่เหี่ยวเฉาหรือไร้ผล
ท่านจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ {SC 68.3}
มีคนมากมายคิดว่าเขาต้องทำบางอย่างด้วยตัวเอง พวกเขาวางใจพระคริสต์ที่ให้อภัยความบาป แต่บัดนี้เขาใช้ความสามารถของตนเองเพื่อดำรงชีวิตให้ถูกต้อง แต่ความพยายามเหล่านี้จะล้มเหลว พระเยซูตรัสว่า “แยกจากเราแล้ว ท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” การเติบใหญ่ขึ้นในพระคุณ ความสุขของเรา
การทำงานที่เกิดประโยชน์
สิ่งเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับการเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระคริสต์ โดยการติดต่อกับพระองค์ทุกวัน ทุกชั่วโมง
ซึ่งเป็นการติดสนิทกับพระองค์เพื่อที่เราจะเติบใหญ่ในพระคุณได้
พระองค์ไม่ได้เป็นเพียงผู้บุกเบิกความเชื่อของเราเท่านั้นแต่ยังทรงเป็นผู้ทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระคริสต์ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลายและทรงเป็นอยู่ตลอดกาล พระองค์จะทรงอยู่ร่วมกับเรา
ไม่ใช่ที่จุดเริ่มต้นและที่จุดสุดปลายเท่านั้น แต่ตลอดทุกย่างก้าว กษัตริย์ดาวิดตรัสว่า “ข้าพเจ้าตั้งพระเจ้าไว้ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ
เพราะพระองค์ประทับทางเบื้องขวาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นไหว” (สดุดี 16:8) {SC 69.1}
ท่านถามใช่หรือไม่ว่า “ข้าพเจ้าจะติดสนิทกับพระคริสต์ได้อย่างไร”
ก็ด้วยวิธีเดียวกันกับที่ท่านได้ยอมรับพระองค์ตั้งแต่ต้น “เหตุฉะนั้นเมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์เจ้าแล้วฉันใด จงปฏิบัติพระองค์ด้วยฉันนั้น” “คนชอบธรรม.....จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ” (โคโลสี 2:6; ฮีบรู 10:38)
ท่านมอบถวายตัวท่านเองให้พระเจ้าแล้วเพื่อให้เป็นของพระองค์ทั้งหมด เพื่อรับใช้และเชื่อฟังพระองค์
และท่านรับพระคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน ท่านไถ่บาปของท่านเองด้วยตัวของท่านเองไม่ได้หรือเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านเองไม่ได้ แต่ท่านเชื่อว่า โดยการมอบถวายตัวท่านเองให้พระเจ้าแล้ว
พระองค์ทรงกระทำการทั้งหมดนี้ให้ท่านโดยเห็นแก่พระคริสต์ โดยความเชื่อท่านเป็นของพระคริสต์แล้ว
และโดยความเชื่อท่านจะเติบใหญ่ขึ้นในพระองค์ ทั้งจากการมอบให้และการรับ ท่านจะต้องมอบทุกสิ่งรวมทั้งจิตใจ ความตั้งใจและการรับใช้ของท่าน
มอบถวายตัวท่านเองให้พระองค์โดยปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งหมดของพระองค์ และท่านจะต้องยอมรับทั้งหมด คือ
พระคริสต์ผู้ทรงเต็มล้นด้วยพระพรทั้งหมด
ให้เข้ามาสถิตในดวงใจของท่าน
เพื่อเป็นกำลังของท่าน
เป็นความชอบธรรมของท่าน
เป็นพระผู้ช่วยนิรันดร์ของท่าน
และพระองค์จะทรงประทานอำนาจให้แก่ท่านที่จะเชื่อปฏิบัติตามได้ {SC 69.2}
จงถวายตัวของท่านให้พระเจ้าทุกเช้า ให้เป็นงานแรกที่ท่านทำ ให้อธิษฐานว่า
“โอข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดรับข้าพระองค์ให้เป็นของพระองค์ทั้งหมด ข้าพระองค์ขอวางแผนการทั้งหมดของข้าพระองค์ไว้ที่เบื้องพระบาทของพระองค์
โปรดใช้ข้าพระองค์ในพระราชกิจของพระองค์ในวันนี้
ขอทรงโปรดสถิตอยู่กับข้าพระองค์และโปรดให้งานทั้งหมดของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์”
นี่คือสิ่งที่เราต้องทำทุกวัน
ท่านจะต้องมอบถวายตัวให้พระเจ้าทุกเช้า
มอบถวายแผนการทั้งหมดของท่านให้พระองค์เพื่อจะทำให้สำเร็จหรือล้มเลิกไปตามการทรงนำของพระองค์ ด้วยประการฉะนี้ ท่านจะมอบถวายชีวิตของท่านให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทุกวัน
และชีวิตของท่านจะถูกปั้นแต่งให้เหมือนชีวิตของพระคริสต์ได้มากยิ่งขึ้น {SC 70.1}
ชีวิตในพระคริสต์เป็นชีวิตที่สุขสบาย เป็นชีวิตที่อาจจะไม่ตื่นเต้น แต่จะมีความวางใจที่เชื่อถือและสงบสุข ความหวังของท่านไม่ได้อยู่ในตัวของท่านเอง แต่อยู่ในพระคริสต์
ความอ่อนแอของท่านประสานเข้ากับพละกำลังของพระองค์ ความโง่เขลาของท่านประสานเข้ากับพระปัญญาของพระองค์
ความเปราะบางของท่านประสานเข้ากับอำนาจที่ยั่งยืนของพระองค์ ดังนั้นท่านจึงไม่ควรมองตัวเอง อย่าให้สมองของท่านคิดถึงแต่ตัวเอง แต่ให้มองไปยังพระคริสต์
จงให้ความนึกคิดของท่านพักพิงอยู่ในความรักของพระองค์ในความงดงาม ความดีรอบคอบที่มีอยู่ในพระลักษณะของพระองค์
จงให้จิตวิญญาณใคร่ครวญอยู่เสมอถึงเรื่องการละทิ้งตนของพระคริสต์ การถ่อมตนของพระองค์ ความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ในบุคคลของพระองค์ ความรักที่ไม่มีรักใดเปรียบได้ของพระองค์
ท่านจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจนเป็นเหมือนพระคริสต์ได้ด้วยการรักพระองค์ ทำตามแบบอย่างของพระองค์ และพึ่งพิงในพระองค์อย่างเต็มที่ {SC 70.2}
พระเยซูตรัสว่า “จงเข้าสนิทอยู่ในเรา”
ข้อความนี้ให้แนวคิดของการพักผ่อน
ความมั่นคง และความมั่นใจ พระองค์ยังทรงเชิญชวนต่อไปว่า “จงมาหาเราและเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” (มัทธิว 11:28)
ผู้ประพันธ์สดุดีให้แนวคิดในทำนองเดียวกันว่า “จงสงบอยู่ต่อพระเจ้าและเพียรรอคอยพระองค์อยู่”
และอิสยาห์ให้ความมั่นใจไว้ว่า “กำลังของเจ้าจะอยู่ในความสงบและความไว้วางใจ” (สดุดี 37:7; อิสยาห์ 30:15) การพักผ่อนนี้ไม่ใช่เป็นการไม่ทำอะไร เพราะในคำเชื้อเชิญของพระผู้ช่วยให้รอด
การพักผ่อนที่พระองค์ทรงสัญญาจะประทานให้นั้น มีคำร้องเรียกให้ทำงานรับใช้ด้วย “จงเอาแอกของเราแบกไว้.....ท่านทั้งหลายจะได้พัก” (มัทธิว 11:29)
จิตใจที่พักพิงอยู่ในพระคริสต์อย่างเต็มที่จะทำงานรับใช้พระองค์ด้วยความจริงใจและจริงจังมากที่สุด {SC 71.1}
เมื่อความคิดของเราหมกมุ่นอยู่กับตนเอง
ความนึกคิดของเราก็จะหันออกไปจากพระคริสต์พระผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของพละกำลังและชีวิต ด้วยเหตุนี้
ซาตานจึงคอยพยายามอยู่เสมอที่จะหันเหความสนใจของเราออกไปจากพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งเป็นการกีดกันจิตวิญญาณจากการเข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระคริสต์และจากการสื่อสารกับพระองค์ ความสุขสำราญทางฝ่ายโลก ความกังวล
ความยุ่งเหยิงและความโศกเศร้าในชีวิต
ความผิดของผู้อื่นหรือความผิดพลาดและความไม่สมบูรณ์ของตัวท่านเอง ซาตานจะใช้เรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือทั้งหมดนี้เพื่อหันเหความคิดของเรา จงอย่าให้มันใช้เล่ห์กลของมันนำท่านให้หลง
มีคนมากมายที่มีความนึกคิดที่รอบคอบและมีความปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในพระเจ้า
เขามักจะถูกมารชักนำให้หมกมุ่นอยู่กับความผิดพลาดและความอ่อนแอของตัวเขาเองอยู่เสมอ และซาตานหวังที่จะได้ชัยชนะด้วยการทำให้เขาแยกตัวเองออกไปจากพระคริสต์
เราจะต้องไม่เอาตัวเราเองเป็นศูนย์กลางและหมกมุ่นอยู่กับความกังวลและความกลัวว่าเราจะได้รับความรอดหรือไม่ เรื่องทั้งหมดนี้จะหันเหเราออกไปจากแหล่งกำลังของเรา
จงมอบการดูแลจิตวิญญาณของท่านให้พระเจ้าและวางใจในพระองค์ จงพูดและคิดถึงพระเยซู จงให้ตัวของท่านจมหายไปในพระองค์ ขจัดความสงสัยออกไปให้หมด ขับไล่ความกลัวให้ออกไป และกล่าวร่วมกับอัครทูตเปาโลว่า “ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า และชีวิตซึ่งข้าพเจ้าจะดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้
ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้าและได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” (กาลาเทีย 2:20) จงเข้าพักพิงอยู่ในพระเจ้า
พระองค์ทรงคอยเฝ้ารักษาสิ่งที่ท่านมอบถวายให้พระองค์ หากท่านจะยอมมอบถวายตัวของท่านเองให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว
พระองค์จะทรงนำพาท่านให้เป็นยิ่งกว่าผู้มีชัยนะโดยทางพระองค์ผู้ทรงรักท่าน {SC 71.2}
เมื่อพระคริสต์ทรงรับธรรมชาติของมนุษย์มาไว้ในพระองค์
พระองค์ทรงผูกมัดมนุษยชาติไว้ด้วยความรักที่ไม่มีอำนาจใดจะทำให้ขาดสะบั้นไป ยกเว้นแต่เป็นทางเลือกของเขาเอง ซาตานจะคอยยื่นข้อเสนอจูงใจเพื่อชักชวนให้เราตัดความสัมพันธ์นี้อยู่สม่ำเสมอ
เพื่อให้เราเลือกที่จะแยกตัวเราเองออกไปจากพระคริสต์ นี่คือสิ่งที่เราต้องคอยเฝ้าระวัง คอยบากบั่น
คอยอธิษฐานเพื่อไม่ให้สิ่งใดมาชักนำให้เราเลือกนายอื่น เพราะเรามีเสรีภาพที่จะทำเช่นนี้ได้เสมอ
แต่ขอให้สายตาของเราจ้องมองไปยังพระคริสต์และพระองค์จะทรงคุ้มครองรักษาเรา เมื่อเรามองไปยังพระเยซูคริสต์ เราจะปลอดภัย
ไม่มีสิ่งใดจะถอนเราให้ออกไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้ เมื่อเราเฝ้ามองพระองค์อยู่เสมอ เราจะ “เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์พระผู้เป็นเจ้าคือมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป
เช่นอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นพระวิญญาณ” (2 โครินธ์
3:18) {SC
72.1}
นี่เป็นวิธีที่อัครสาวกในยุคแรกได้รับพระฉายาของพระผู้ช่วยให้รอดอันเป็นที่รักยิ่งของเขาทั้งหลาย เมื่อสาวกเหล่านั้นได้ยินพระดำรัสของพระเยซู พวกเขาตระหนักดีว่า พวกเขาต้องการพระองค์ พวกเขาตามหาและได้พบ พวกเขาจึงได้ติดตามพระองค์ไป พวกเขาอยู่ร่วมกับพระองค์ในบ้าน ที่โต๊ะอาหารในห้องชั้นใน ในทุ่งนา
พวกเขาอยู่กับพระองค์ในฐานะนักเรียนอยู่กับอาจารย์ พวกเขารับบทเรียนแห่งความจริงศักดิ์สิทธิ์จากพระโอษฐ์ของพระองค์ทุกวัน
พวกเขามองดูพระองค์เช่นเดียวกับบ่าวที่มองดูนายเพื่อการเรียนรู้หน้าที่สาวกเหล่านั้น “เป็นมนุษย์ที่มีสภาพเหมือนกับเราทั้งหลาย” (ยากอบ 5:17)
พวกเขามีสงครามที่จะต้องต่อสู้กับความบาปเหมือนกับเรา พวกเขาต้องการพระคุณเดียวกันเพื่อจะดำรงชีวิตที่บริสุทธิ์ {SC 72.2}
แม้กระทั่งยอห์น สาวกที่พระองค์ทรงรัก
ซึ่งเป็นผู้ที่สะท้อนพระลักษณะของพระผู้ช่วยให้รอดได้มากที่สุด ก็ไม่ได้มีอุปนิสัยที่น่ารักนี้ติดตัวมาโดยธรรมชาติ ท่านไม่เพียงแต่เป็นคนที่ถือรักษาสิทธิของตนเองและทะเยอทะยานมุ่งหาเกียรติยศเท่านั้น
ท่านยังเป็นคนหุนหันพลันแล่นและไม่พอใจเมื่อถูกคุกคาม
แต่เมื่อท่านได้มองเห็นพระลักษณะของพระองค์ ท่านก็มองเห็นความบกพร่องในตัวเองและได้ถ่อมใจลง ท่านได้มองเห็นพละกำลังและความอดทน อำนาจและความอ่อนโยน ความยิ่งใหญ่และความถ่อมตนที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันของพระบุตรของพระเจ้า
สิ่งเหล่านี้ได้เติมจิตวิญญาณของท่านให้เต็มล้นด้วยความเลื่อมใสและความรัก วันแล้ววันเล่า จิตใจของท่านถูกชักนำเข้าไปหาพระคริสต์
จนกระทั่งความรักที่ท่านมีเพื่อถวายพระอาจารย์ของท่านทำให้ท่านมองไม่เห็นตนเอง อารมณ์ขุ่นเคืองและทะเยอทะยานได้ยอมสยบต่ออำนาจแห่งการหล่อหลอมของพระคริสต์
อิทธิพลของการบังเกิดใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ อำนาจของความรักที่ท่านมีในพระคริสต์ได้กระทำให้อุปนิสัยเปลี่ยนแปลงไป นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนเมื่อเราเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระเยซู เมื่อพระคริสต์ทรงสถิตอยู่ในจิตใจ ธรรมชาติทั้งหมดก็จะเปลี่ยนแปลง พระวิญญาณของพระคริสต์ ความรักของพระองค์ทำให้จิตใจอ่อนโยน วิญญาณจิตสงบและยกระดับความคิดและความปรารถนาไปยังพระเจ้าและสวรรค์ {SC 73.1}
เมื่อพระคริสต์เสด็จกลับสวรรค์
ผู้ติดตามของพระองค์ยังคงรู้สึกว่าพระองค์ยังสถิตร่วมอยู่ด้วย
เป็นความรู้สึกของการทรงสถิตอยู่ด้วยแบบส่วนตัว ซึ่งเต็มไปด้วยความรักและมีชีวิตชีวา พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดผู้ได้ทรงดำเนิน สนทนา
และอธิษฐานร่วมกับพวกเขา
พระองค์ผู้ได้ทรงตรัสความหวังและปลอบประโลมจิตใจของพวกเขา
ในขณะที่ข่าวสารแห่งสันติสุขยังอยู่ที่ริมพระโอษฐ์นั้น พระองค์ได้ถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ พระสุรเสียงของพระองค์ดังกลับมาจากหมู่เมฆอันเป็นที่ประกอบด้วยเหล่าทูตสวรรค์ที่กำลังรับพระองค์ขึ้นไปนั้นว่า “นี่แหละ เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:20)
พระองค์เสด็จขึ้นไปยังสวรรค์ด้วยพระวรกายของมนุษย์
พวกเขาทราบดีว่าพระองค์ที่ประทับอยู่เบื้องพระที่นั่งของพระเจ้ายังทรงเป็นพระสหายและพระผู้ช่วยให้รอดของเขา พระเมตตาของพระองค์ไม่แปรเปลี่ยน พระองค์ยังทรงมีส่วนร่วมกับมนุษยชาติที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก
พระองค์ทรงนำเสนออำนาจที่มีอยู่ในพระโลหิตประเสริฐต่อเบื้องพระพักตร์พระบิดาทรงแสดงให้เห็นบาดแผลที่พระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงราคาที่พระองค์ได้ทรงจ่ายเพื่อผู้ที่พระองค์ทรงไถ่ พวกเขาทราบดีว่าพระองค์ทรงเสด็จไปสวรรค์เพื่อเตรียมที่ให้พวกเขา
และพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกและรับพวกเขาให้ไปอยู่กับพระองค์ {SC 73.2}
เมื่อพวกเขาร่วมประชุมกันภายหลังจากที่พระองค์เสด็จกลับสวรรค์
พวกเขาร้อนรนเพื่อทูลขอต่อพระบิดาในนามของพระเยซู พวกเขาก้มลงอธิษฐานด้วยความเกรงขามและจริงจัง พวกเขาทบทวนคำสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดา
พระองค์จะประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่านในนามของเรา
แม้จนบัดนี้ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิด
แล้วจะได้เพื่อความชื่นชมยินดาของท่านจะมีเต็มเปี่ยม” (ยอห์น 16:23,24) พวกเขายื่นมือแห่งความเชื่อให้สูงขึ้นและสูงยิ่งขึ้นไป ด้วยข้อสรุปที่ยิ่งใหญ่ว่า “พระเยซูคริสต์.....ผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้วและยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิต
ณ
เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าและทรงอธิษฐานขอเพื่อเราทั้งหลายด้วย” (โรม 8:34) และในเทศกาลเพ็นเทคศเต
องค์พระผู้ช่วยก็ได้เสด็จมาอยู่ร่วมกับพวกเขาด้วย เป็นองค์พระผู้ช่วยที่พระคริสต์ทรงกล่าวถึงว่า “ทรงสถิตอยู่กับท่าน” และพระองค์ตรัสต่อไปอีกว่า “การที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระองค์ผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน” (ยอห์น 14:17; 16:7)
นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
พระคริสต์ก็ได้สถิตอยู่ร่วมในจิตใจของเหล่าบุตรทั้งหลายของพระองค์โดยทางพระวิญญาณอยู่ตลอดเวลา การเข้าร่วมเป็นหนึ่งระหว่างพวกเขากับพระองค์ก็ใกล้ชิดยิ่งกว่าในสมัยที่พระองค์ทรงอยู่ร่วมกับพวกเขา ความมีชีวิตชีวา
และความรักและอำนาจที่พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ร่วมกับพวกได้ส่องผ่านพวกเขาออกมา เพื่อให้มนุษย์ที่มองเห็นพวกเขาจะ “ประหลาดใจแล้วสำนึกว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู” (กิจการของอัครทูต 4:13) {SC 74.1}
พระคริสต์ทรงเป็นทุกสิ่งของเหล่าสาวกทั้งหลาย ในทุกวันนี้
พระองค์ทรงปรารถนาที่จะเป็นทุกสิ่งของบรรดาบุตรของพระองค์ด้วย เพราะในคำอธิษฐานสุดท้ายร่วมกับสาวกกลุ่มเล็กๆ
ที่มาเข้าเฝ้าพระองค์นั้น
พระองค์ตรัสว่า “ข้าพระองค์มิได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อคนทั้งหลายที่วางใจในข้าพระองค์เพราะถ้อยคำของเขา” (ยอห์น 17:20) {SC 75.1}
พระเยซูอธิษฐานเผื่อเราและพระองค์ทรงเชิญชวนให้เราเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระองค์
เหมือนเช่นที่พระองค์ทรงเป็นหนึ่งร่วมกับพระบิดา ช่างเป็นการเข้าร่วมเป็นหนึ่งที่ดีอะไรเช่นนี้ พระผู้ช่วยให้รอดทรงกล่าวถึงพระองค์เองว่า “พระบุตรจะกระทำสิ่งใดตามใจไม่ได้” “พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในเราได้ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์” (ยอห์น 5:19; 14:10)
เมื่อพระคริสต์ทรงร่วมสถิตอยู่ในจิตใจของเราแล้ว พระองค์จะทรงกระทำกิจอยู่ภายในเรา “ให้ท่านมีใจปรารถนาทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์” (ฟีลิปปี 2:13)
เราจะกระทำกิจเหมือนเช่นที่พระองค์ทรงทำ
เราจะแสดงออกด้วยวิญญาณจิตเดียวกัน
ด้วยประการฉะนี้ เราจะรักและเข้าสนิทกับพระองค์ เราจะ “เจริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์” (เอเฟซัส 4:15) {SC 75.2}
เคล็ดลับที่ 9
ชีวิตและการรับใช้
พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตและความสว่างและความสุขของจักรวาล เช่นเดียวกับแสงสว่างที่มาจากดวงอาทิตย์และเช่นเดียวกับสายธารน้ำที่พุ่งออกมาจากบ่อน้ำพุแห่งชีวิต พระพรของพระเจ้าจะไหลออกจากพระองค์ไปยังสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง
เมื่อจิตใจของมนุษย์คนใดมีชีวิตของพระเจ้าร่วมสถิตอยู่ด้วย
ความรักและพระพรของพระองค์จะไหลผ่านคนนั้นไปยังผู้อื่นด้วย {SC 77.1}
การไถ่มนุษย์ที่ล้มลงในบาปให้รอดและฉุดเขาขึ้นมาเป็นสิ่งที่นำความสุขมายังพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เพื่อทำการนี้ให้สำเร็จ
พระองค์ไม่ได้ทะนุถนอมชีวิตของพระองค์เองไว้ แต่ทรงยอมทนต่อกางเขนโดยไม่ใส่ใจต่อความละอาย
ทูตสวรรค์ก็มีส่วนที่ทำให้ผู้อื่นมีความสุขอยู่เสมอเช่นเดียวกัน นี่คือความชื่นชมยินดีของพวกเขา สำหรับผู้ที่มีจิตใจที่เห็นแก่ตัวนั้น พวกเขาจะถือว่าการปรนนิบัติผู้ยากไร้ที่มีสภาพและฐานะที่ด้อยกว่าในทุกๆ
ด้านเป็นงานที่ตกต่ำแต่การปรนนิบัติเช่นนี้เป็นงานที่ทูตสวรรค์ผู้ไม่มีบาปกระทำอยู่
วิญญาณแห่งการรับใช้อย่างไม่เห็นแก่ตัวของพระคริสต์จะแทรกซึมไปทั่วทั้งสวรรค์ เป็นหัวใจของความสุขที่แท้จริงของที่นั่น
ผู้ติดตามพระคริสต์จะต้องมีวิญญาณเช่นนี้เป็นภารกิจที่พวกเขาจะต้องทำ {SC 77.2}
เมื่อมีความรักของพระคริสต์ตั้งอยู่ในจิตใจของเรา
ความรักนั้นจะเป็นเหมือนกลิ่นอันหอมหวานซึ่งเราจะเก็บซ่อนไว้ไม่ได้
ทุกคนที่เข้ามาสัมผัสกับเราจะรู้สึกได้ถึงอิทธิพลอันศักดิ์สิทธิ์นี้
พระวิญญาณของพระคริสต์ที่ทรงร่วมสถิตอยู่ในจิตใจจะเป็นเหมือนบ่อน้ำพุกลางทะเลทราย
ซึ่งมีน้ำไหลรินออกมาสร้างความชุ่มชื่นและดับกระหายให้ผู้ที่กำลังใกล้จะพินาศที่ปรารถนาจะดื่มน้ำแห่งชีวิต {SC 77.3}
ความรักที่เรามีให้กับพระคริสต์จะแสดงออกให้เห็นเป็นความปรารถนาที่จะทำงานรับใช้เหมือนพระองค์เพื่อเป็นพระพรและยกชูมนุษยชาติให้สูงขึ้น การรับใช้นี้จะทำให้เกิดความรัก ความอ่อนโยน
และความเห็นใจต่อสรรพสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นมาซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของพระบิดาของเราในสวรรค์ {SC 77.4}
ชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอดในโลกนี้ไม่ใช่ชีวิตที่สะดวกสบายและไม่ใช่ชีวิตที่อุทิศเวลาเพื่อพระองค์เอง แต่พระองค์ทรงทำงานด้วยความหนักแน่นจริงใจ
และด้วยความเพียรที่ไม่เคยย่อท้อเพื่อนำความรอดมาให้แก่มนุษยชาติที่หลงหาย จากรางหญ้าไปจนถึงการเขนคาล์วารี พระองค์ทรงดำเนินไปตามทางที่ไม่มีการตามใจตนเองและไม่เคยหาทางหลีกหนีจากภารกิจที่ยากลำบากจากการเดินทางอันแสนเจ็บปวด
และไม่เคยหลีกหนีจากการใส่ใจและงานที่ทำให้หมดสิ้นเรี่ยวแรง พระองค์ตรัสว่า “บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อให้เขาปรนนิบัติแต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก” (มัทธิว 20:28)
นี่คือเป้าหมายเดียวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของพระองค์
ทุกสิ่งนอกเหนือจากนั้นเป็นเรื่องรองและไม่มีความสำคัญเท่า อาหารและเครื่องดื่มของพระองค์คือ
การทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าและทำพระราชกิจของพระองค์ให้สำเร็จ การทำเพื่อตัวเองและหาผลประโยชน์ให้กับตนเองไม่มีส่วนในพระราชกิจของพระองค์
{SC 78.1}
ดังนั้น
ผู้ที่มีส่วนในพระคุณของพระเจ้าจะมีความพร้อมที่จะเสียสละบางอย่างเพื่อคนอื่นที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์
เพื่อพวกเขาจะได้มีส่วนร่วมในของประทานจากสวรรค์ พวกเขาจะทำทุกสิ่งเท่าที่จะทำได้เพื่อทำให้โลกที่เขาอาศัยอยู่นั้นดีขึ้น
ความตั้งใจเช่นนี้เป็นผลที่เกิดขึ้นในจิตวิญญาณที่ได้กลับใจอย่างแท้จริง ในทันทีที่มีคนหนึ่งได้เข้ามาหาพระคริสต์
ความปรารถนาที่จะบอกให้ผู้อื่นทราบถึงพระสหายล้ำค่าที่เขาพบในองค์พระเยซูก็จะเกิดขึ้นในจิตใจของเขา เขาจะเก็บความจริงที่ช่วยให้รอดและชำระให้พ้นจากบาปไว้ในใจของเขาอย่างเงียบไม่ได้ หากเราสวมใส่ความชอบธรรมของพระคริสต์ไว้และเต็มล้นด้วยความสุขจากการมีพระวิญญาณของพระคริสต์ทรงร่วมสถิตอยู่ด้วย เราจะเก็บสันติสุขไว้อยู่กับตัวไม่ได้ หากเราเคยลิ้มรสและรู้ว่าพระเจ้าประเสริฐ เราจะมีเรื่องเล่าให้ผู้อื่นฟัง
เช่นเดียวกับฟิลิปเมื่อพบพระผู้ช่วยให้รอดเราจะเชิญชวนผู้อื่นให้เข้ามายังเบื้องพระพักตร์พระองค์ เราจะคอยบอกให้ทุกคนได้ทราบถึงความน่าประทับใจของพระคริสต์และสภาพที่แท้จริงของโลกที่กำลังจะมาถึงซึ่งตามองไม่เห็น จะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะติดตามทางที่พระคริสต์ได้ดำเนินไปแล้ว
จะมีความต้องการให้คนรอบข้างของเราได้หันไป “ดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย” (ยอห์น 1:29) {SC 78.2}
เมื่อเราทำให้ตัวของเราเป็นพระพรแก่ผู้อื่น พระพรนั้นก็จะย้อนกลับมาหาเรา
นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เรามีส่วนร่วมในแผนการแห่งการไถ่ให้รอด
พระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์มีส่วนในธรรมชาติของพระองค์และเพื่อให้มนุษย์กระจายพระพรไปให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
นี่เป็นเกียรติสูงสุดและเป็นความสุขยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าจะทรงประทานให้แก่มนุษย์ได้ ผู้ที่เข้ามาร่วมทำงานแห่งรักนี้
จะเข้ามาอยู่ใกล้ชิดพระผู้สร้างของเขาได้มากที่สุด {SC 79.1}
พระเจ้าอาจมอบหมายให้ทูตสวรรค์เป็นผู้ประกาศข่าวสารแห่งพระกิตติคุณและเป็นผู้รับภาระการรับใช้ด้วยรักทั้งหมด พระองค์อาจใช้วิธีอื่นๆ เพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ
แต่ด้วยความรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัดของพระองค์
พระเจ้าทรงเลือกเราให้เป็นผู้ร่วมงานกับพระองค์ กับพระคริสต์และกับทูตสวรรค์ เพื่อเราจะมีส่วนร่วมในพระพร ในความสุข
และยกระดับจิตวิญญาณให้สูงขึ้น
ซึ่งเป็นผลที่ได้จากงานของการรับใช้ที่ไม่เห็นแก่ตัว {SC 79.2}
โดยการร่วมทุกข์กับพระคริสต์ เราจะเข้าใจความทุกข์ยากของพระองค์
การยอมสละตนเองเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นจะทำให้วิญญาณแห่งการรู้จักแบ่งปันที่มีอยู่ในจิตใจของผู้ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น “พระองค์มั่งคั่ง พระองค์ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจนเพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย
เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งมีเนื่องจากความยากจนองพระองค์” (2 โครินธ์
8:9)
และนี่คือวิธีที่พระเจ้าจะใช้เพื่อให้เราทำตามพระประสงค์ของพระองค์ในการสร้างเราขึ้นมาสำเร็จ
เพื่อจะได้มีชีวิตที่เป็นพระพรสำหรับเราเอง {SC 79.3}
หากท่านจะออกไปทำงานรับใช้ตามที่พระคริสต์ทรงวางแผนให้สาวกของพระองค์ทำและนำจิตวิญญาณกลับมาหาพระองค์แล้ว
ท่านก็จะรู้สึกถึงความต้องการที่จะมีประสบการณ์ที่ลึกซึ้งมากขึ้นและความต้องการที่จะมีความรอบรู้เรื่องของพระเจ้ามากขึ้นกว่าเดิม และท่านก็จะรู้สึกหิวและกระหายความชอบธรรม
ท่านจะอ้อนวอนกับพระเจ้าและความเชื่อของท่านจะเข้มแข็งขึ้นและจิตวิญญาณของท่านจะดื่มน้ำที่ได้จากบ่อแห่งความรอดที่ลึกกว่าเดิม
เมื่อท่านต้องการเผชิญหน้ากับการต่อต้านและการทดลอง
ท่านจะถูกผลักให้ไปศึกษาพระคัมภีร์และอธิษฐาน ท่านจะเจริญขึ้นในพระคุณและความรอบรู้ในพระคริสต์และจะได้รับประสบการณ์ที่มีค่า {SC 80.1}
วิญญาณแห่งการรับใช้ผู้อื่นอย่างไม่เห็นแก่ตัวจะสร้างอุปนิสัยให้ลึกล้ำมั่นคง และน่ารักอย่างพระคริสต์
และนำสันติสุขและความผาสุกมาให้แก่ผู้ที่มีอุปนิสัยเช่นนี้ ความใฝ่ฝันนี้จะถูกปรับให้ยิ่งสูงขึ้นไป จะไม่มีช่องว่างสำหรับความเกียจคร้านหรือความเห็นแก่ตัว
ผู้ที่ดำรงชีวิตด้วยคุณความดีของคริสเตียนจะเจริญเติบใหญ่ขึ้นและจะเป็นคนเข้มแข็งที่จะทำงานรับใช้พระเจ้าได้ พวกเขาจะมีสายตาทางฝ่ายวิญญาณที่ชัดเจน ความเชื่อที่เติบใหญ่ขึ้นอย่างมั่นคงและการอธิษฐานของเขาจะมีอำนาจเพิ่มขึ้น
พระวิญญาณของพระเจ้าที่เคลื่อนไหวในเขาจะชักนำวิญญาณจิตของเขาให้สนองตอบต่อการสัมผัสของพระเจ้า
ทำให้ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอันศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นได้ ผู้ที่อุทิศตนอย่างไม่เห็นแก่ตัว
เพื่อสร้างประโยชน์แก่ผู้อื่นกำลังจัดการกับการสร้างความรอดของเขาเองอย่างแน่นอน {SC 80.2}
วิธีเดียวที่จะเจริญขึ้นในพระคุณคือ
การทำงานทุกอย่างที่พระคริสต์ทรงมอบหมายให้เราทำอย่างไม่คิดถึงประโยชน์ส่วนตน
ลงมือทำงานอย่างสุดความสามารถของเราเพื่อให้ความช่วยเหลือและเป็นพระพรให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือซึ่งเราช่วยเขาได้ กำลังฝ่ายกายจะได้มาด้วยการออกกำลังกาย
กิจกรรมแห่งการรับใช้เป็นส่วนสำคัญของชีวิต
ผู้ที่พยายามรักษาชีวิตคริสเตียนด้วยการคอยแต่จะรับพระพรที่ได้มาโดยพระคุณและไม่ทำอะไรเพื่อพระคริสต์เลย
ก็เปรียบเหมือนคนที่มีชีวิตที่คอยแต่จะกินโดยไม่ทำงาน และผลจากการทำเช่นนี้ของชีวิตฝ่ายวิญญาณก็มีความคล้ายคลึงกับชีวิตในโลกธรรมชาติ
นั่นคือ
มักจะนำไปสู่ความเสื่อมโทรมและหมดสภาพ
ผู้ที่ไม่ยอมใช้แขนขา ในไม่ช้าก็จะสูญเสียความสามารถไปจนหมด ดังนั้น
คริสเตียนที่ไม่ยอมนำพละกำลังที่พระเจ้าทรงประทานให้ออกมาใช้ เขาไม่เพียงแต่จะไม่เติบใหญ่ขึ้นในพระคริสต์เท่านั้น
แต่จะสูญเสียพละกำลังที่เขามีอยู่แล้วไปด้วย {SC 80.3}
คริสตจักรของพระคริสต์เป็นตัวแทนที่พระเจ้าทรงจัดตั้งไว้เพื่อความรอดของมนุษย์
พันธกิจของคือการประกาศพระกิตติคุณออกไปทั่วโลก หน้าที่นี้ถูกจัดไว้ให้คริสเตียนทุกคน ทุกคนต้องทำหน้าที่ตามพระบัญชาของพระผู้ช่วยให้รอดตามแต่ขนาดความสามารถและโอกาสที่เขามี
ความรักของพระคริสต์ที่ทรงเปิดไว้ให้แก่เรา
ทำให้เราเป็นหนี้คนทั้งหลายที่ยังไม่รู้จักพระองค์ พระเจ้าทรงประทานแสงสว่างให้แก่เรา ไม่ใช่มีไว้สำหรับตัวเราเองเท่านั้น แต่เพื่อให้เราส่องแสงสว่างนั้นไปให้แก่ผู้อื่น {SC
81.1}
หากผู้ติดตามของพระคริสต์จะตื่นตัวในหน้าที่ของเขาแล้ว จะมีคนนับเป็นพันๆ
ออกไปประกาศพระกิตติคุณในดินแดนที่ยังไม่มีผู้เชื่อพระเจ้าแทนที่จะมีคนประกาศอยู่เพียงคนเดียวอย่างเช่นทุกวันนี้ และทุกคนที่ไม่สามารถลงมือทำงานเหล่านี้ด้วยตัวเองได้ ก็จะสนับสนุนงานเหล่านั้นด้วยทรัพย์ของเขา ความเห็นใจและคำอธิษฐานของเขา และในประเทศที่มีคริสเตียนจะมีการทำงานเพื่อจิตวิญญาณด้วยความจริงใจมากยิ่งขึ้น {SC 81.2}
เราไม่จำเป็นต้องไปยังดินแดนที่ห่างไกลหรือแม้แต่ออกไปจากสังคมวงแคบของบ้าน
หากมีหน้าที่ที่เราต้องทำเพื่อพระคริสต์ที่นั่น เราทำงานเช่นนี้ได้ในแวดวงของบ้าน ในคริสตจักร
กับผู้ที่เราคบหาสมาคมด้วย
และกับผู้ที่เราทำธุรกิจด้วย {SC
81.3}
เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดของเรามีชีวิตอยู่ในโลก พระองค์ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำงานอย่างอดทนภายในร้านช่างไม้ที่เมืองนาซาเร็ธ
ทูตสวรรค์ผู้รับใช้คอยเฝ้าติดตามพระเจ้าแห่งชีวิตในขณะที่ทรงดำเนินอยู่เคียงข้างคนยากจนและผู้ที่ใช้แรงงาน พระองค์ไม่ได้รับการยอมรับและไม่ได้รับพระเกียรติ
พระองค์ทรงทำหน้าที่ของพระองค์อย่างสัตย์ซื่อทั้งในขณะที่ทรงประกอบธุรกิจอันต่ำต้อยพอๆ
กับในขณะที่ทรงรักษาผู้ป่วยหรือดำเนินอยู่ท่ามกลางคลื่นลมอันปั่นป่วนของทะเลกาลิสี ดังนั้น
เราก็จะดำเนินและทำงานร่วมกับพระเยซูได้ในหน้าที่และตำแหน่งที่ต่ำต้อยที่สุดของชีวิต {SC 81.4}
อัครทูตกล่าวว่า ให้ “ทุกคนดำรงอยู่ในฐานะอันใดเมื่อพระเจ้าทรงเรียกก็ให้ผู้นั้นอยู่กับพระเจ้าในฐานะนั้น” (1 โครินธ์
7:24)
นักธุรกิจจะประกอบธุรกิจของเขาด้วยความซื่อตรงเพื่อถวายเกียรติแด่พระอาจารย์ของเขาหากเขาเป็นผู้ติดตามที่แท้จริงของพระคริสต์
เขาก็จะนำศาสนาของเขาเข้าไปในทุกที่และแสดงให้มนุษย์เห็นวิญญาณของพระคริสต์
นายช่างที่ขยันขันแข็งและสัตย์ซื่อก็จะเป็นตัวแทนของพระองค์ผู้ทรงทำงานท่ามกลางผู้ที่ต่ำต้อย ณ
กลางหุบเขาแห่งกาลิสี
ทุกคนที่นำพระนามของพระคริสต์มาใช้
จะทำตามหน้าที่ของเขา
จนเมื่อผู้อื่นมองเห็นการงานที่ดีของเขาแล้วจะสรรเสริญพระผู้สร้างและพระผู้ไถ่ของเขา {SC 82.1}
มีคนจำนวนมากแก้ตัวกับการไม่ยอมนำของประทานที่เขามีอยู่มาถวายรับใช้พระคริสต์ด้วยให้เหตุผลว่า
มีผู้อื่นที่มีของประทานที่ดีกว่าและมีความสามารถที่เหนือกว่า มักมีความคิดเห็นที่แพร่หลายว่า
ผู้ที่มีความสามารถพิเศษเท่านั้นที่ต้องนำความสามารถของเขามามอบถวายรับใช้พระเจ้า
คนมากมายเข้าใจว่าความสามารถพิเศษนั้นทรงโปรดประทานให้แก่กลุ่มคนที่ได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ
จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้ามาแบ่งรับภาระหรือการตอบแทน แต่ในคำอุปมามิได้สอนไว้เช่นนี้ เมื่อเจ้าของบ้านเรียกบ่าวของท่านเข้ามาพบ ท่านได้มอบหมายงานให้ทุกคนทำ {SC 82.2}
ด้วยจิตวิญญาณแห่งรัก
เราจะทำหน้าที่ที่ต่ำต้อยที่สุดในชีวิตเพื่อ “ทำถวายพระองค์พระผู้เป็นเจ้า” (โคโลสี 3:23)
หากความรักของพระเจ้าอยู่ในจิตใจแล้ว
ชีวิตนั้นก็จะแสดงความรักนั้นออกมา
กลิ่นอันหอมหวานของพระคริสต์จะอยู่รอบตัวเรา และอิทธิพลของเราจะเด่นขึ้นมาและทำให้ผู้อื่นได้รับพระพร {SC 82.3}
ท่านไม่ต้องคอยโอกาสที่ยิ่งใหญ่หรือหวังให้มีความสามารถพิเศษก่อนแล้วจึงค่อยออกไปทำงานรับใช้พระเจ้า ท่านต้องไม่คิดว่า โลกจะคิดอย่างไรกับท่าน หากชีวิตประจำวันของท่านเป็นพยานถึงความเชื่อของท่านที่บริสุทธิ์และสัตย์จริง และคนอื่นๆ
ก็มั่นใจว่าท่านต้องการให้พวกเขาได้รับประโยชน์
ความพยายามของท่านก็จะไม่สูญเปล่า {SC
83.1}
สาวกที่ต่ำต้อยและเลวที่สุดของพระเยซูยังทำตัวให้เป็นพระพรแก่ผู้อื่นได้ พวกเขาอาจจะไม่เคยตระหนักว่าได้ทำอะไรที่ดีเป็นพิเศษ แต่จากอิทธิพลที่เขาทำไปโดยไม่รู้ตัวนั้น
ทำให้เกิดคลื่นแห่งพระพรที่จะขยายออกเป็นวงกว้างและฝังลึกยิ่งขึ้น และพวกเขาก็ไม่เคยรับรู้ถึงผลลัพธ์ที่เป็นพระพรนั้นเลยจนกว่าจะถึงวันนั้น วันที่การกระทำของเขาจะได้รับผลตอบแทน พวกเขาไม่ได้รู้สึกหรือไม่ได้คิดว่า สิ่งที่เขาทำลงไปนั้นยิ่งใหญ่เพียงไร พวกเขาไม่เคยกังวลใจถึงเรื่องความสำเร็จ เขาเพียงแต่ต้องมุ่งไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ
ทำงานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้อย่างซื่อสัตย์
และชีวิตของเขาก็จะไม่สูญเปล่า
จิตวิญญาณของเขาจะเติบใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนคล้ายคลึงกับของพระคริสต์ ขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ พวกเขาเป็นคนทำงานร่วมกับพระเจ้า และด้วยเหตุนี้ ในชีวิตที่จะมาถึงนั้น
พวกเขาจึงเหมาะที่จะทำงานที่สูงส่งกว่าและได้รับความสุขที่ไม่มีเงามืดมาบดบัง {SC 83.2}
เคล็ดลับที่ 10
รู้จักพระเจ้า
พระเจ้าทรงใช้วิธีมากมายเพื่อนำเราให้มารู้จักพระองค์และนำเราเข้ามาสื่อสัมพันธ์กับพระองค์ ธรรมชาติไม่เคยหยุดเตือนความรู้สึกของเรา
จิตใจที่เปิดกว้างจะซาบซึ้งในความรักและพระสิริของพระเจ้าที่เปิดเผยผ่านพระหัตถกิจของพระองค์ หูที่ตั้งใจฟังจะได้ยินและเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงใช้สื่อผ่านสรรพสิ่งในธรรมชาติ ทุ่งนาเขียวชอุ่ม ต้นไม้สูงตระหง่าน ดอกตูมและดอกบาน ก้อนเมฆที่ลอยผ่านไปมา สายฝนที่ตกลงมา เสียงน้ำไหลของลำธาร รัศมีเจิดจ้าของท้องฟ้า
สิ่งเหล่านี้ล้วนพูดกับจิตใจของเราและเชิญชวนให้เรามาทำความรู้จักพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งเหล่านั้น {SC 85.1}
พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงนำบทเรียนอันมีค่าของพระองค์มาเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ
ในธรรมชาติ ต้นไม้ นก
ดอกไม้ในหุบเขา เนินเขา ทะเลสาบ
และท้องฟ้าที่สวยงาม
รวมทั้งเหตุการณ์และสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของเรา พระองค์นำสิ่งเหล่านี้มาเชื่อมต่อกับพระวจนะแห่งความจริงเพื่อเราจะจดจำบทเรียนต่างๆ
ของพระองค์อยู่เสมอ
แม้ในช่วงเวลาที่เรากำลังยุ่งอยู่กับภารกิจในชีวิตของเราก็ตาม {SC 85.2}
พระเจ้าทรงประสงค์ให้เหล่าบุตรทั้งหลายของพระองค์พึงพอใจในพระหัตถกิจของพระองค์และชื่นชมกับความงามอันเรียบง่ายและสงบเงียบที่พระองค์ทรงใช้ประดับบ้านของเราในโลกนี้
พระองค์ทรงเป็นผู้ที่รักความสวยงามและเหนือความงดงามภายนอกใดๆ
พระองค์ทรงโปรดปรานอุปนิสัยที่งดงามมากยิ่งกว่า
พระองค์ทรงประสงค์ให้เราบ่มเพาะนิสัยที่บริสุทธิ์และเรียบง่ายซึ่งเป็นเหมือนความงดงามที่เรียบง่ายของดอกไม้ทั้งปวง {SC 85.3}
ถ้าหากเราเพียงแต่ยอมฟัง
สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างจะสอนบทเรียนแห่งการเชื่อฟังและการวางใจที่มีคุณค่ายิ่งให้แก่เรา
นับตั้งแต่ดวงดาวบนท้องนภาที่โคจรไปในอวกาศตามเส้นทางของมันจากยุคหนึ่งไปสู่อีกยุคหนึ่งโดยที่ดวงดาวเหล่านั้นไม่มีลู่ทางให้มันเดิน จนถึงอะตอมขนาดเล็กที่สุด
ทุกสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติเชื่อฟังตามพระบัญชาของพระผู้สร้าง และพระเจ้าทรงใส่พระทัยทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง และพระองค์ทรงบำรุงรักษาสิ่งเหล่านั้น
พระองค์ทรงค้ำจุนโลกจำนวนนับไม่ถ้วนที่กระจายอยู่ในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล และในเวลาเดียวกัน
พระองค์ทรงใส่พระทัยต่อความต้องการของนกกระจอกสีน้ำตาลตัวน้อยๆ
ที่ร้องเพลงอย่างแผ่วเบาโดยปราศจากความกลัว
พระบิดาบนสวรรค์ทรงเฝ้ามองดูมนุษย์ทุกคนด้วยความเอ็นดู
ไม่ว่าจะเป็นในขณะที่พวกเขาออกไปทำงานตรากตรำของชีวิตประจำวัน
พระองค์ทรงเฝ้าเช่นเดียวกับในขณะเมื่อเขาอธิษฐานอยู่ เมื่อเขานอนลงในยามค่ำคืน และเมื่อเขาลุกขึ้นในเวลาเช้า
เมื่อคนร่ำรวยเลี้ยงฉลองกันในคฤหาสน์หรือเมื่อคนยากจนกับลูกๆ
นั่งล้อมรอบโต๊ะอาหารที่มีอาหารแต่เพียงเล็กน้อย
ไม่มีหยาดน้ำตาใดที่ไหลออกมาโดยที่พระเจ้าไม่ได้สังเกต ไม่มีรอยยิ้มใดที่พระองค์ไม่ได้มองเห็น {SC 85.4}
หากเราจะเชื่อเช่นนี้ด้วยความเต็มใจแล้ว เราก็จะขจัดความกังวลที่ไม่จำเป็นทั้งหมดออกไปได้
ชีวิตของเราจะไม่เต็มไปด้วยความผิดหวังเหมือนกับสภาพที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ เพราะทุกสิ่ง
ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กน้อยสักเพียงใด
จะจัดวางไว้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า
ความกังวลใจมากมายหลากหลายและภาระที่หนักจะไม่ไปรบกวนพระองค์ และจิตวิญญาณของเราจะได้ชื่นชมกับการพักผ่อนซึ่งคนมากมายปรารถนาที่จะรับ {SC 86.1}
เมื่อท่านรู้สึกประทับใจกับความสวยงามที่ดึงดูดใจของโลกนี้แล้ว
ขอให้ท่านลองคิดถึงโลกที่กำลังจะมาถึงในภายภาคหน้า ซึ่งเป็นโลกที่ไม่เคยประสบกับความหายนะของความบาปและความตาย
ไม่มีเงามืดแห่งคำแช่งสาปบดบังพื้นผิวของธรรมชาติ
ให้ท่านจินตนาการถึงบ้านที่บรรดาคนที่ได้รับความรอดจะไปอยู่อาศัย และขอให้ท่านจดจำไว้ว่า บ้านหลังนั้นจะยิ่งใหญ่กว่าการจินตนาการที่ดีที่สุดของเราจะคิดพรรณนาขึ้นมาได้ จากของประทานมากมายของพระเจ้าที่มีอยู่ในธรรมชาติ
เรามองเห็นพระสิริของพระเจ้าได้แค่เพียงเลือนรางเท่านั้น พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า ”สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน
และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึงคือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์” .(1 โครินธ์ 2:9) {SC 86.2}
กวีและนักธรรมชาติวิทยามีเรื่องมากมายที่จะพูดถึงธรรมชาติ
แต่มีเพียงคริสเตียนเท่านั้นที่จะชื่นชมกับความงดงามของโลกด้วยความซาบซึ้งใจที่สุด เพราะพวกเขามองเห็นพระหัตถกิจของพระบิดาและรับรู้ถึงความรักของพระองค์ที่มองเห็นได้ในดอกไม้ พุ่มไม้และต้นไม้
ไม่มีผู้ใดจะเข้าใจความสำคัญของเนินเขาและหุบเขา แม่น้ำและทะเลได้อย่างเต็มที่
โดยที่เขามองไม่เห็นว่าสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความรักที่พระเจ้าทรงมีไว้ให้แก่มนุษย์ {SC 87.1}
พระเจ้าตรัสกับเราโดยผ่านทางพระราชกิจของพระองค์และโดยผ่านทางอิทธิพลของพระวิญญาณที่มีต่อจิตใจ ในสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา ในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวของเรา
หากเราจะเปิดใจกว้างเพื่อเข้าใจสิ่งเหล่านั้น เราจะรับบทเรียนอันมีค่ามากมาย เมื่อผู้ประพันธ์สดุดีได้ติดตามพระราชกิจแห่งการทรงนำของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงตรัสว่า “แผ่นดินโลกเต็มไปด้วยความรักมั่นคงของพระเจ้า” “ผู้ใดฉลาดก็ขอให้ฟังสิ่งเหล่านี้ให้เขาพิจารณาถึงความรักมั่นคงของพระเจ้า” (สดุดี 33:5;
107:43) {SC 87.2}
พระเจ้าทรงตรัสกับเราโดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์ ในพระวจนะซึ่งได้เปิดเผยไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้เราทราบถึงพระอุปนิสัยของพระองค์
วิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์และพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของการไถ่ให้รอด
พระวจนะนี้ทำให้เรามองเห็นประวัติศาสตร์ของเหล่าปิตุลาและผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมของพระเจ้าที่มีชีวิตอยู่ในอดีต พวกเขา
“เป็นคนเหมือนอย่างเราทุกประการ” (ยากอบ 5:17)
เราเห็นเขาเหล่านั้นต่อสู้กับความท้อแท้เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับเรา
เห็นพวกเขาพ่ายแพ้ต่อการทดลองเหมือนกับที่เราประสบ แต่ถึงกระนั้น
พวกเขากลับใจและได้รับชัยชนะโดยพระคุณของพระเจ้า และด้วยการมองไปยังคนเหล่านี้
เราจะได้กำลังใจในการปล้ำสู้เพื่อความชอบธรรม
ในขณะที่เราอ่านเรื่องของประสบการณ์อันมีค่าที่ทรงโปรดประทานให้แก่พวกเขา
เรื่องของแสงสว่างและความรักและพระพรที่พวกเขาชื่นชอบ และเรื่องของผลงานที่เขาทำโดยพระคุณที่ทรงโปรดประทานให้นั้นพระวิญญาณที่ทรงดลใจเขาเหล่านั้นจะจุดประกายขึ้นในจิตใจของเรา
เพื่อให้พวกเราทำตามสิ่งที่บริสุทธิ์นั้นและทำให้เราต้องการมีอุปนิสัยเหมือนเช่นพวกเขา นั่นคือ
ได้ดำเนินร่วมไปกับพระเจ้าเหมือนที่พวกเขาเคยทำมาแล้ว {SC 87.3}
พระเยซูตรัสถึงพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมว่า
“พระคัมภีร์นั้นเป็นพยานให้แก่เรา” (ยอห์น 5:39)
และพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่กล่าวถึงพระองค์มากกว่าพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม พระคัมภีร์กล่าวถึงองค์พระผู้ไถ่ ผู้ทรงเป็นศูนย์กลางของความหวังแห่งชีวิตนิรันดร์ของเรา พระคัมภีร์ทั้งเล่มกล่าวถึงพระคริสต์
เริ่มตั้งแต่บันทึกครั้งแรกสุดเกี่ยวกับการทรงสร้างโลกที่กล่าวว่า “ในบรรดาที่เป็นมานั้นไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระวาทะ” (ยอห์น 1:3)
จนถึงพระสัญญาสุดท้ายในพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า “เราจะมาในเร็วๆ นี้แน่นอน” (วิวรณ์ 22:12)
เรากำลังอ่านพระราชกิจของพระองค์และคอยฟังพระสุรเสียงของพระองค์
หากท่านต้องการรู้จักพระผู้ช่วยให้รอดก็ขอให้ท่านศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์ {SC 88.1}
จงเติมพระวจนะของพระเจ้าเข้าไปในจิตใจของเราให้เต็มล้น พระวจนะของพระเจ้าเป็นเหมือนน้ำพุแห่งชีวิตที่ดับความกระหาย
พระวจนะของพระเจ้าเป็นทิพย์อาหารแห่งชีวิตที่มาจากสวรรค์ พระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านไม่กินเนื้อและไม่ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่าน”
แล้วพระองค์ทรงอธิบายความหมายของข้อความเหล่านี้ด้วยการตรัสว่า “ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้นเป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต” (ยอห์น 6:53, 63) ร่างกายของเราสร้างมาจากสิ่งที่เรารับประทานและดื่มเข้าไป
ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณมีลักษณะคล้ายคลึงชีวิตทางฝ่ายกาย
สิ่งที่เรานำมาไตร่ตรองจะสร้างสมรรถภาพและพละกำลังให้แก่จิตวิญญาณของเรา {SC 88.2}
การไถ่ให้รอดเป็นหัวข้อที่บรรดาเหล่าทูตสวรรค์ปรารถนาจะติดตามหัวข้อนี้จะเป็นศาสตร์และบทเพลงของบรรดาผู้ที่ได้รับความรอดตลอดทุกยุคสมัยอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
เรื่องนี้ไม่มีค่าเพียงพอที่จะไตร่ตรองและศึกษาอย่างระมัดระวังในปัจจุบันนี้หรือ พระเมตตาคุณและความรักของพระเยซูอันไม่มีขอบเขต การเสียสละที่พระองค์ทรงกระทำให้แก่เรา
เชิญชวนให้เราไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างจริงจังและเคร่งขรึมที่สุด เราจะต้องไตร่ตรองถึงพระลักษณะขององค์พระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ทรงเป็นนายที่รักของเรา
เราจะต้องเพ่งพินิจถึงพันธกิจของพระองค์ที่เสด็จมาช่วยประชากรของพระองค์ให้รอดพ้นจากความบาปของเขา ในขณะที่เราใคร่ครวญเรื่องที่มาจากสวรรค์
ความเชื่อและความรักที่มีอยู่ในตัวของเราก็จะมั่นคงยิ่งขึ้น และพระเจ้าจะทรงยอมรับคำอธิษฐานของเรามากยิ่งขึ้น
เพราะคำอธิษฐานนั้นจะประกอบด้วยความเชื่อและความรักที่เด่นชัดขึ้น พวกเขาจะมีปัญญาและมีความร้อนรน
จะมีความวางใจในพระเยซูได้แน่วแน่มากยิ่งขึ้น และในทุกๆ วัน
พวกเขาก็จะได้รับประสบการณ์ชีวิตโดยอาศัยอำนาจแห่งการช่วยให้รอดของพระองค์ที่ทรงนำทุกคนที่เข้ามาหาพระเจ้าโดยทางพระเยซู {SC 88.3}
เมื่อเราใคร่ครวญถึงความดีรอบคอบขององค์พระผู้ช่วยให้รอด เราก็ปรารถนาที่จะรับการเปลี่ยนแปลงและรับการสร้างใหม่อย่างหมดสิ้นในพระฉายาอันบริสุทธิ์ของพระองค์
จิตวิญญาณจะหิวกระหายที่จะเป็นเหมือนพระองค์ที่เรารักบูชา เมื่อเรานึกคิดถึงพระคริสต์มากขึ้นเพียงไร เราก็จะกล่าวถึงพระองค์ให้ผู้อื่นฟังและเป็นตัวแทนของพระองค์ในโลกนี้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น {SC 89.1}
พระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่ได้เขียนให้ผู้คงแก่เรียนเท่านั้น
ในทางกลับกันพระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้คนสามัญทั่วไป
ด้วยความจริงยิ่งใหญ่ที่จำเป็นต่อความรอดนั้นแจ่มแจ้งชัดเจน ดังเช่นเวลาเที่ยงวัน และจะไม่มีผู้ใดเข้าใจผิดและหลงทางไปได้
นอกจากผู้ที่ทำตามความคิดของตนเองแทนพระประสงค์ของพระเจ้าที่ได้ทรงเปิดเผยไว้อย่างชัดเจน {SC 89.2}
เราจะต้องไม่เชื่อคำพูดของผู้อื่นมากเท่ากับการเชื่อในสิ่งที่พระคัมภีร์สอน
แต่เราจะต้องศึกษาพระวจนะของพระเจ้าด้วยตนเอง หากเราปล่อยให้คนอื่นคิดแทนเรา
พลังความคิดของเราจะพิการไปและความสามารถของเราก็จะหดหายไป พลังสมองอันประเสริฐจะแคระแกร็น เพราะขาดการฝึกฝนในหัวข้อที่มีคุณค่าซึ่งต้องเอาใจใส่จนทำให้ความสามารถในการเข้าใจความหมายลึกซึ้งในพระวจนะของพระเจ้าขาดหายไป ความนึกคิดจะเพิ่มพูนขึ้นถ้านำไปใช้เพื่อติดตามความสัมพันธ์ของเรื่องต่างๆ
ในพระคัมภีร์โดยเปรียบเทียบข้อพระคัมภีร์ด้วยข้อพระคัมภีร์
และเรื่องของฝ่ายจิตวิญญาณด้วยเรื่องของฝ่ายวิญญาณ {SC 89.3}
ไม่มีสิ่งใดที่จะเสริมสร้างสติปัญญาให้แข็งแกร่งขึ้นได้ดีกว่าการศึกษาพระคัมภีร์
ไม่มีหนังสือเล่มใดที่มีอำนาจในการยกระดับความคิด
สร้างความกระชุ่มกระชวยให้แก่สติปัญญาได้ดีเท่ากับความจริงอันกว้างขวางและสูงส่งของพระคัมภีร์
ถ้าหากทุกคนจะศึกษาพระวจนะของพระเจ้าอย่างที่เขาควรจะทำแล้ว มนุษย์จะมีความคิดที่เปิดกว้าง มีอุปนิสัยที่สง่างาม และมีความมุ่งหมายมั่นคงที่มีให้เห็นน้อยมากในยุคนี้ {SC 90.1}
แต่การอ่านพระคัมภีร์อย่างรีบเร่งจะให้ประโยชน์เพียงเล็กน้อย บางคนอ่านพระคัมภีร์จนจบเล่ม
แต่มองไม่เห็นความงดงามและไม่เข้าใจความหมายอันลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ภายใน การศึกษาพระคัมภีร์เพียงตอนหนึ่งจนกระทั่งสมองเข้าใจความสำคัญของพระคัมภีร์ข้อนั้นอย่างชัดเจน
และมองเห็นหลักฐานที่สัมพันธ์กับแผนการแห่งความรอด
จะมีค่ามากยิ่งกว่าการอ่านหลายบทโดยไม่มีเป้าหมายแน่นอนและไม่ได้รับคำสอนที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ขอให้ท่านนำพระคัมภีร์ติดตัวไว้เสมอ เมื่อมีโอกาสให้เปิดอ่าน ใส่ข้อพระคัมภีร์เข้าไปในความจำของท่าน แม้ในขณะที่เดินอยู่ตามถนน
ท่านอาจจะอ่านพระคัมภีร์สักตอนหนึ่งและใคร่ครวญถึงตอนนั้น
การทำเช่นนี้จะทำให้สมองจดจำข้อพระคัมภีร์ได้ดี {SC 90.2}
การไม่ใส่ใจศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจังและการไม่อธิษฐานจะทำให้เราไม่ได้รับปัญญา
มีพระคัมภีร์บางตอนที่กล่าวไว้ชัดเจนมากจนไม่มีทางที่จะเข้าใจผิดได้
แต่ก็มีพระคัมภีร์หลายตอนที่ไม่ได้มีความหมายอย่างผิวเผินที่จะให้เราเข้าใจได้ด้วยการมองแค่เพียงผ่านตา
เราจะต้องเอาข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่งมาเปรียบเทียบกับข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่ง เราจะต้องค้นคว้าอย่างเอาใจใส่และไตร่ตรองคิดคำนึงด้วยการอธิษฐาน
และการศึกษาเช่นนี้จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
คนทำเหมืองได้ค้นพบสายแร่อันมีค่าที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผิดโลกเช่นไร
ผู้ที่ศึกษาค้นหาพระวจนะของพระเจ้าด้วยความพากเพียรเหมือนเช่นการค้นหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้จะพบความจริงล้ำค่าที่สุดเช่นเดียวกัน
เป็นความจริงที่ถูกปกปิดจากสายตาของผู้ที่แสวงหาอย่างไม่ตั้งใจ
เมื่อจิตใจไตร่ตรองพระวจนะที่ได้รับการดลใจ พระวจนะนั้นก็จะเป็นธารน้ำที่ไหลออกมาจากน้ำพุแห่งชีวิต {SC 90.3}
อย่าศึกษาพระคัมภีร์โดยไม่อธิษฐาน ก่อนที่จะเปิดหน้าพระคัมภีร์เราจะต้องทูลขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานความกระจ่างแก่เรา และพระองค์จะทรงประทานให้ เมื่อนาธานาเอลมาหาพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอดทรงประกาศว่า “ดูเถิด ชนอิสราเอลแท้ในตัวเขาไม่มีอุบาย” นาธานาเอลทูลถามว่า “พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์ได้อย่างไร” พระเยซูตรัสตอบว่า “ก่อนที่ฟิลิปจะเรียกท่าน เมื่อท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น เราเห็นท่าน” (ยอห์น 1:47, 48)
และพระเยซูจะทรงทอดพระเนตรเราในที่ลี้ลับแห่งการอธิษฐานด้วยเช่นกัน
หากเราจะแสวงหาพระองค์เพื่อขอแสงสว่างที่เราจะได้รู้ว่าความจริงคืออะไร ทูตสวรรค์ที่มาจากโลกแห่งความสว่างจะร่วมอยู่กับผู้ที่แสวงหาการทรงนำของพระเจ้าด้วยจิตใจที่ถ่อมตน {SC 91.1)
พระวิญญาณบริสุทธิ์เชิดชูและถวายเกียรติพระผู้ช่วยให้รอด
เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่นำเสนอพระคริสต์
ความชอบธรรมอันบริสุทธิ์ของพระองค์แล้วความรอดยิ่งใหญ่ที่เราจะได้รับโดยทางพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “พระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย” (ยอห์น 16:14)
พระวิญญาณแห่งความจริงทรงเป็นพระอาจารย์ผู้สอนเรื่องของพระเจ้าได้อย่างเกิดผลเพียงพระองค์เดียว พระเจ้าทรงประเมินค่าของเผ่าพันธุ์มนุษย์มากเพียงไรในการที่พระองค์ได้ทรงประทานพระบุตรของพระองค์ให้ลงมาสิ้นพระชนม์เพื่อเขาและทรงบัญชาพระวิญญาณของพระองค์ให้เสด็จมาเป็นพระอาจารย์และพระผู้ทรงนำของมนุษย์ตลอดไป {SC 91.2}
เคล็ดลับที่
11
อภิสิทธิ์ของการอธิษฐาน
พระเจ้าตรัสกับเราโดยทางธรรมชาติและโดยทางพระคัมภีร์ โดยการทรงนำของพระองค์และโดยอิทธิพลของพระวิญญาณของพระองค์ แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่พอ
เราจำเป็นต้องเปิดจิตใจของเราออกให้แก่พระองค์ เราต้องมีการสื่อสัมพันธ์กับพระบิดาในสวรรค์ของเรา
เพื่อเราจะได้มีชีวิตและพละกำลังฝ่ายวิญญาณ ความนึกคิดของเราจะต้องถูกดึงเข้าไปหาพระองค์ เราใคร่ครวญถึงพระราชกิจของพระองค์
หากเราต้องการสื่อสัมพันธ์อย่างสนิทสนมร่วมกับพระเจ้าแล้ว เราจะต้องมีเรื่องราวในชีวิตของเราที่จะนำขึ้นทูลต่อพระองค์ได้ {SC 93.1}
การอธิษฐานเป็นการเปิดอกพูดคุยกับพระเจ้าเหมือนเราเปิดอกพูดกับเพื่อนฝูง
การอธิษฐานไม่ได้มีไว้เพื่อให้พระเจ้ารู้จักเรา แต่มีไว้เพื่อให้เราต้อนรับพระองค์ การอธิษฐานไม่ได้นำพระเจ้าลงมาหาเรา แต่นำเราขึ้นไปหาพระองค์ {SC 93.2}
เมื่อพระเยซูเสด็จมาอยู่ในโลกนั้น พระองค์ทรงสอนสาวกวิธีอธิฐาน พระองค์ทรงสอนให้พวกเขานำความต้องการของแต่ละวันทูลขอต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า และมอบความกังวลใจทั้งหมดให้พระองค์
และพระองค์ทรงประทานความเชื่อมั่นให้แก่พวกเขาว่า พระเจ้าจะสดับฟังคำทูลขอของพวกเขา
นี่เป็นความเชื่อมั่นที่ทรงโปรดประทานให้แก่พวกเราด้วย {SC 93.3}
ในขณะที่พระเยซูทรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์นั้น พระองค์ทรงอธิษฐานอยู่เสมอ
พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงนำตัวของพระองค์เองให้เข้ามามีส่วนในความต้องการและความอ่อนแอของเรา พระองค์ทรงอ้อนวอน ทรงทูลขอ
ทรงเสาะแสวงหาแหล่งกำลังที่สดใหม่จากพระบิดาเพื่อให้พระองค์พร้อมที่จะก้าวมารับหน้าที่และการทดลองได้ พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของเราในทุกเรื่อง ทรงเป็นพี่ชายในความอ่อนแอของเรา พระองค์
“ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ”
แต่ในสภาพของผู้ที่ปราศจากบาปนั้น
ธรรมชาติของพระองค์ทรงออกห่างไปจากความชั่ว
พระองค์ทรงอดทนกับการดิ้นรนและการทรมานของจิตวิญญาณในโลกแห่งความบาป ในขณะที่พระองค์ทรงสภาพเป็นมนุษย์นั้น
การอธิษฐานเป็นเรื่องจำเป็นและเป็นอภิสิทธิ์ของพระองค์ พระองค์ได้รับการปลอบประโลมใจและความสุขจากการสื่อสัมพันธ์กับพระบิดา
และหากพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ผู้ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า ทรงตระหนักถึงความจำเป็นของการอธิษฐานแล้ว มนุษย์ที่บาปหนา
อ่อนแอจะต้องการการอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอและร้อนรนมากยิ่งกว่าเพียงไร {SC 93.4}
พระบิดาในสวรรค์ของเราทรงรอคอยที่จะประทานพระพรอันไพบูลย์ของพระองค์ให้แก่เรา
เป็นสิทธิพิเศษของเราที่จะได้ดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งรักอันไร้พรมแดนได้อย่างเต็มที่
เป็นเรื่องน่าประหลาดที่พวกเราอธิษฐานกันน้อยนัก
พระเจ้าทรงพร้อมและเต็มพระทัยที่จะสดับฟังคำอธิษฐานที่จริงใจของบุตรที่ต่ำต้อยที่สุดของพระองค์
แต่เราก็ยังแสดงออกถึงความไม่มั่นใจอยู่เสมอ เมื่อเราทูลพระเจ้าถึงความขัดสนของเรา ทูตสวรรค์เบื้องบนจะคิดอย่างไรกับมนุษย์ผู้น่าสงสารที่ตกอยู่ภายใต้การทดลองและช่วยตัวเองไม่ได้เหล่านี้
ในขณะที่พระทัยที่กอปรด้วยรักอันไม่มีขอบเขตจำกัดของพระเจ้า คอยตามหาพวกเขา
ทรงพร้อมที่จะประทานให้เขามากกว่าที่พวกเขาจะขอหรือคิดได้ แต่กระนั้นพวกเขาเหล่านั้นก็ยังอธิษฐานน้อยเกินไปและยังมีความเชื่อเพียงน้อยนิด
ทูตสวรรค์ชอบที่จะก้มกราบอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาชอบที่จะอยู่ใกล้ชิดพระองค์ พวกเขาถือว่าการสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นความสุขสูงส่งที่สุด
แต่เหล่าบุตรมนุษย์โลกผู้ต้องการความช่วยเหลือมากมายที่พระเจ้าเท่านั้นจะเป็นผู้ประทานให้ได้กลับดูเหมือนว่าพอใจที่จะเดินโดยไม่มีแสงสว่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระผู้ทรงเป็นมิตรภาพของการร่วมสถิตของพระองค์ {SC 94.1}
ความมืดมนของสิ่งชั่วร้ายล้อมอยู่รอบบรรดาคนเหล่านั้นที่ละเลยการอธิษฐาน เสียงกระซิบการล่อลวงของศัตรูชักนำพวกเขาให้ทำบาป
และทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาไม่ใช้สิทธิที่พระเจ้าทรงประทานให้เพื่อนัดหมายกับพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน
เหตุไฉนบุตรชายและบุตรหญิงของพระเจ้าจึงลังเลใจที่จะอธิษฐาน
ในเมื่อการอธิษฐานคือกุญแจในมือของผู้เชื่อเพื่อไขขุมทรัพย์แห่งสวรรค์ซึ่งเป็นแหล่งสมบัติที่นับไม่ถ้วนของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่
เมื่อปราศจากการอธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อนและการเฝ้าระวังอย่างแข็งขัน
เราจะตกเข้าไปสู่ภัยอันตรายของการไม่ระมัดระวังมากขึ้นและเดินออกห่างไปจากทางที่ถูกต้อง
ศัตรูคอยหาวิธีอย่างต่อเนื่องที่จะขวางกั้นหนทางที่นำไปสู่พระที่นั่งพระกรุณาธิคุณเพื่อไม่ให้เราทูลขออย่างจริงใจ
และความเชื่อที่จะได้มาซึ่งพระคุณและกำลังที่จะต่อต้านการทดลองได้ {SC 94.2}
มีเงื่อนไขอยู่บางประการที่ทำให้เราคาดหวังให้พระเจ้าสดับฟังและตอบคำอธิษฐานของเราได้ เงื่อนไขประการแรกสุดคือ เราต้องรู้สึกถึงความต้องการที่จะให้พระองค์ทรงช่วย พระองค์ทรงสัญญาว่า “เราจะเทน้ำลงบนแผ่นดินที่กระหายและลำธารลงบนดินแห้ง” (อิสยาห์ 443)
ผู้ที่หิวและกระหายความชอบธรรม
ผู้ที่แสวงหาพระเจ้า
เขาจะมั่นใจได้ว่า
จะได้รับการเติมให้เต็ม
เราจะต้องเปิดใจของเราออกรับอิทธิพลของพระวิญญาณ ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะรับพระพรของพระเจ้าไม่ได้ {SC 95.1}
ความต้องการยิ่งใหญ่ของเราเป็นทั้งคำสนับสนุนและคำอ้อนวอนอยู่ในตัวที่ไพเราะที่สุดเพื่อเป็นประโยชน์ให้แก่เรา
แต่เราจะต้องแสวงหาพระเจ้าเพื่อขอพระองค์กระทำสิ่งเหล่านี้ให้แก่เรา พระองค์ทรงตรัสว่า “จงขอแล้วจะได้” และพระเจ้า “มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ทรงประทานบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา
ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลายด้วยกันกับพระบุตรหรือ” (มัทธิว 7:7; โรม 8:32) {SC 95.2}
หากเราเก็บความชั่วไว้ในใจของเรา หากเรายึดความบาปที่เรารู้อยู่แก่ใจไว้ในตัว พระเจ้าจะไม่ทรงสดับฟังเรา
แต่คำอธิษฐานของจิตวิญญาณที่สำนึกผิดและเสียใจจะได้รับการยอมรับอยู่เสมอ เมื่อเราทำสิ่งที่ผิดที่เรารู้แก่ใจนั้นให้ถูก เราจะมั่นใจได้ว่าพระเจ้าจะทรงตอบคำทูลของเรา เราไม่มีทางเสนอความดีของเราเพื่อทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยได้
แต่เป็นการกระทำของพระเยซูเพื่อเราที่จะช่วยให้เรารอด พระโลหิตของพระองค์จะชำระเรา แต่กระนั้นเรามีงานที่จะต้องทำเพื่อจะได้ทำตามเงื่อนไขของการยอมรับ {SC 95.3}
เงื่อนไขอีกข้อหนึ่งของการอธิษฐานที่มีชัยชนะคือความเชื่อ “แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าไม่ได้เลย
เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้นต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์” (ฮีบรู 11:6)
พระเยซูตรัสกับบรรดาสาวกของพระองค์ว่า
“ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใดจงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น” (มาระโก 11:24) เราเชื่อตามที่พระองค์ตรัสไว้หรือไม่ {SC 96.1}
คำสัญญาที่พระเจ้าประทานให้ไว้นั้นเปิดกว้างและไม่มีขีดจำกัด และพระผู้ทรงรักษาสัญญานั้นสัตย์ซื่อ เมื่อเราไม่ได้รับสิ่งที่เราทูลขอในช่วงเวลาที่เราขอ
เราก็ยังต้องเชื่อว่าพระเจ้าทรงสดับฟังและพระองค์จะทรงตอบคำอธิษฐานของเรา เราทำผิดและสายตาสั้น จนบางครั้งเราทูลขอสิ่งที่ไม่เป็นพรแก่ตัวเราเอง
และพระบิดาในสวรรค์ของเราทรงตอบคำอธิษฐานของเราด้วยความรัก โดยจะทรงประทานสิ่งที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่เรา
ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะปรารถนาถ้าหากเราสามารถมองเห็นสิ่งทั้งหมดตามสภาพที่เป็นจริงด้วยสายตาที่พระเจ้าทรงประทานให้
เมื่อดูเสมือนหนึ่งว่าคำอธิษฐานของเราไม่ได้รับคำตอบ เราก็ยังต้องยึดมั่นในพระสัญญา
เพราะเวลาที่เราจะได้รับคำตอบนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน
และเราจะได้รับพระพรที่เราต้องการมากที่สุด แต่การอ้างว่า
เมื่อเราอธิษฐาน
เราจะได้รับคำตอบตามที่เราอยากให้เป็นและได้รับสิ่งของตามที่เราอยากได้อยู่เสมอ
ความคิดเช่นนี้เป็นการคาดเดาทึกทักขึ้นเอาเอง
พระเจ้าทรงมีพระปัญญาล้ำเลิศเกินที่จะทำผิดและพระองค์ทรงความดีเกินไปที่จะเก็บของดีใดๆ
ไว้จากผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง
ดังนั้นจงอย่างกลัวที่จะวางใจในพระองค์
แม้ท่านจะมองไม่เห็นคำตอบของคำอธิษฐานทันที่ จงวางใจในพระสัญญาที่แน่นอนของพระองค์ว่า “จงขอแล้วจะได้” {SC 96.2}
หากเราทูลขอจากพระเจ้าด้วยความสงสัยและความกลัว
หรือหาทางแก้ปัญหาทุกเรื่องโดยที่เรามองเห็นไม่ชัดเจน
การทำโดยไม่มีความเชื่อเช่นนี้จะเพียงแต่เป็นการเพิ่มความกังวลให้มากขึ้นและรุนแรงขึ้นเท่านั้น
แต่หากเราเข้ามาหาพระเจ้าด้วยความรู้สึกว่าช่วยตนเองไม่ได้ และต้องการที่พึ่งซึ่งเป็นสภาพที่แท้จริงของเราและทูลขอสิ่งที่เราต้องการต่อพระองค์ผู้ทรงรอบรู้สารพัดสิ่ง ทูลขอด้วยความเชื่อที่ถ่อมตนและวางใจ
พระองค์ผู้ทรงมองเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างและผู้ทรงปกครองทุกสิ่งตามพระประสงค์และพระวจนะของพระองค์
พระองค์ทรงสดับฟังคำร้องทูลของเราได้และจะทรงสดับฟังอยู่เสมอ
และจะทรงบันดาลให้แสงสว่างส่องเข้ามายังจิตใจของเรา โดยการอธิษฐานที่จริงใจ
เราจะถูกชักนำให้เข้ามาเชื่อมต่อกับพระปัญญาของพระเจ้าได้
เราอาจจะไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพระพักตร์ของพระผู้ไถ่ทรงก้มลงมาอยู่เหนือเราด้วยความเมตตาและความรัก แต่แท้จริงก็เป็นเช่นนั้น
เราอาจไม่รู้สึกได้ถึงการสัมผัสของพระเจ้าที่สายตาของเราจะมองเห็นได้
แต่พระหัตถ์ของพระเจ้าทรงสัมผัสเราด้วยความรักและพระเมตตาที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาสงสารอันอ่อนโยน {SC 96.3}
เมื่อเราเข้ามาทูลขอความเมตตาและพระพรจากพระเจ้า จิตใจของเราจะต้องมีวิญญาณแห่งความรักและการให้อภัย เราจะอธิษฐานได้อย่างไรว่า “ขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์”
และยังคงจมอยู่ในความรู้สึกของการไม่ให้อภัย (มัทธิว 6:12)
หากเราหวังที่จะให้พระเจ้าสดับฟังคำอธิษฐานของเรา เราจะต้องอภัยให้แก่ผู้อื่นด้วยท่าทีเดียวกันและในขนาดเดียวกันกับที่เราหวังจะได้รับการอภัย {SC 97.1}
ความพากเพียรในการอธิษฐานเป็นเงื่อนไขหนึ่งของการได้รับคำตอบ
เราจะต้องอธิษฐานอยู่เสมอหากเราต้องการเติบใหญ่ขึ้นในความเชื่อและประสบการณ์ เราจะต้อง
“ขะมักเขม้นอธิษฐาน” อธิษฐานอย่างต่อเนื่องเพื่อ “เฝ้าระวังอยู่ในการนั้นด้วยขอบพระคุณ” (โรม 12:12; โคโลสี 4:2)
เปโตรกำชับผู้เชื่อให้ “สงบใจเพื่อแก่การอธิษฐาน” (1 เปโตร 4:7) เปาโลชี้แนะว่า “จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอนกับการขอบพระคุณ” (ฟิลิปปี 4:6) ยูดากล่าวว่า “ท่านที่รักทั้งหลาย.....จงอธิษฐานในพระวิญญาณ จงรักษาตัวไว้ให้ดำรงในความรักของพระเจ้า” (ยูดา 20, 21)
การอธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อนเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์อย่างไม่ขาดสายระหว่างจิตวิญญาณกับพระเจ้าให้ต่อเนื่องตลอดเวลา
เพื่อให้ชีวิตของพระเจ้าไหลเข้ามายังชีวิตของเรา และเพื่อความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตของเราจะไหลกลับคืนไปยังพระเจ้าได้ {SC 97.2}
ความหมั่นเพียรในการอธิษฐานเป็นสิ่งที่จำเป็น จงอย่าให้สิ่งใดขัดขวางท่านไม่ให้อธิษฐาน จงให้ความสามารถทุกอย่างที่มีอยู่เพื่อรักษาการติดต่อระหว่างวิญญาณจิตของท่านกับพระเยซูไว้ จงหาทุกโอกาสที่จะไปยังที่ๆ มีการอธิษฐาน
เราจะพบผู้ที่ต้องการสื่อกับพระเจ้าอย่างจริงจังได้ในการประชุมอธิษฐาน เขาจะซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของเขา
และมีความจริงใจและร้อนใจที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทั้งหมดที่พวกเขาจะได้รับ
เขาจะใช้ทุกโอกาสให้เป็นประโยชน์ที่จะนำตัวเขาเองให้เข้าไปอยู่ในสถานที่ๆ
จะรับแสงสว่างจากสวรรค์ได้ {SC
98.1}
เราจะต้องอธิษฐานร่วมกันในครอบครัว และเหนือสิ่งอื่นใด
เราจะต้องไม่ละเลยการอธิษฐานเป็นการส่วนตัว เพราะนี่คือชีวิตของจิตวิญญาณ
จิตวิญญาณที่ละเลยการอธิษฐานจะไม่มีทางเจริญเติบใหญ่ขึ้นได้
การอธิษฐานในครอบครัวหรือในที่สาธารณะเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ขณะที่อยู่ตามลำพัง
จงเปิดจิตใจออกให้กับสายพระเนตรของพระเจ้าที่คอยตรวจสอบอยู่
การอธิษฐานส่วนตัวมีไว้เพื่อให้พระเจ้าสดับฟังเท่านั้น
หูของบรรดาผู้ที่อยากรู้อยากเห็นไม่ควรได้ยินภาระของการทูลอ้อนวอนเหล่านี้ ในขณะที่อธิษฐานเป็นการส่วนตัวนั้น จิตวิญญาณจะได้รับอิสรภาพจากอิทธิพลที่อยู่รอบข้าง หลุดพ้นจากความตื่นเต้นวุ่นวาย
คำอธิษฐานไปถึงพระเจ้าด้วยความสงบแต่ร้อนรน อิทธิพลที่หวานชื่นและการทรงสถิตอยู่ด้วยจะไหลออกมาจากพระองค์ผู้ทรงทอดพระเนตรในที่ลี้ลับ
พระกรรณของพระองค์เปิดออกที่จะสดับฟังคำอธิษฐานที่ออกมาจากจิตใจ จิตวิญญาณจะยึดติดกับพระเจ้าด้วยความเชื่อที่สงบและเรียบง่าย
และจะได้รับแสงสว่างของพระเจ้ามาไว้กับตนเองเพื่อจะได้เข้มแข็งขึ้นและมั่นคงในการต่อสู้กับซาตาน พระเจ้าทรงเป็นป้อมปราการแข็งแรงของเรา {SC 98.2}
จงอธิษฐานในห้องส่วนตัว และในขณะทำงานประจำวัน
จงหมั่นหันจิตใจของท่านขึ้นไปหาพระเจ้าเสมอ เอโนคทำเช่นนี้ในการดำเนินชีวิตร่วมกับพระเจ้า คำอธิษฐานในใจเหล่านี้จะลอยขึ้นไปถึงพระบัลลังก์แห่งพระคุณเหมือนเช่นควันหอมจากเครื่องเผาบูชาที่มีค่ายิ่ง
ผู้ที่มีจิตใจติดสนิทอยู่กับพระเจ้าเช่นนี้ ซาตานไม่อาจมีชัยเหนือเขาได้ {SC 98.3}
ไม่มีเวลาใดหรือสถานที่ใดที่ไม่เหมาะสำหรับการทูลขอต่อพระเจ้า
ไม่มีสิ่งใดที่จะขัดขวางวิญญาณแห่งการอธิษฐานที่จริงใจที่สามารถยกชูจิตใจของเราได้ ในท่ามกลางความแออัดของท้องถนน ในท่ามกลางการทำธุรกิจ
เราส่งคำทูลขอของเราไปยังพระเจ้าและอ้อนวอนขอการทรงนำของพระองค์ได้
เหมือนเช่นเนฮะมีย์ทำในขณะที่ท่านกำลังทูลขอต่อกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส เราจะหาห้องส่วนตัวเพื่อสื่อสารกับพระเจ้าได้ทุกที่
เราจะต้องเปิดประตูใจอยู่เสมอเพื่อคำทูลเชิญของเราจะขึ้นไปถึงพระเยซู
เพื่ออัญเชิญพระองค์ให้ลงมาและเป็นแขกรับเชิญจากสวรรค์เพื่อสถิตในจิตวิญญาณของเรา {SC 99.1}
แม้ว่าบรรยากาศรอบตัวเราจะเต็มไปด้วยมลทินและความเลวร้าย แต่เราไม่จำเป็นต้องหายใจเอาบรรยากาศที่เป็นพิษเหล่านี้
เรามีโอกาสดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ของสวรรค์ได้
เราปิดประตูทุกบานให้กับความนึกคิดที่ไม่สะอาดและไม่บริสุทธิ์
ด้วยการยกระดับจิตใจให้ขึ้นไปอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าโดยการอธิษฐานด้วยความจริงใจได้ ผู้ที่เปิดใจออกเพื่อรับการค้ำจุนและพระพรของพระเจ้าจะดำเนินชีวิตอยู่ในบรรยากาศที่บริสุทธิ์กว่าบรรยากาศของโลก และเขาจะสื่อสารกับสวรรค์อย่างสม่ำเสมอ {SC 99.2}
เราจำเป็นต้องมีภาพของพระเยซูคริสต์ที่เด่นชัดมากยิ่งขึ้น
และเข้าใจในคุณค่าของความจริงอันนิรันดร์ได้บริบูรณ์ยิ่งขึ้น
ความงดงามของความบริสุทธิ์จะต้องเติมเต็มอยู่ในจิตใจของเหล่าบุตรของพระเจ้า และเพื่อที่จะทำให้เรื่องนี้สำเร็จได้ เราจะต้องขอให้พระเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งต่างๆ
ของสวรรค์ให้แก่เรา {SC 99.3}
จงนำจิตวิญญาณของท่านออกมาและยกชูให้สูงขึ้น เพื่อพระเจ้าจะทรงประทานบรรยากาศแห่งสวรรค์ให้เราหายใจ
เราจะต้องใกล้ชิดกับพระเจ้ามากจนกระทั่งเมื่อการทดลองทุกอันที่เราไม่คาดคิดเกิดขึ้น ความคิดของเราจะหันไปหาพระองค์อย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนดอกไม้ที่หันหน้าเขาหาดวงอาทิตย์ {SC 99.4}
จงนำความต้องการ ความสุข
ความโศกเศร้า ความกังวลและความกลัวของท่านมาต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ท่านไม่ได้ไปรบกวนพระองค์ ท่านไม่เคยทำให้พระองค์ทรงเบื่อหน่าย พระองค์ผู้ทรงทราบจำนวนเส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่ทรงเพิกเฉยต่อความต้องการของเหล่าบุตรของพระองค์ “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาสักเท่าใด” (ยากอบ 5:11)
พระทัยแห่งรักของพระองค์รับรู้ถึงความโศกเศร้าของเราและแม้แต่คำพูดของเราที่พูดถึงเรื่องเหล่านั้นก็สัมผัสพระทัยของพระองค์
จงนำทุกสิ่งที่ทำให้ความนึกคิดของท่านวุ่นวายไปหาพระองค์
ไม่มีสิ่งใดใหญ่เกินไปที่พระองค์จะทรงแบกรับไว้ไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ค้ำชูโลกไว้
พระองค์ทรงควบคุมเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจักรวาล
ไม่มีสิ่งใดในเรื่องเกี่ยวกับความสงบสุขของเราที่เล็กเกินไปจนพระองค์สังเกตไม่เห็น
ไม่มีฉากหนึ่งใดในประสบการณ์ชีวิตของเราที่มืดมนเกินกว่าที่พระองค์จะทรงอ่านได้ ไม่มีความยุ่งเหยิงใดที่ยากเกินไปที่พระองค์จะทรงแก้ไขไม่ได้ ไม่มีภัยพิบัติใดจะเกิดขึ้นกับบุตรของพระองค์แม้เพียงผู้เล็กน้อยที่สุด
ไม่มีความกังวลใดจะมารังควานจิตวิญญาณไม่มีความสุขชื่นบานและไม่มีคำอธิษฐานจริงใจใดที่หลุดออกจากริมฝีปากของเราโดยที่พระบิดาบนสวรรค์ของเราไม่ทรงสังเกตเห็น หรือไม่ได้ทรงให้ความสนใจในทันที “พระองค์ทรงรักษาคนที่ชอกช้ำระกำใจ และทรงพันผูกบาดแผลของเขา” (สดุดี 147:3)
ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าและจิตวิญญาณทุกดวงนั้นชัดเจนและบริบูรณ์
ราวกับว่าในโลกนี้ไม่มีจิตวิญญาณอื่นอีกแล้วที่จะมาแย่งความหวงหาของพระองค์
ราวกับพระองค์ไม่ได้ทรงประทานพระบุตรอันเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ให้แก่จิตวิญญาณอื่น {SC 100.1}
พระเยซูตรัสว่า “ท่านจะทูลขอในนามของเราและเราจะไม่บอกท่านว่าเราจะอ้อนวอนพระบิดาเพื่อท่าน เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักท่านทั้งหลาย” “เราได้เลือกท่านทั้งหลาย.....เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน” (ยอห์น 16:27, 28; 15:16)
แต่การจะอธิษฐานในนามของพระเยซูนั้นมีความหมายมากกว่าการเอ่ยพระนามของพระองค์ในตอนต้นและตอนท้ายของการอธิษฐาน เราจะต้องอธิษฐานด้วยความนึกคิดและด้วยวิญญาณของพระเยซู ในขณะที่เราเชื่อพระสัญญาของพระองค์
จะพึ่งพิงในพระคุณของพระองค์และทำงานในพระราชกิจของพระองค์ {SC 100.2}
พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้เราเป็นฤาษีหรือนักบวชและแยกตนเองออกไปจากโลกเพื่ออุทิศตนเองอยู่กับการบูชากราบไหว้ ชีวิตของเราจะต้องเหมือนชีวิตของพระคริสต์ คือมีชีวิตอยู่ท่ามกลางภูเขาและฝูงชน
ผู้ที่ไม่ทำอะไรนอกจากอธิษฐานเพียงอย่างเดียว ไม่ช้าไม่นานก็จะเลิกอธิษฐาน
หรือไม่เช่นนั้นคำอธิษฐานของเขาก็จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำ เมื่อมนุษย์นำตัวเองออกไปจากสังคม ออกไปจากขอบเขตหน้าที่ของคริสเตียนและการแบกกางเขน
เมื่อเขาเลิกที่จะทำงานอย่างจริงใจเพื่อถวายพระอาจารย์ผู้ทรงกระทำกิจอย่างจริงใจเพื่อเขาทั้งหลาย เขาก็จะสูญเสียหัวข้อในการอธิษฐานไป และเขาจะไม่มีแรงจูงใจเพื่อการนมัสการ
คำอธิษฐานของเขาก็จะมีแต่เรื่องส่วนตัวและเห็นแก่ตัว
พวกเขาไม่อาจที่จะอธิษฐานเผื่อความขัดสนของมนุษยชาติหรือการเสริมสร้างอาณาจักรของพระคริสต์โดยการทูลขอกำลังที่จะทำการต่อไป {SC 101.1}
เราต้องพบกับความสูญเสียเมื่อเราละเลยสิทธิของการเข้าสื่อสัมพันธ์ร่วมกันเพื่อเสริมกำลังและให้กำลังใจซึ่งกันและกันในงานรับใช้พระเจ้า
ความจริงที่อยู่ในพระวจนะของพระเจ้าได้สูญเสียความชัดเจนและความสำคัญไปจากความนึกคิดของเรา
จิตใจของเราจะไม่ได้รับความกระจ่างและไม่มีอิทธิพลแห่งการชำระให้บริสุทธิ์มาปลุกให้ตื่นขึ้น และจิตวิญญาณของเราก็จะถดถอยลงไป การขาดความเห็นใจซึ่งกันและกันที่มีอยู่ในสังคมคริสเตียนของเรา ทำให้เราสูญเสียไปมาก
ผู้ที่แยกตนเองออกไปก็ไม่ได้ทำหน้าที่ที่พระเจ้าทรงจัดวางให้เขา การพัฒนาการทางสังคมที่เหมาะสมจะนำเราให้เห็นใจผู้อื่นและเป็นวิธีที่จะพัฒนาและเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เราเพื่องานรับใช้พระเจ้า {SC 101.2}
หากคริสเตียนจะสมาคมร่วมกัน
พูดคุยกันถึงเรื่องความรักของพระเจ้าและความจริงของการไถ่ให้รอดที่มีค่ายิ่ง
จิตใจของเขาจะได้รับความสดชื่นและเขาจะนำความสดชื่นมาให้แก่กันและกัน
เราจะได้เรียนรู้ถึงพระบิดาในสวรรค์ของเรามากขึ้นทุกวัน ได้รับประสบการณ์พระคุณของพระเจ้าที่สดใหม่
และเราจะปรารถนาที่จะพูดถึงความรักของพระองค์
และเมื่อเราทำเช่นนี้จิตใจของเราจะอบอุ่นและได้รับกำลังใจ หากเราคิดและพูดเรื่องพระเยซูให้มากขึ้น และพูดถึงตัวเองให้น้อยลง พระเจ้าก็จะสถิตอยู่ร่วมกับเรามากยิ่งขึ้น {SC 101.3}
หากเราเพียงแต่จะคิดถึงพระเจ้ามากเท่าๆ
กับที่พระองค์ทรงมีต่อเราตามที่เรามีหลักฐานที่แสดงถึงความห่วงใยของพระองค์
เราก็จะมีพระองค์อยู่ในความนึกคิดของเราเสมอ
และจะมีความสุขที่ได้สนทนาถึงเรื่องของพระองค์และสรรเสริญพระองค์
เราพูดถึงสิ่งของฝ่ายโลกเพราะเราสนใจในของเหล่านั้น เราพูดถึงเพื่อนของเราเพราะเรารักเขา
ความสุขและความทุกข์ของเราถูกผูกมัดอยู่กับพวกเพื่อนเหล่านี้ แต่ถึงกระนั้น
เรามีเหตุผลยิ่งใหญ่อย่างไม่จำกัดที่จะรักพระเจ้ามากกว่าที่จะรักเพื่อนของเราในโลกนี้
ควรจะต้องเป็นเรื่องปกติที่สุดในโลกที่เราจะให้พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในความคิดทั้งหมดของเรา ที่เราจะพูดถึงคุณความดีของพระองค์และบอกเล่าถึงอำนาจของพระองค์
ของประทานอันมีค่าที่พระองค์ทรงประทานให้เรานั้นไม่ได้มีไว้เพื่อกลืนความคิดและความรักของเรา จนเราไม่มีอะไรที่จะถวายพระเจ้าได้
ของประทานเหล่านี้จะต้องเตือนสติเราให้ระลึกถึงเรื่องพระองค์อยู่ตลอดเวลาและผูกเราเข้าด้วยสายใยแห่งความรักและการขอบพระคุณต่อพระผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ผู้ทรงประทานทุกสิ่งให้แก่เรา เราอาศัยอยู่ใกล้พื้นราบของโลกมากเกินไป
จงลืมตาของเราขึ้นไปยังประตูของพระวิหารที่เปิดอยู่เบื้องบน ที่ๆ แสงสว่างแห่งพระสิริของพระเจ้าส่องไปยังพระพักตร์ของพระคริสต์ พระองค์
“ทรงสามารถเป็นนิตย์ที่จะช่วยคนทั้งปวงที่ได้เข้ามาถึงพระเจ้าโดยทางพระองค์” (ฮีบรู 7:25) {SC 102.1}
เราควรสรรเสริญพระเจ้าให้มากกว่านี้ “เพราะความรักมั่นคงของพระองค์
เพราะการอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบุตรของมนุษย์” (สดุดี 107:8)
กิจกรรมในการนมัสการของเราไม่ควรจะมีแต่เรื่องการขอและการรับเท่านั้น
จงอย่าคิดถึงแต่เรื่องความต้องการของเราและอย่าคิดถึงผลประโยชน์ที่เราจะได้รับ เราไม่ได้อธิษฐานขอสิ่งใดมากเกินไป แต่เราถวายการขอบคุณน้อยเกินไป เราได้รับพระเมตตาคุณของพระเจ้าอยู่เสมอ แต่เรากล่าวคำขอบคุณพระองค์น้อยมากเพียงไร
เราสรรเสริญพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้แก่เราน้อยเกินไปเพียงไร {SC 102.2}
ในอดีตกาล
พระเจ้าทรงบัญชาชนชาติอิสราเอลเมื่อเข้ามาประชุมร่วมกันเพื่องานรับใช้ของพระองค์ว่า “ท่านทั้งหลายจงรับประทานที่นั่นต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน
ทั้งท่านและครอบครัวของท่านจงปิติร่าเริงในบรรดากิจการซึ่งท่านได้กระทำนั้น” (เฉลยธรรมบัญญัติ 12:7)
สิ่งที่เราทำเพื่อถวายเกียรติพระเจ้านั้น
จะต้องทำด้วยความชื่นชมยินดี
ด้วยบทเพลงสรรเสริญและด้วยการขอบพระคุณ
ไม่ใช่ด้วยความเศร้าหรือความหมดหวัง
{SC 103.1}
พระเจ้าของเราเป็นพระบิดาผู้ทรงอ่อนโยนและเมตตา
เราจะต้องไม่มองว่างานรับใช้พระองค์เป็นกิจกรรมที่ทำให้จิตใจเศร้าสลดและน่าเบื่อหน่าย
การนมัสการพระเจ้าและการมีส่วนในพระราชกิจของพระองค์จะต้องเป็นเรื่องที่ให้ความสุข
พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้บุตรทั้งหลายของพระองค์
ซี่งเป็นผู้ที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมความรอดยิ่งใหญ่ไว้ให้ต้องมาทำตัวราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นนายงานที่เหี้ยมโหดและเข้มงวด พระองค์ทรงเป็นพระสหายเลิศที่สุดของพวกเรา และเมื่อพวกเขานมัสการพระองค์ พระองค์ทรงประสงค์ที่จะสถิตอยู่ร่วมด้วย เพื่ออวยพระพรและปลอบประโลมเขา
เติมจิตใจของเขาให้เต็มล้นด้วยความสุขและความรัก พระเจ้าทรงปรารถนาให้บุตรทั้งหลายมีความสุขสบายในงานรับใช้พระองค์
และพบความปิติยินดีมากกว่าความยากลำบากในพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงประสงค์ให้ผู้ที่เข้าร่วมนมัสการพระองค์ได้นำความคิดที่มีค่าของเรื่องความห่วงใยและความรักของพระองค์ออกไป
เพื่อพวกเขาจะได้เป็นกำลังใจในงานทุกงานที่เขาต้องทำในชีวิต เพื่อเขาจะมีพระคุณที่จะจัดการกับทุกเรื่องด้วยความเที่ยงตรงและสัตย์ซื่อ {SC 103.2}
เราจะต้องเข้ามาอยู่ใกล้กางเขน พระคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงจะต้องเป็นเรื่องที่เราไตร่ตรอง
เป็นเรื่องที่เราสนทนาและเป็นเรื่องที่ให้ความสุขมากที่สุดของเรา
เราจะต้องระลึกอยู่เสมอถึงพระพรทุกอย่างที่เราได้รับจากพระเจ้า
และเมื่อเราตระหนักถึงความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์ เราจะต้องเต็มใจที่จะมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ที่ถูกตรึงบนกางเขนเพื่อเรา {SC 103.3}
จิตวิญญาณจะบินสูงขึ้นไปจนใกล้สวรรค์ด้วยปีกแห่งการสรรเสริญ
การนมัสการพระเจ้าที่บัลลังก์เบื้องบนจะทำได้ด้วยบทเพลงและเสียงดนตรี และในขณะที่เรากล่าวคำขอบพระคุณ เรากำลังเลียนแบบการนมัสการของเหล่าชาวสวรรค์ “บุคคลที่นำการโมทนาพระคุณมาเป็นเครื่องสักการบูชา ก็ให้เกียรติแก่” พระเจ้า
(สดุดี 50:23)
ให้เราเข้ามาหาพระผู้สร้างของเราด้วยความสุขอย่างยำเกรง พร้อมกับ
“การโมทนาและเสียงเพลง” (อิสยาห์ 51:3) {SC 104.1}
เคล็ดลับที่ 12
จะทำอย่างไรกับความสงสัย
มีคนมากมายโดยเฉพาะผู้ที่เป็นคริสเตียนใหม่ที่บางครั้งจะรู้สึกเป็นทุกข์กับความคิดที่ชวนให้สงสัย มีหลายอย่างในพระคัมภีร์ที่พวกเขาอธิบายหรือเข้าใจไม่ได้
และซาตานใช้สิ่งเหล่านี้สั่นคลอนความเชื่อมั่นว่า พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า พวกเขาถามว่า
“เราจะทราบได้อย่างไรว่าทางนี้ถูกต้อง
หากพระคัมภีร์เป็นพระวจนะที่แท้จริงของพระเจ้าแล้วเราจะทำอย่างไรที่จะให้หลุดพ้นจากความสงสัยและความกังวลใจเหล่านี้ได้” {SC 105.1}
พระเจ้าไม่เคยขอให้เราเชื่อโดยไม่ได้ประทานหลักฐานอย่างเพียงพอให้แก่เราเพื่อใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวความเชื่อ เรายอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า พระลักษณะของพระองค์ ความสัตย์จริงที่มีอยู่ในพระวจนะของพระองค์ก็มีข้อพิสูจน์มากมายยืนยันต่อสามัญสำนึกของเรา
แต่กระนั้นพระเจ้าไม่เคยขวางกั้นความคิดของผู้ที่อยากสงสัย ความเชื่อของเราจะต้องวางอยู่บนหลักฐานที่ชัดเจนไม่ใช่วางอยู่บนความรู้สึก ผู้ที่อยากสงสัยจะมีเรื่องให้เขาสงสัยได้
ส่วนผู้ที่ต้องการรู้ความจริงอย่างจริงใจก็จะพบหลักฐานมากมายที่เขาจะใช้ยึดความเชื่อได้ {SC 105.2}
อัครทูตเปาโลอุทานว่า “โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้นล้ำลึกเท่าใด
ข้อตัดสินของพระองค์เหลือที่จะหยั่งรู้ได้และทางของพระองค์เหลือที่จะสืบเสาะได้” (โรม 1:33) แต่แม้
“เมฆและความมืดทึบอยู่รอบพระองค์ความชอบธรรมและความยุติธรรมเป็นรากฐานแห่งบัลลังก์ของพระองค์” (สดุดี 97:2)
เราพอจะเข้าใจวิธีที่พระเจ้าปฏิบัติต่อเราและพระประสงค์ที่หนุนอยู่เพื่อเราจะมองเห็นความรักและพระเมตตาคุณอันไร้ขอบเขตซึ่งเข้าร่วมกับอำนาจที่ไม่จำกัดของพระเจ้า
เราพอจะเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าได้เท่าที่จะเป็นประโยชน์ให้เราได้รับรู้ และนอกเหนือจากนี้ไป เรายังต้องวางใจในพระหัตถ์อันทรงพลานุภาพและพระหทัยที่เปี่ยมด้วยรักของพระองค์ {SC 106.1}
พระวจนะของพระเจ้ามีลักษณะเหมือนพระองค์ผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดพระวจนะนั้นเสนอความล้ำลึกที่มนุษย์ผู้ต้องตายไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด ความบาปที่เข้ามาในโลก การเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระคริสต์ การบังเกิดใหม่ การฟื้นคืนพระชนม์ และเรื่องอื่นๆ
อีกมากมายในพระคัมภีร์ที่ล้ำลึกเกินคำอธิบายของสมองมนุษย์หรือแม้ที่จะเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง แต่เราไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยพระวจนะของพระเจ้าเพียงเพราะเราไม่เข้าใจความลึกล้ำในการทรงนำของพระองค์ ในโลกธรรมชาติ
มีเรื่องลึกลับมากมายล้อมอยู่รอบตัวเราที่เราเข้าใจไม่ได้
สิ่งมีชีวิตต่ำที่สุดก็ยังมีปัญหาที่นักปรัชญาฉลาดที่สุดหาคำอธิบายไม่ได้
ทุกแห่งทุกหนมีความลึกลับอัศจรรย์ที่เกินความเข้าใจของเรา แล้วเราจะต้องแปลกใจด้วยหรือว่า
จะมีเรื่องลึกลับที่เราไม่อาจเข้าใจได้โลกของฝ่ายวิญญาณ
สาเหตุทั้งหมดที่เราไม่เข้าใจเกิดจากความอ่อนแอและความคับแคบของสติปัญญามนุษย์
พระเจ้าทรงประทานหลักฐานไว้มากพอในพระคัมภีร์ซึ่งกล่าวถึงพระลักษณะของพระองค์
และเราจะต้องไม่สงสัยพระวจนะของพระองค์เพียงเพราะเราทำความเข้าใจความลึกลับทั้งหมดที่พระองค์ทรงโปรดประทานไว้ไม่ได้ {SC 106.2}
อัครทูตเปโตรกล่าวในพระคัมภีร์ว่า “มีบางข้อที่เข้าใจยาก ซึ่งคนทั้งหลายที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์
และมีใจไม่แน่นอนมั่นคงได้บิดเบือน.....อันเป็นเหตุให้ตนเองพินาศ” (2 เปโตร 3:16)
คนช่างสงสัยมักจะยกข้อพระคัมภีร์ที่เข้าใจยากมาเป็นข้ออ้างเพื่อโต้พระคัมภีร์ แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า หากพระคัมภีร์ไม่ได้ประกอบด้วยเรื่องของพระเจ้า แต่ประกอบด้วยเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย
หากสมองอันจำกัดเข้าใจความยิ่งใหญ่และพระอำนาจของพระเจ้าได้อย่างไม่ผิดพลาดเรื่องยิ่งใหญ่และลึกลับที่มีอยู่ในพระคัมภีร์นั้นมีไว้เพื่อหนุนใจให้เกิดความเชื่อมั่นว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า {SC 107.1}
พระคัมภีร์เปิดเผยความจริงอย่างเรียบง่ายและปรับให้เข้ากับความต้องการและความปรารถนาของจิตใจมนุษย์ได้อย่างดีเลิศ สมองของผู้ที่ได้รับการพัฒนาถึงขั้นสูงสุดแล้วยังต้องตะลึงและชื่นชมในความจริงเหล่านี้
ในขณะที่คนต่ำต้อยและไร้การศึกษาก็ยังมองเห็นทางแห่งความรอดได้ และนอกเหนือจากนี้
ความจริงที่บันทึกไว้อย่างเรียบง่ายเหล่านี้ยังมีเนื้อหาที่สูงส่ง มีแนวคิดที่กว้างไกลเกินความสามารถของมนุษย์จะเข้าใจได้
และเรารับความจริงเหล่านั้นได้เพราะพระเจ้าได้ทรงเปิดเผยให้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้
แผนการแห่งความรอดจึงได้เปิดไว้ให้แก่เราเพื่อจิตวิญญาณทุกดวงจะได้มองเห็นทุกย่างก้าวในการดำเนินที่นำไปสู่การกลับใจไปหาพระเจ้าและในความเชื่อที่จะนำไปหาองค์พระเยซูคริสต์เพื่อจะได้รับความรอดในวิถีทางที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ แต่ถึงกระนั้น
ภายใต้ความจริงที่เข้าใจได้ง่ายเหล่านี้
ก็ยังมีความลึกลับที่ปิดซ่อนพระสิริของพระองค์อยู่
เป็นความลึกลับที่มีอำนาจเหนือความคิดในการศึกษาค้นคว้าของมนุษย์ แต่จะหนุนใจผู้แสวงหาความจริงด้วยความเคารพยำเกรงและความเชื่อ
เมื่อเขายิ่งค้นคว้าพระคัมภีร์มากขึ้นเท่าไร
เขาก็จะยิ่งมั่นใจว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
และเหตุผลของมนุษย์ก็จะกราบลงเบื้องหน้าความยิ่งใหญ่ในการเปิดเผยของพระเจ้า {SC 107.2}
การยอมรับว่าเราเข้าใจความจริงยิ่งใหญ่ของพระคัมภีร์ทั้งหมดไม่ได้นั้นก็เพียงแต่ยอมรับว่าสมองที่มีข้อจำกัดนั้นไม่อาจที่จะเข้าใจเรื่องอันไม่มีขอบเขตได้ด้วยมนุษย์ที่มีความรู้อันจำกัด
ไม่อาจเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าผู้ทรงสัพพัญญูได้ {SC 108.1}
กลุ่มคนช่างสงสัยและผู้ที่ไม่มีความเชื่อจะปฏิเสธพระวจนะของพระเจ้าเพราะว่าพวกเขาหยั่งรู้ความล้ำลึกทั้งหมดที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ไม่ได้
และไม่ใช่ทุกคนที่ประกาศว่าตนเชื่อในพระคัมภีร์จะรอดพ้นจากภัยอันตรายในเรื่องนี้ อัครทูตกล่าวว่า “ดูก่อน ท่านพี่น้องทั้งหลาย จงระวังให้ดีเพื่อจะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดในพวกท่านมีใจชั่วและไม่เชื่อ คือใจที่พาท่านหลงไปจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์” (ฮีบรู 3:12)
การใส่ใจศึกษาคำสอนของพระคัมภีร์และค้นหา
“ความล้ำลึกของพระเจ้า” เท่าที่เปิดเผยไว้ในพระคัมภีร์ เป็นสิ่งที่จะต้องทำ (1 โครินธ์ 2:10) ในขณะที่ “สิ่งลี้ลับทั้งปวงเป็นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย
แต่สิ่งทรงสำแดงนั้น.....เพื่อเราจะกระทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของกฎหมายนี้” (เฉลยธรรมบัญญัติ 29:29)
แต่งานของซาตานคือบิดเบือนความสามารถของสติปัญญาในการตรวจสอบ
ความหยิ่งเล็กน้อยระคนอยู่ในการพินิจพิจารณาความจริงของพระคัมภีร์ทำให้คนรู้สึกหงุดหงิดและพ่ายแพ้เมื่ออธิบายพระคัมภีร์ทุกตอนจนเป็นที่พึงพอใจไม่ได้
เป็นเรื่องน่าอับอายเหลือเกินที่จะยอมรับว่าเขาเข้าใจพระวจนะที่ได้รับการดลใจไม่ได้ พวกเขาไม่เต็มใจที่จะรอด้วยความอดทนจนพระเจ้าเห็นชอบที่จะเปิดเผยความจริงให้แก่เขา พวกเขารู้สึกว่าสติปัญญาของเขาดีพอที่จะเข้าใจพระคัมภีร์ได้โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือและเมื่อเขาพลาดที่จะเข้าใจ
เขาก็แทบจะปฏิเสธแหล่งอำนาจของพระคัมภีร์จริงอยู่มีทฤษฎีและคำสอนมากมายที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางโดยอนุมานว่ามาจากพระคัมภีร์นั้นเป็นคำสอนที่ไม่มีรากฐานในพระคัมภีร์และยังขัดแย้งกับสิ่งที่ทรงดลใจทั้งหมดอย่างแท้จริง
สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้สมองของคนมากมายเกิดความสงสัยและไม่มั่นใจ แต่อย่างไรก็ตาม
เป็นเรื่องที่จะโทษพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ แต่เกิดจากการบิดเบือนของมนุษย์ต่างหาก {SC 108.2}
หากจะให้มนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างมานั้นเข้าใจพระเจ้าและพระราชกิจทั้งหลายของพระองค์ได้ทั้งหมดแล้ว เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว
มนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องค้นหาความจริงอีกต่อไป จะไม่ต้องเพิ่มพูนความรอบรู้ ไม่ต้องพัฒนาสติปัญญาหรือจิตใจ พระเจ้าไม่ทรงความเป็นใหญ่อีกต่อไป และเมื่อมนุษย์ก้าวมาถึงจุดสูงสุดของความรู้และความสำเร็จ มนุษย์ก็จะหยุดที่จะก้าวต่อไป
ให้เราขอบคุณพระเจ้าที่มนุษย์ไม่ได้เป็นเช่นนี้ พระเจ้าทรงไม่มีขอบเขตจำกัด “คลังสติปัญญาและความรู้ทุกอย่าง ทรงปิดซ่อนไว้ในพระองค์” (โคโลสี 2:3) และตลอดชั่วนิรรันดร์กาล มนุษย์จะค้นคว้าต่อไป
เรียนรู้ไปตลอดและจะไม่มีวันที่จะใช้ขุมทรัพย์แห่งพระปัญญา คุณความดีและอำนาจของพระองค์ได้หมด {SC 109.1}
พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะเปิดเผยความจริงที่มีอยู่ในพระวจนะของพระองค์ให้แก่ประชากรของพระองค์ มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่เราจะได้รับความรู้นี้
เราจะได้ความรู้ความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าผ่านทางการทำให้กระจ่างขึ้นโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น พระวิญญาณทรงเป็นผู้ประทานพระวจนะนี้ “พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้
เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น” “เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า” (1 โครินธ์
2:11, 10)
และพระผู้ช่วยให้รอดทรงสัญญากับผู้ติดตามของพระองค์ว่า “เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว
พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล.....เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย” (ยอห์น 16:13, 14) {SC 109.2}
พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะให้มนุษย์ฝึกฝนการใช้เหตุผล และการศึกษาพระคัมภีร์จะทำให้สมองมีประสิทธิภาพดีขึ้นและสูงส่งขึ้นอย่างที่ไม่มีการศึกษาอื่นใดสามารถทำได้
แต่เราจะต้องระมัดระวังการบูชาเหตุผลซึ่งเป็นจุดอ่อนและจุดบกพร่องของมนุษยชาติ
หากเราไม่ต้องการให้ความเข้าใจของเราบดบังพระคัมภีร์จนเราเข้าใจความจริงเรียบง่ายที่สุดไม่ได้
เราจะต้องมีความเรียบง่ายและความเชื่อเหมือนกับเด็กเล็กๆ
พร้อมที่จะเรียนรู้และวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเราตระหนักถึงอำนาจและพระปัญญาของพระเจ้าและความไม่สามารถของเราในการที่จะเข้าใจความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแล้ว เรื่องนี้จะต้องดลบันดาลเราให้ถ่อมใจลง
และเราจะต้องเปิดพระวจนะของพระองค์ด้วยความยำเกรงเช่นเดียวกับเวลาที่เราเข้าเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ เมื่อเราเข้ามาหาพระคัมภีร์ ความมีเหตุผลของเราจะต้องยอมรับอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าเหตุผล
และจิตใจรวมทั้งสติปัญญาจะต้องน้อมคำนับลงต่อพระเจ้าผู้ทรง “เป็นซึ่งเราเป็น” {SC 109.3}
มีหลายสิ่งที่ดูว่ายากและคลุมเครือ
แต่พระเจ้าจะทรงประทานความกระจ่างและความเข้าใจให้แก่ผู้ที่แสวงหาความเข้าใจ ถ้าหากเราไม่ได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
เราจะเลี่ยงต่อการที่จะต้องปล้ำสู่กับพระคัมภีร์หรือแปลความหมายผิดได้ตลอดเวลา
มีการอ่านพระคัมภีร์มากมายที่ไม่เกิดประโยชน์และในหลายๆ กรณีกลับส่งผลเสีย
เมื่อเราเปิดพระวจนะของพระเจ้าโดยปราศจากความรู้สึกยำเกรงและปราศจากการอธิษฐาน
เมื่อความนึกคิดและความรู้สึกของเราไม่ได้ติดสนิทอยู่กับพระเจ้า หรือประสานเข้ากับน้ำพระทัยของพระองค์ เมื่อนั้นความนึกคิดของเราจะถูกครอบงำด้วยความสงสัยและการศึกษาพระคัมภีร์ในสภาพเช่นนี้จะทำให้ความสงสัยมีอำนาจมากขึ้นศัตรูจะเข้าควบคุมความคิด
และมันจะเสนอคำแปลที่มีความหมายไม่ถูกต้อง
เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ไม่ได้แสวงหาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้าทั้งในพระธรรมและการกระทำแล้ว ไม่ว่าเขาจะเรียนมามากเพียงไร เขาก็อาจจะเข้าใจพระคัมภีร์ผิดได้
และการวางใจในคำอธิบายของเขาก็เป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัย ผู้ที่มองเห็นความขัดแย้งในพระคัมภีร์ ก็เป็นผู้ที่ไม่มีสายตาทางฝ่ายวิญญาณ เนื่องจากสายตาของพวกเขาผิดเพี้ยน
พวกเขาจึงมองสิ่งที่เรียบง่ายและชัดเจนกลายเป็นสิ่งที่สร้างความสงสัยและความไม่เชื่อให้แก่เขา {SC 110.1}
ในแทบทุกกรณีไม่ว่าจะมีการอำพรางกันอย่างไรก็ตาม
ความรักในบาปคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดความสงสัยและความแคลงใจ จิตใจที่หยิ่งยโสและรักบาปจะไม่ยินดีรับฟังคำสอนและข้อห้ามต่างๆ
ที่มีอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า
และผู้ที่ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ก็พร้อมที่จะสงสัยอำนาจของพระวจนะ การที่จะเข้าถึงความจริงได้นั้น
เราจะต้องมีความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะเรียนรู้ความจริงและมีความเต็มใจที่จะปฏิบัติตามและทุกคนที่เข้ามาศึกษาพระคัมภีร์ด้วยวิญญาณจิตเช่นนี้ จะพบหลักฐานมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า และเขาก็จะเข้าใจความจริงที่ให้เขา “ได้ปัญญาถึงความรอด” (2 ทิโมธี 3:15
TKJV) {SC 111.1}
พระคริสต์ตรัสว่า “ถ้าผู้ใดตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้นั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนั้นมาจากพระเจ้า” (ยอห์น 7:17)
แทนที่จะคอยตั้งข้อสงสัยและคอยจับผิดสิ่งที่ท่านไม่เข้าใจ ขอให้ท่านใส่ใจกับแสงสว่างที่ส่องมาถึงตัวของท่าน แล้วท่านจะได้รับแสงที่สว่างมากยิ่งขึ้น โดยพระคุณของพระคริสต์ จงประกอบหน้าที่ทุกๆ
หน้าที่ที่เปิดให้กับความเข้าใจอย่างถ่องแท้ของท่านแล้วท่านก็จะเข้าใจและทำในส่วนที่ท่านยังสงสัยอยู่ในเวลานี้ {SC 111.2}
มีอยู่หลักฐานหนึ่งที่เปิดให้กับทุกคน
ทั้งแก่ผู้ที่มีการศึกษาสูงที่สุดและผู้ที่ไม่มีการศึกษาเลย นั่นคือ
หลักฐานของประสบการณ์
พระเจ้าทรงเชิญชวนเราให้พิสูจน์ความจริงในพระวจนะของพระองค์ด้วยตัวของเราเอง
พิสูจน์ความจริงในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ พระองค์ทรงเชิญชวนเราให้ “ชิมดูแล้วจะเห็นว่าพระเจ้าประเสริฐ” (สดุดี 34:8)
แทนที่จะวางใจในคำพูดของผู้อื่นเราจะต้องทดสอบด้วยตัวเราเอง พระองค์ทรงประกาศว่า “จงขอแล้วจะได้” (ยอห์น 16:24)
ก็จะเป็นไปตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้
พระสัญญาของพระเจ้าไม่เคยล้มเหลวและไม่มีทางที่จะล้มเหลวและเมื่อเราเข้ามาใกล้พระเยซูและชื่นชมกับความรักอันไพบูลย์ของพระองค์แล้ว
ความสงสัยและความมืดมนจะหายสาบสูญไปในความสว่างแห่งการทรงร่วมสถิตอยู่ของพระองค์ {SC 111.2}
อัครทูตเปาโลกล่าวว่า พระเจ้า
“ทรงช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของความมืด และได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในแผ่นดินแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์” (โคโลสี 1:13)
และทุกคนที่ก้าวออกจากความตายไปสู่ชีวิตจะ
“ประทับตราลงว่าพระเจ้าสัตย์จริง” (ยอห์น 3:33) เขาก็จะเป็นพยานว่า ”ข้าพเจ้าต้องการความช่วยเหลือและข้าพเจ้าก็พบการช่วยเหลือนั้นในองค์พระเยซู ความต้องการในทุกสิ่งก็ได้รับการเติมเต็ม
จิตวิญญาณที่หิวกระหายก็ได้รับความเต็มอิ่มและบัดนี้
พระคัมภีร์ก็เป็นหนังสือที่เปิดเผยเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ให้แก่ข้าพเจ้า ท่านอาจถามว่า
ทำไมข้าพเจ้าจึงเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์
ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าส่งมาให้แก่ข้าพเจ้า แล้วทำไมข้าพเจ้าจงเชื่อในพระคัมภีร์ ก็เพราะข้าพเจ้าได้พบว่า
พระคัมภีร์เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับจิตวิญญาณของข้าพเจ้า”
เราจะเป็นพยานให้กับตัวของเราเองว่า
สิ่งต่างๆ ในพระคัมภีร์เป็นความจริง
พระคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
เรามั่นใจได้ว่า
เราไม่ได้ติดตามนวนิยายที่ถูกแต่งขึ้นด้วยความเจ้าเล่ห์ {SC 112.1}
เปโตร สนับสนุนพี่น้องของท่านให้ “เจริญขึ้นในพระคุณและในความรู้ซึ่งมากจากพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา” (2 เปโตร 3:18) เมื่อประชากรของพระเจ้าเติบโตขึ้นในพระคุณ
พวกเขาก็จะเข้าใจพระวจนะของพระองค์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
พวกเขาจะมองเห็นความจริงศักดิ์สิทธิ์ด้วยแสงสว่างและความงดงามใหม่ สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์คริสตจักรตลอดทุกยุคสมัย และจะเป็นเช่นนี้จนถึงสินยุค “วิถีของคนชอบธรรมเหมือนแสงอรุณซึ่งฉายสุกใสยิ่งขึ้นๆ
จนเต็มวัน” (สุภาษิต
4:18) {SC 112.2}
โดยความเชื่อเราจะมองไปยังภาคหน้าและยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้าซึ่งจะทำให้เราเติบใหญ่ขึ้นทางปัญญา เมื่อความสามารถของมนุษย์ประสานเข้ากับพระเจ้า
และพลังอำนาจทั้งหมดของจิตวิญญาณถูกนำให้เข้ามาสัมผัสโดยตรงกับพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งของความสว่าง หลังจากนั้นเราได้รับการทำให้กระจ่างแจ้ง สิ่งต่างๆ ที่เข้าใจยากก็จะมีคำอธิบาย และสิ่งที่สมองอันมีขอบเขตจำกัดของเรามองเห็นแต่เพียงความมุ่งหมายที่สับสนและแตกแยกนั้น
เราก็จะมองเห็นความกลมกลืนที่สมบูรณ์แบบและสวยงามที่สุด “เพราะบัดนี้เราเห็นสลัวๆ
เหมือนดูในกระจกเงา
แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน
เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์
เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า” (1 โครินธ์
13:12) {SC 112.3}
เคล็ดลับที่
13
จงชื่นชมยินดีในพระเจ้า
พระเจ้าทรงเรียกเชิญให้เหล่าบุตรทั้งหลายของพระองค์มาเป็นตัวแทนของพระคริสต์ เพื่อให้คนทั้งหลายได้มองเห็นถึงความดีและพระเมตตาคุณของพระเจ้า
พระเยซูทรงเปิดเผยพระลักษณะที่แท้จริงของพระบิดาให้แก่เรา ดังนั้น
เราจึงต้องแสดงพระคริสต์ให้แก่ชาวโลกที่ไม่รู้จักความรักที่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยนและความเมตตาของพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกฉันใด ข้าพระองค์ก็ใช้เขาไปในโลกฉันนั้น” “ข้าพระองค์อยู่ในเขาและพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์.....เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา” (ยอห์น 17:18, 23)
อัครทูตเปาโลกล่าวกับผู้ที่เป็นสาวกของพระเยซูว่า “ท่านปรากฏเป็นหนังสือของพระคริสต์” “ให้คนทั้งปวงได้รู้และได้อ่าน” (2 โครินธ์
3:3, 2)
พระเยซูทรงประสงค์ให้บุตรทุกคนของพระองค์นำจดหมายของพระองค์ไปให้แก่โลก ถ้าท่านเป็นผู้ติดตามของพระคริสต์
พระองค์ทรงฝากให้ท่านนำจดหมายที่อยู่ในตัวของท่าน ส่งต่อไปให้แก่ครอบครัวของท่าน ให้แก่หมู่บ้าน ตามถนนหนทางในละแวกที่ท่านอาศัย เมื่อพระเยซูสถิตอยู่ในท่าน พระองค์ทรงปรารถนาตรัสผ่านท่านไปยังจิตใจของผู้ที่ยังไม่คุ้นกับพระองค์บางทีพวกเขาไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือไม่ได้ยินพระสุร
เสียงที่พระองค์ตรัสกับเขาผ่านทางพระคริสตธรรมคัมภีร์ในแต่ละหน้า
พวกเขามองไม่เห็นความรักของพระเจ้าที่มีอยู่ในพระราชกิจของพระองค์
แต่หากท่านเป็นตัวแทนที่สัตย์ซื่อของพระเยซูแล้ว
ท่านอาจชักนำพวกเขาให้มาเข้าใจคุณความดีบางประการของพระเจ้าโดยผ่านตัวท่าน
และนำพวกเขาเข้ามาสู่ความรักและการร่วมรับใช้พระองค์ {SC 115.1}
คริสเตียนเป็นผู้ถือประทีปบนเส้นทางที่มุ่งไปยังสวรรค์
เขาจะต้องสะท้อนความสว่างที่ได้รับจากพระคริสต์ไปให้แก่คนในโลก
ชีวิตและอุปนิสัยของเขาจะต้องทำให้ผู้อื่นเข้าใจพระคริสต์และพระราชกิจแห่งการรับใช้ของพระองค์ได้อย่างถูกต้อง {SC 115.2}
หากเราเป็นตัวแทนของพระคริสต์ เราจะทำให้งานแห่งการรับใช้พระองค์น่าสนใจ
ตามความเป็นจริงคริสเตียนทีเก็บรวบรวมความหดหู่และความโศกเศร้าไว้ในจิตวิญญาณของตนเองและโอดครวญและบ่น กำลังแสดงตัวอย่างไม่ถูกต้องของพระเจ้าและของชีวิตคริสเตียนให้แก่ผู้อื่น
พวกเขาจะทำให้คนอื่นคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยที่จะให้บุตรของพระองค์มีความสุขและด้วยการทำเช่นนี้ เขาเป็นพยานเท็จให้กับพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ {SC 116.1}
ซาตานยินดีปรีดาเมื่อมันนำบุตรของพระเจ้าไปสู่ความไม่เชื่อและความหดหู่ใจ
มันชื่นชอบที่เห็นเราขาดความไว้วางใจในพระเจ้า
สงสัยน้ำพระทัยของพระองค์และอำนาจของพระองค์ที่จะช่วยเราให้รอด มันพอใจเมื่อมันทำให้เรารู้สึกว่า การทรงนำของพระเจ้าจะนำภัยมาให้เรา เป็นงานของซาตานที่ต้องการทำให้เรามองเห็นว่าพระเจ้าขาดความเห็นใจและไม่สงสารผู้ใด
มันอ้างความจริงในเรื่องของพระองค์ไปในทางที่ผิด
มันเสริมแต่งจินตนาภาพเรื่องของพระเจ้าด้วยแนวคิดที่ผิด
และแทนที่เราจะใส่ใจในความจริงเรื่องของพระบิดาบนสวรรค์ สมองขอบงเราไปยึดติดอยู่กับภาพผิดๆ
ที่ซาตานได้เอามาให้และหลู่พระเกียรติของพระเจ้าด้วยการไม่วางใจในพระองค์และบ่นติเตียนพระองค์
ซาตานคอยหาทางอยู่เสมอที่จะทำให้ชีวิตฝ่ายศาสนาเป็นเรื่องที่เศร้าหมอง มันต้องการทำให้ชีวิตฝ่ายศาสนาเป็นภาระและเต็มไปด้วยความยากลำบาก
และเมื่อคริสเตียนนำเสนอชีวิตฝ่ายศาสนาของเขาเองด้วยภาพเช่นนี้ด้วยความไม่เชื่อของเขาจึงไปสนับสนุนการหลอกลวงของซาตาน {SC 116.2}
คนมากมายที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งชีวิตได้หมกมุ่นอยู่กับความผิดและความล้มเหลวและความผิดหวังของตนเอง
และจิตใจของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์และความท้อแท้ใจ ในขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในทวีปยุโรป มีน้องหญิงคนหนึ่งที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ และเธอตกอยู่ในความทุกข์ เธอเขียนจดหมายมาหาข้าพเจ้าและขอคำหนุนใจ
ในคืนนั้นหลังจากที่ข้าพเจ้าได้อ่านจดหมายของเธอ ข้าพเจ้าฝันว่า ข้าพเจ้ากำลังเดินอยู่ในสวนแห่งหนึ่ง และมีผู้หนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นเจ้าของสวนกำลังเดินนำข้าพเจ้าไปตามทางเดินของสวน
ข้าพเจ้ากำลังเก็บดอกไม้และเพลิดเพลินอยู่กับกลิ่นหอมของมัน
เมื่อน้องหญิงผู้นี้ซึ่งเดินอยู่เคียงข้างข้าพเจ้าได้ดึงข้าพเจ้าให้หันมาสนใจมองดูหนามบางส่วนที่ขวางอยู่บนทางเดินของเธอ เธอคร่ำครวญและเศร้าสลดอยู่ตรงนั้น เธอไม่ได้เดินไปตามทางเดินที่คนนำทางพาไป แต่กลับเดินเข้าไปสู่กลางขวากและพงหนาม เธอร้องครวญครางด้วยความท้อใจว่า “น่าเสียดายจริงๆ
ที่หนามแหลมพวกนี้ทำลายสวนที่สวยงามแห่งนี้” แล้วคนนำชมสวนตอบว่า “อย่าไปสนใจคมหนามเหล่านั้น มันเพียงแค่ทำให้คุณเจ็บปวดเท่านั้นเอง ให้เราเก็บดอกกุหลาบ ดอกลิลลี่และดอกมะลิกันเถิด” {SC 116.3}
ประสบการณ์ชีวิตของท่านไม่มีช่วงสดใสบ้างหรือ
ท่านไม่เคยมีช่วงเวลาอันทรงคุณค่าเมื่อหัวใจของท่านเต้นอย่างมีความสุขเพื่อตอบสนองพระวิญญาณของพระเจ้าหรือ เมื่อท่านมองย้อนกลับไปยังบทต่างๆ ในหน้าหนังสือของประสบการณ์ชีวิตของท่านที่ผ่านๆ
มา
ไม่มีหนังสือบันทึกหน้าใดในประสบการณ์ของท่านที่สร้างความสุขให้ท่านบ้างหรือ
พระสัญญาของพระเจ้าไม่ได้เป็นเหมือนดอกไม้ซึ่งขึ้นอยู่ตามทางเดินของท่านที่ส่งกลิ่นหอมบ้างหรือ
ท่านจะไม่ให้ความงดงามและความหวานชื่นของดอกไม้เติมจิตใจของท่านให้เต็มด้วยความสุขบ้างหรือ {SC
117.1}
ขวากหนามเพียงแต่ทำให้ท่านบาดเจ็บและโศกเศร้าใจ และหากท่านจะเก็บรบรวมแต่สิ่งเหล่านี้ และนำไปเสนอให้แก่ผู้อื่น ท่านไม่เพียงกำลังดูแคลนพระคุณความดีของพระเจ้าด้วยตัวท่านเองเท่านั้น แต่ท่านกำลังขัดขวางคนรอบข้างให้ออกไปจากการเดินในทางแห่งชีวิตด้วยหรือไม่ {SC 117.2}
เป็นการไม่ฉลาดที่จะเก็บรวบรวมความทรงจำที่ไม่ราบรื่นทั้งหมดของชีวิตที่ผ่านมาเอาไว้ รวมทั้งความเลวร้ายและความผิดหวัง
เพื่อพูดและโอดครวญถึงเหตุการณ์เหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งตัวเราเองถูกครอบงำด้วยความท้อแท้
จิตวิญญาณที่ท้อถอยนี้จะเต็มไปด้วยความมืดมน
ความรู้สึกเช่นนี้จะปิดกั้นจิตวิญญาณของเขาเองจากแสงสว่างของพระเจ้า และยังทอดเงามืดลงบนเส้นทางเดินของผู้อื่นอีกด้วย {SC 117.3}
จงขอบคุณพระเจ้าสำหรับภาพเหตุการณ์อันสดใสซึ่งพระองค์ทรงประทานให้แก่เรา
จงนำคำสัญญาอันประเสริฐที่มีอยู่ในความรักของพระองค์มารวมเข้าด้วยกัน
เพื่อเราจะมองดูภาพเหล่านั้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ภาพเหตุการณ์ที่พระบุตรพระเจ้าทรงสละพระบัลลังก์ของพระบิดา
ภาพที่พระองค์ทรงนำความเป็นมนุษย์มาสวมทับความเป็นพระเจ้าเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากอำนาจของซาตาน
ภาพชัยชนะของพระองค์ที่ทรงทำไว้เพื่อเห็นแก่เรา
ภาพที่พระองค์ได้ทรงเปิดประตูสวรรค์ออกให้แก่มนุษย์ และเปิดเผยให้สายตามนุษย์ได้มองเห็นสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงเปิดเผยพระสิริของพระองค์
ภาพมนุษย์ซึ่งล้มลงในบาปได้ถูกนำขึ้นมาจากหลุมแห่งความพินาศที่บาปได้ผลักเขาให้ตกลงไป
และนำเขากลับมาสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้าพระผู้ไม่มีขอบเขตจำกัด
และได้อดทนต่อการทดสอบของพระเจ้าผ่านทางความเชื่อในพระผู้ไถ่ของเรา เราได้สวมเสื้อความชอบธรรมของพระคริสต์ และถูกยกชูขึ้นไปถึงพระบัลลังก์ของพระองค์ เหล่านี้เป็นภาพที่พระเจ้าทรงปรารถนาให้จิตใจของเราใคร่ครวญอยู่เสมอ {SC 118.1}
เมื่อดูเสมือนหนึ่งว่าเราจะสงสัยในความรักของพระเจ้าและไม่วางใจในพระสัญญาของพระองค์
เราได้หลู่เกียรติพระองค์และทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เสียพระทัย คุณแม่จะรู้สึกอย่างไรกับลูกๆ ที่คอยบ่นต่อว่าเธออยู่เสมอๆ
ราวกับว่าเธอไม่เคยหวังดีต่อพวกเขาเลย
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว
ทุกสิ่งที่เธอทำตลอดชีวิตของเธอนั้น
ก็ทำเพื่อประโยชน์ของพวกเขาและเพื่อให้เขาสุขสบาย สมมติว่าพวกเขารู้สึกสงสัยในความรักของเธอ สิ่งนี้จะทำให้หัวใจของเธอแตกสลาย ผู้ที่เป็นพ่อแม่จะรู้สึกอย่างไร หากลูกๆ ของเขาทำกับเขาเช่นนี้
และพระบิดาของเราบนสวรรค์จะทรงมีท่าทีต่อเราอย่างไรเมื่อเราไม่ไว้วางใจในความรักของพระองค์
ซึ่งเป็นความรักที่ทำให้พระองค์ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อที่เราจะได้มีชีวิต อัครทูตบันทึกไว้ว่า “พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา
ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ” (โรม 8:32) ถึงกระนั้นก็ตาม มีคนมากมายเพียงไรที่การกระทำของเขาแสดงออกมาให้เห็นเป็นคำพูดว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการให้ฉัน บางทีพระองค์อาจจะทรงรักคนอื่น แต่พระองค์ไม่ได้รักฉัน” {SC 118.2}
สิ่งเหล่านี้กำลังทำร้ายจิตวิญญาณของท่าน เพราะคำสงสัยทุกคำที่ท่านกล่าวออกมานั้น เท่ากับเป็นการเชิญชวนการทดลองของซาตาน สิ่งนี้ทำให้นิสัยช่างสงสัยในตัวของท่านแกร่งกล้าขึ้น และทำให้ทูตสวรรค์ที่คอยดูแลท่านเศร้าใจ เมื่อซาตานล่อลวงท่าน จงอย่าระบายคำพูดที่สงสัยหรือขุ่นมัวออกมาแม้เพียงสักคำเดียว
หากท่านเลือกที่จะเปิดประตูให้แก่คำเสนอแนะของมัน สมองของท่านก็จะเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่วางใจและการดื้อเพ่ง หากท่านกล่าวความรู้สึกของท่านออกมา คำพูดที่ชวนให้สงสัยทุกคำที่ท่านกล่าวออกมาจะไม่เพียงมีผลกับตัวของท่านเองเท่านั้น
แต่จะเป็นเมล็ดที่แตกหน่อและเกิดผลในชีวิตของผู้อื่นอีกด้วย
และคงจะไม่มีทางหักล้างอิทธิพลที่มาจากคำพูดของท่านได้ ท่านเองอาจฟื้นคืนจากช่วงเวลาแห่งการทดลองและหลุดพ้นจากกับดักของซาตาน
แต่ผู้อื่นที่ซวนเซเนื่องจากอิทธิพลของท่าน
อาจไม่สามารถหลุดรอดจากความไม่เชื่อที่ท่านกล่าวไว้
การพูดถึงแต่สิ่งที่ให้กำลังและชีวิตแก่จิตวิญญาณ จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งเพียงไร {SC 119.1}
ทูตสวรรค์กำลังคอยฟังว่าท่านกำลังเป็นพยานถึงพระอาจารย์ในสวรรค์ของท่านให้แก่โลกอย่างไร
จงให้การสนทนาของท่านเป็นเรื่องของพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ เพื่อทรงเป็นผู้แก้ต่างต่อเบื้องพระบิดาให้แก่ท่าน เมื่อท่านจูงมือของมิตรสหาย จงให้คำสรรเสริญพระเจ้าติดอยู่บนริมฝีปากของท่านและในจิตใจของท่าน
นี่คือวิธีที่ท่านจะดึงดูดความคิดของเขาเข้าไปหาพระเยซู {SC 119.2}
ทุกคนต่างมีความทุกข์ยาก มีความโศกเศร้าที่แทบจะแบกรับไม่ไหว มีการทดลองที่ยากจะต่อต้านได้
อย่านำปัญหาของท่านไปบอกแก่เพื่อนมนุษย์ผู้ที่ต้องตาย แต่จงนำทุกสิ่งมายังพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน
จงตั้งเป็นกฎไว้ว่าท่านจะไม่พูดคำพูดที่ชวนให้สงสัยหรือคำพูดที่ทำให้เกิดความท้อแท้ใจแม้เพียงสักคำเดียว ท่านสามารถทำให้ชีวิตของผู้อื่นสดใสขึ้นได้มาก
และทำให้ความพยายามของเขาแข็งแกร่งขึ้นด้วยคำพูดที่ให้ความหวังและกำลังใจที่บริสุทธิ์ {SC 119.3}
มีจิตวิญญาณกล้าหาญมากมายที่ถูกบีบคั้นด้วยการทดลองและพร้อมที่จะยอมแพ้ต่อการต่อสู้กับตัวเองและอำนาจของความชั่ว
จงอย่าทำให้ผู้ที่ดิ้นรนอย่างหนักเช่นนี้ท้อใจ
จงให้กำลังใจแก่เขาด้วยคำพูดที่แกร่งกล้าและให้ความหวัง เพื่อหนุนให้เขาเดินในทางชีวิตของเขาต่อไป
ด้วยการทำเช่นนี้จะทำให้แสงสว่างของพระคริสต์ส่องออกมาจากตัวท่าน “ไม่มีผู้ใดมีชีวิตอยู่เพื่อตนเองฝ่ายเดียว” (โรม 14:7) อิทธิพลที่ท่านทำไปโดยไม่รู้ตัวนี้
อาจจะทำให้ผู้อื่นมีกำลังใจและเข้มแข็งยิ่งขึ้น หรือทำให้เขาเกิดความท้อถอยและถูกผลักไสออกห่างจากพระคริสต์และความจริง {SC 120.1}
คนมากมายมีแนวคิดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับชีวิตและพระลักษณะของพระคริสต์
พวกเขาคิดว่าชีวิตของพระองค์ไม่อบอุ่นและไม่สดใส พระองค์มีแต่ความแข็งกร้าว เข้มงวด
และไม่มีความสุข
คนมากมายมีประสบการณ์ทางศาสนาโดยรวมที่ถูกระบายด้วยภาพที่เศร้าหมองเช่นนี้ {SC 120.2}
คนมักอ้างเสมอว่าพระเยซูทรงกันแสง แต่เป็นที่ทราบกันว่าพระองค์ไม่เคยยิ้ม จริงอยู่
พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงเป็นบุรุษแห่งความเศร้าและทรงคุ้นเคยกับความระทมทุกข์
เพราะพระองค์ทรงเปิดพระทัยให้กับความทุกข์ยากทั้งหมดของมนุษย์ ถึงแม้ชีวิตของพระองค์จะเป็นชีวิตที่มีแต่การปฏิเสธตนเองและครอบคลุมด้วยเงาแห่งความเจ็บปวดและความห่วงใย แต่วิญญาณจิตของพระองค์ไม่เคยชอกช้ำ พระพักตร์ของพระองค์ไม่เคยแสดงออกถึงความเศร้าโศกและความไม่พอใจ จะมีแต่ความสงบเยือกเย็น จิตใจของพระองค์เป็นน้ำพุแห่งชีวิต และทุกหนแห่งที่พระองค์ทรงดำเนินไป พระองค์ทรงนำการพักผ่อนและสันติสุข ความสุขและความชื่นชมยินดีไปด้วย {SC 120.3}
พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงเป็นผู้ที่เคร่งขรึมมากและมีความตั้งใจอันแรงกล้า
แต่พระองค์ไม่เคยมีจิตใจที่ห่อเหี่ยวหรือมีอารมณ์ที่ขุ่นมัว ชีวิตของผู้ที่ทำตามแบบอย่างของพระองค์จะต้องเต็มไปด้วยเป้าหมายที่ตั้งใจจริง
ความรู้สึกส่วนตัวของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความรับผิดชอบอย่างแท้จริง ความไม่เอาจริงเอาจังจะต้องถูกควบคุม จะไม่มีการรื่นเริงที่อึกทึก ไม่มีการล้อเล่นที่ไม่สุภาพ แต่ศาสนาของพระเยซูจะมอบความสงบสุขดั่งสายธาร เป็นศาสนาที่จะไม่ดับแสงสว่างของความสุข ไม่หยุดยั้งความชื่นบาน หรือบดบังความแจ่มใสบนใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
พระคริสต์เสด็จมาไม่ใช่ให้ผู้อื่นมาคอยรับใช้ แต่ทรงมาเพื่อรับใช้ผู้อื่น
และเมื่อความรักของพระองค์มีอำนาจครอบครองอยู่ในจิตใจแล้ว เราก็จะทำตามแบบอย่างของพระองค์ {SC 120.4}
หากเรารวบรวมความไม่ดีและไม่เป็นธรรมที่ผู้อื่นทำไว้และเก็บไว้ในจุดสุดยอดแห่งความคิดของเราแล้ว
จะพบว่าเราจะรักเขาเหมือนเช่นที่พระคริสต์ทรงรักเราไม่ได้ แต่หากความคิดของเราจะมีแต่ความรักและพระเมตตาอันอัศจรรย์ที่พระคริสต์ทรงมีต่อเราแล้ว วิญญาณเดียวกันนี้จะไหลออกไปยังผู้อื่น เราจะรักและเคารพซึ่งกันและกัน
และอดทนต่อความผิดและความไม่สมบูรณ์แบบที่เรามองเห็นอย่างไม่ตั้งใจได้
เราจะต้องปลูกฝังเรื่องความถ่อมตนและความไม่วางใจในตัวเราเอง รวมทั้งความอดทนที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนต่อความผิดของผู้อื่น การทำเช่นนี้จะกำจัดใจคับแคบที่เห็นแก่ตัว
และทำให้เราเป็นคนใจกว้างและมีจิตใจที่เผื่อแผ่ {SC 121.1}
ผู้ประพันธ์สดุดีตรัสว่า “จงวางใจในพระเจ้า และกระทำความดี
ท่านจึงอาศัยอยู่ในแผ่นดินและชื่นบานอยู่กับความปลอดภัย” (สดุดี 37:3) “จงวางใจในพระเจ้า”
แต่ละวันมีภาระหนักของวันนั้น
มีเรื่องที่เราต้องเอาใจใส่และเรื่องที่นำความกังวลมาให้สำหรับวันนั้นๆ
และเมื่อเรามาพบหน้ากัน เราก็มีความพร้อมเพียงไรที่จะพูดคุยถึงเรื่องของความทุกข์ยากและความลำบากของเรา เราปล่อยปัญหาจำนวนมากที่เราหยิบยืมมาให้บุกรุกตัวเรา เราปล่อยตัวให้กับความกลัวมากมาย
และเราก็แสดงภาระแห่งความกังวลที่หนักหน่วงออกมาให้เห็น จนอาจจะทำให้บางคนคิดว่า
เราคงไม่มีพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงรักและเมตตา
ผู้ทรงพร้อมที่จะคอยฟังคำทูลขอของเราทุกเรื่องและทรงสถิตอยู่กับเราเพื่อช่วยเหลือเราในยามที่เราต้องการ {SC 121.2}
มีบางคนตกอยู่ในสภาวะของความกลัวอยู่ตลอดเวลาและชอบตามหาปัญหา
ในทุกวันพวกเขาถูกห้อมล้อมด้วยของประทานแห่งความรักของพระเจ้า
ในแต่ละวันเขามีความสุขกับการทรงนำของพระองค์ที่มีอยู่อย่างมากมาย แต่พวกเขากลับมองข้ามพระพรที่อยู่รอบตัวเขา ความนึกคิดของเขาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เขาไม่ชอบ ที่กลัวว่าจะมาถึงตัวเขาหรือเขาอาจหมกมุ่นอยู่กับความทุกข์ยากเล็กน้อยบางอย่างซึ่งอาจจะมีอยู่จริง
แต่เขาปล่อยให้ความทุกข์ยากเหล่านั้นปิดตาของเขาจนมองไม่เห็นสิ่งของมากมายที่เขาควรสำนึกในพระคุณ แทนที่เขาจะผลักความทุกข์ยากที่เขาประสบอยู่นั้นไปให้พระเจ้า ผู้ทรงเป็นแหล่งเดียวของความช่วยเหลือ
เขากลับปล่อยให้ความทุกข์ยากนั้นแยกตัวเขาเองออกไปจากพระองค์เพราะเขาปลุกความว้าวุ่นและการโอดครวญขึ้นมา {SC 121.3}
เราจะทำตัวเป็นคนไม่เชื่อเช่นนี้หรือ ทำไมเราจึงต้องเป็นคนอกตัญญูและขาดความวางใจ พระเยซูทรงเป็นมิตรของเรา
ชาวสวรรค์ทั้งหมดใส่ใจในความทุกข์สุขของเรา เราจะต้องไม่ปล่อยให้ความทุกข์ใจและความกังวลของชีวิตประจำวันทำให้สมองของเราหงุดหงิดและทำให้ความคิดของเรามืดมน หากเป็นเช่นนี้ เราจะมีแต่เรื่องที่ทำให้เราหงุดหงิดและรำคาญใจอยู่เสมอ
เราจะต้องไม่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ทำให้เรากลัดกลุ่มและบั่นทอนเรา ซึ่งไม่ช่วยให้เราอดทนต่อการทดลองต่างๆ
ได้ {SC 122.1}
ท่านอาจจะปวดหัวกับธุรกิจของท่าน สิ่งที่ท่านคาดหวังไว้อาจจะมืดมนลงไปเรื่อยๆ
และท่านอาจจะถูกคุกคามด้วยความรู้สึกของการสูญเสียแต่จงอย่าหมดกำลังใจ จงมอบความกังวลของท่านไว้กับพระเจ้า และรักษาความสงบและความชื่นบานไว้
อธิษฐานทูลขอสติปัญญาเพื่อจัดการกับธุรกิจของท่านอย่างสุขุม
และการทำเช่นนี้จะป้องกันความสูญเสียและหายนะได้
จงทำทุกอย่างเท่าที่ท่านสามารถทำได้ในส่วนของท่านเพื่อให้เกิดผลดีที่สุด พระเยซูทรงสัญญาที่จะประทานความช่วยเหลือ แต่ไม่ใช่โดยปราศจากความพยายามของท่าน
เมื่อท่านทำทุกสิ่งเท่าที่ท่านจะทำได้ พร้อมทั้งพึ่งในพระผู้ช่วยของเราแล้ว ขอให้ยอมรับผลลัพธ์ด้วยความชื่นบาน {SC 122.2}
พระเจ้าไม่ประสงค์จะให้ประชากรของพระองค์ถูกทับถมด้วยความห่วงใย แต่พระองค์ผู้เป็นเจ้าของเราไม่เคยหลอกลวงเรา พระองค์ไม่เคยตรัสกับเราว่า “อย่ากลัวเลย ไม่มีภัยอันตรายตามทางเดินของท่าน” พระองค์ทรงทราบดีว่า
ตามทางที่เราเดินไปนั้นเต็มไปด้วยการทดลองและภัยอันตราย และพระองค์ทรงปฏิบัติต่อเราอย่างตรงไปตรงมา
พระองค์ไม่ได้ทรงเสนอที่จะนำประชากรของพระองค์ออกไปจากโลกแห่งความบาปและความชั่ว
แต่พระองค์ทรงชี้ไปยังที่หลบภัยที่เชื่อถือได้
พระองค์ทรงอธิษฐานเพื่อเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาเขาออกไปจากโลก แต่ขอปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย” พระองค์ตรัสว่า “โลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว” (ยอห์น 17:15,
16:33) {SC 122.3}
ในคำเทศนาบนภูเขาของพระคริสต์
พระองค์ทรงสอนบทเรียนอันมีค่าของความจำเป็นที่จะต้องวางใจในพระเจ้าให้แก่สาวกทั้งหลายของพระองค์
บทเรียนเหล่านี้มีไว้เพื่อให้กำลังใจแก่บุตรทั้งหลายของพระเจ้าตลอดทุกยุคสมัย
และบทเรียนซึ่งเต็มไปด้วยคำชี้แนะและคำเล้าโลมใจมากมายเหล่านี้ได้ตกทอดลงมายังยุคของเรา
พระผู้ช่วยให้รอดทรงชี้ให้บรรดาผู้ติดตามของพระองค์มองดูนกในอากาศที่กำลังส่งเสียงร้องสรรเสริญ มันไม่ต้องกังวลเรื่องราวใดๆ เพราะ “มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว” และถึงกระนั้น
พระบิดายิ่งใหญ่ทรงประทานสิ่งที่จำเป็นแก่มัน พระผู้ช่วยให้รอดตรัสถามว่า “ท่านทั้งหลายมีประเสริฐกว่านกหรือ” (มัทธิว 6:26)
พระผู้ทรงเป็นผู้ดูแลที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายได้ทรงกางพระหัตถ์ของพระองค์ออกและจัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง
นกในอากาศไม่ได้อยู่นอกสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงใส่อาหารเข้าไปในจงอยปากของมัน แต่พระองค์ทรงจัดเตรียมสิ่งที่มันต้องการ พวกมันจะต้องรวบรวมรวงข้าวที่พระองค์ทรงกระจายไว้ มันจะต้องเตรียมวัสดุต่างๆ เพื่อสร้างรังน้อยๆ
ของมัน
มันจะต้องเลี้ยงลูกนกน้อยของมัน
มันส่งเสียงร้องเพลงในขณะที่มันทำงานเพราะ
“พระบิดาของท่านทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้” และ “ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ” (มัทธิว 6:26)
ท่านทั้งหลายที่นมัสการพระเจ้าด้วยปัญญาและจิตวิญญาณจะมีค่าน้อยกว่านกในอากาศเหล่านี้หรือ พระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตของเรา พระผู้ทรงรักษาชีวิตของเรา
พระองค์ผู้ทรงสร้างเราในพระฉายาของพระองค์จะไม่ทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ
ที่เราต้องการ หากเพียงแต่เราจะวางใจในพระองค์หรือ {SC 123.1}
พระคริสต์ทรงชี้ให้สาวกทั้งหลายของพระองค์มองดูดอกไม้ในทุ่งนาที่เบ่งบานอยู่มากมายและส่องรัศมีด้วยความงดงามอันเรียบง่าย ซึ่งพระบิดาในสวรรค์ทรงเป็นผู้ประทานให้ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความรักของพระองค์ที่ทรงมีต่อมนุษย์ พระองค์ตรัสว่า “จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนาว่ามันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร”
ความงามและความเรียบง่ายของดอกไม้ในธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่กว่าสง่าราศีของกษัตริย์ชาโลมอน
อาภรณ์หรูหราที่สุดที่ตัดเย็บขึ้นมาอย่างประณีตไม่อาจเปรียบเทียบได้กับความอ่อนหวานและความงดงามอันอิ่มเอิบของดอกไม้ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ พระเยซูตรัสถามว่า “แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้นซึ่งเป็นอยู่วันนี้และวันรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอ
ผู้มีความเชื่อน้อย
พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ” (มัทธิว 6:28, 30) หากพระเจ้าผู้ทรงเป็นจิตรกรเอกประทานให้ดอกไม้ที่เรียบง่ายสุดซึ่งจะเหี่ยวแห้งไปในวันเดียวให้มีความละเอียดอ่อนและหลากสีแล้ว
พระองค์จะไม่ทรงใส่ใจดูแลผู้ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นตามแบบพระฉายาของพระองค์ให้มากกว่านี้หรือ บทเรียนของพระคริสต์เหล่านี้ ได้ตำหนิจิตใจที่ปราศจากความเชื่อซึ่งมีแต่ความคิดที่กังวล ว้าวุ่นและสงสัย {SC 123.2}
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ให้บุตรชายและบุตรหญิงทั้งหลายของพระองค์มีความสุข มีสันติสุขและเชื่อฟัง พระเยซูตรัสว่า “เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย” “นี่คือสิ่งที่เราได้บอกแก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราดำรงอยู่ในท่าน และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม” (ยอห์น 14:27,
15:11) {SC 124.1}
ความสุขสำราญที่อยู่นอกเส้นทางของหน้าที่ในชีวิตซึ่งหามาได้ด้วยเป้าหมายที่เห็นแก่ตัวนั้นจะเป็นความสุขที่ไม่สมดุล ชั่วคราวและไม่คงทนถาวร ความสุขนั้นจะหมดไป และจิตวิญญาณจะมีแต่ความโดดเดี่ยวและความโศกเศร้าแต่งานรับใช้พระเจ้าจะให้ความปิติยินดีและความพึงพอใจ
คริสเตียนจะไม่ถูกทอดทิ้งให้เดินอยู่บนเส้นทางที่ไม่แน่นอน
เขาจะไม่ตกอยู่ในความเสียใจและความผิดหวังที่ไร้สาระ
หากเส้นทางชีวิตของเราในปัจจุบันนี้ไม่อาจให้ความสุขสำราญแก่เราแล้ว เรายังคงมีความสุขได้โดยการมองไปยังชีวิตในภายภาคหน้า {SC 124.2}
แม้ในเวลานี้คริสเตียนยังมีความสุขกับการสื่อสัมพันธ์ร่วมกับพระคริสต์ได้
พวกเขายังจะได้รับแสงสว่างในความรักของพระองค์
การปลอบประโลมซึ่งจะมีอยู่ตลอดไปจากการทรงร่วมสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ ทุกย่างก้าวของชีวิตจะนำเราให้เข้าใกล้ชิดพระเยซูมากยิ่งขึ้น
จะนำเราให้มีประสบการณ์ในความรักของพระองค์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และจะนำเราให้เข้าใกล้บ้านสันติสุขอันประเสริฐได้อีกก้าวหนึ่ง ดังนั้น
จงอย่าละทิ้งความเชื่อมั่นของเรา
แต่ให้มีความหวังใจที่มั่นคง
ซึ่งมั่นคงยิ่งกว่าที่เคยมีมา “พระเจ้าทรงช่วยพวกเราจนบัดนี้” และพระองค์ก็จะช่วยเราจนถึงที่สุด (1 ซามูเอล 7:12) ให้เรามองไปยังอนุสรณ์ สำคัญที่เตือนความทรงจำของเราว่าพระเจ้าทรงกระทำการใดเพื่อปลอบประโลมใจเราและทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากมือของผู้ทำลาย
ให้เราเก็บความทรงจำถึงพระเมตตาคุณอันอ่อนโยนที่พระเจ้าทรงมีต่อเราให้ใหม่อยู่เสมอ น้ำตาที่พระองค์ทรงเช็ดให้ ความเจ็บปวดที่พระองค์ทรงบรรเทาให้ความกังวลที่ทรงขจัดทิ้ง ความกลัวที่ทรงขับออกไป ความขัดสนที่ได้ทรงเติมให้เต็ม พระพรที่ทรงประทานด้วยการทำเช่นนี้
จะเป็นการเพิ่มพละกำลังให้แก่ตัวของเราเองเพื่อเผชิญหน้ากับทุกสิ่งตลอดเส้นทางการเดินทางของเราที่ยังเหลืออยู่ในโลกนี้ {SC 125.1}
เราไม่อาจทำอย่างอื่นได้นอกจากมองไปยังความงงงวยใหม่ที่มีในความขัดแย้งที่กำลังจะมาถึง
แต่เรามองย้อนหลังพร้อมกับมองไปยังเบื้องหน้าได้และพูดว่า “พระเจ้าทรงช่วยพวกเราจนบัดนี้” “วันคืนของท่านเป็นอย่างไร ขอให้กำลังของท่านเป็นอย่างนั้น” (1 ซามูเอล
7:12, เฉลยธรรมบัญญัติ 33:25 TKJV) การทดลองจะไม่หนักเกินกำลังที่เราจะรับได้
ซึ่งเป็นกำลังที่จะช่วยให้เราทนต่อการทดลองนั้นได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น
ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญหน้ากับงานในสถานที่ใดก็ตาม ขอให้เราลงมือทำงานนั้น โดยเชื่อว่า
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
พระเจ้าจะประทานกำลังอย่างพอเพียงให้แก่เรา เพื่อเราจะทนต่อการทดลองที่เราต้องเผชิญ {SC 125.2}
และในไม่ช้าประตูสวรรค์จะเปิดออกรับเหล่าบุตรทั้งหลายของพระเจ้าและพวกเขาจะได้ยินคำอวยพรซึ่งเป็นเสมือนดนตรีที่ไพเราะที่สุดดังมาจากพระโอษฐ์ของพระราชาพระผู้ทรงเต็มด้วยพระสิริว่า “ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักร
ซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก” (มัทธิว 25:34) {SC 125.3}
แล้วบรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดจะได้รับการต้อนรับกลับบ้านที่พระเยซูทรงจัดเตรียมไว้ให้พวกเขา ในสถานที่นั้นจะไม่มีคนถ่อยของแผ่นดินโลก คนพูดมุสา
คนกราบไหว้รูปเคารพ
คนไม่บริสุทธิ์และคนไม่เชื่อมาเป็นพวกพ้อง
แต่พวกเขาจะมีเพื่อนเป็นผู้ที่ได้ชัยชนะเหนือซาตานและได้สร้างอุปนิสัยที่สมบูรณ์แบบโดยพระคุณของพระเจ้า
พระโลหิตของพระคริสต์ได้ขจัดความโน้มเอียงที่จะทำบาปทั้งหลาย ความไม่บริบูรณ์ทั้งหมดที่ทำให้พวกเขาทุกข์ในอยู่ในเวลานี้จะออกไป
และพวกเขาจะได้รับคุณความดีและความสดใสแห่งพระสิริของพระเจ้าซึ่งเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงของดวงอาทิตย์ ความงดงามทางฝ่ายศีลธรรม
และอุปนิสัยอันสมบูรณ์แบบของพระคริสต์จะส่องผ่านพวกเขาด้วยคุณค่าที่มากเกินกว่าความงามที่มองเห็นได้จากภายนอก
พวกเขาจะปราศจากความผิดในขณะที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์สีขาวที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
เพื่อจะได้ร่วมรับเกียรติยศและสิทธิพิเศษที่เป็นของทูตสวรรค์ทั้งหลาย {SC 126.1}
เมื่อคำนึงถึงมรดกอันรุ่งโรจน์ที่จะเป็นของเขานั้น เขาจะ “นำอะไรไปและเอาชีวิตของตนกลับคืนมา” เล่า
(มัทธิว 16:26)
เขาอาจจะเป็นคนยากจนแต่เขาจะได้เป็นเจ้าของสมบัติและเกียรติยศที่โลกนี้ไม่สามารถมอบให้เขาได้
เมื่อจิตวิญญาณได้รับการไถ่ให้รอดและได้รับการชำระจากบาปได้มอบถวายพละกำลังทั้งหมดของเขาในการรับใช้พระเจ้าแล้ว เขาก็จะมีคุณค่ามากเกินมหาศาล
และจะมีความสุขในแผ่นดินสวรรค์ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์เมื่อมีจิตวิญญาณดวงหนึ่งได้รับความรอด
เป็นความสุขที่แสดงออกมาเป็นบทเพลงแห่งชัยชนะที่บริสุทธิ์ {SC 126.2}
Visit us for more information http://www.greatesthope.com
http://www.adventist.or.th/
http://thaivop.com/
For more information, please contact
Alejandro at mienfield@yahoo.com
or contact
Thailand Adventist Mission
12 Soi Pridi Banomyong 37, Sukhumvit 71
Klongtan Nua, Wattana, Bangkok 10110
Telephone: 02-391-3595, 02-391-0525
Fax: 02-381-1928
Information:
P.O. Box 234 Prakanong Bangkok 10110 Thailand
E-mail: sdatam@adventist.or.th
VISIT ALSO
http://www.adventist.or.th/
http://thaivop.com/
No comments:
Post a Comment