วันสะบาโตที่แท้จริง
คำนำ
หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาที่สำคัญมาสำหรับผู้ที่เสาะหาความจริงเกี่ยวกับวันสะบาโต ซึ่งเป็นวันบริสุทธิ์และเป็นวันหยุดเพื่อนมัสการพระเจ้า
พระเจ้าทรงสร้างโลกภายในหกวัน
เมื่อถึงวันที่เจ็ดพระองค์ทรงหยุดพักจากการงานทั้งสิ้น ในการเนรมิตสร้าง “พระเจ้าจึงทรงอวยพระพรแก่วันที่เจ็ด ทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์” (ปฐมกาล 2:3) ดังนั้น
วันสะบาโตจึงเป็นวันแห่งความชื่นชมยินดี
เป็นวันฉลองการกำเนิดของโลก
และเป็นอนุสรณ์แห่งการทรงไถ่
เป็นวันที่มวลมนุษย์ยอมรับในฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่ทรงเนรมิตโลก
บรรดาสัตว์และสรรพสิ่งที่มีอยู่ในโลกรวมถึงมนุษย์ด้วย
วันสะบาโตเป็นวันที่ประชากรของพระเจ้าจะเข้ามานมัสการพระองค์ในโบสถ์ด้วยความชื่นชมยินดี
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นเรื่อยมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่
จึงเกิดมีการเปลี่ยนวันนมัสการจากวันที่เจ็ดมาเป็นวันที่หนึ่ง เหตุการณ์เป็นอย่างไรขอเชิญศึกษาต่อไป
จากคณะผู้จัดทำ
1.
วันสะบาโตที่แท้จริง
พระเจ้าเสด็จไปด้วยกันกับอาดัมและเอวาในขณะที่เขาทั้งสองกำลังชมบ้านใหม่อันเพียบพร้อมและสมบูรณ์
คือสวนเอเดนที่สวยสดงดงามเกินที่จะบรรยายได้ ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าในเย็นวันศุกร์ซึ่งเป็นวันที่หกนับตั้งแต่พระเจ้าทรงเริ่มสร้างโลก ดวงดาวต่างๆ ปรากฏในท้องฟ้าและ “พระเจ้าทรงทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์สร้างไว้ ทรงเห็นว่าดีนัก” (ปฐมกาล 1:31) “ฟ้าและแผ่นดิน และบริวารทั้งสิ้น ที่มีอยู่ในนั้น พระเจ้าทรงสร้างสำเร็จดังนี้แหละ” (ปฐมกาล
2:1)
ถึงแม้โลกจะสวยงามสักเพียงไร แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ประเสริฐที่สุด เพราะของขวัญอันล้ำค่ากว่านั้นที่พระเจ้าทรงให้กับมนุษย์คู่แรกคือ
สิทธิพิเศษที่จะได้เข้าเฝ้าพระองค์เป็นการส่วนตัว ดังนั้นพระเจ้าจึงประทานวันสะบาโตให้เขา ซึ่งเป็นวันที่จะได้รับพรเป็นพิเศษ
เป็นวันที่จะเข้าร่วมสามัคคีธรรมเป็นหนึ่งเดียวกับพระผู้สร้าง
ข้อความต่างๆ
ในพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงวันสะบาโต
วันสะบาโตเป็นศูนย์กลางของการนมัสการพระเจ้า
เป็นอนุสรณ์แห่งการทรงสร้างที่บ่งชี้ว่าเหตุใดจึงต้องนมัสการพระองค์
คำตอบนั้นคือเพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างและเราเป็นผู้ที่พระองค์ทรงสร้างอย่างที่ เจ
เอ็น แอนดริวส์ เคยกล่าวไว้ว่า “ดังนี้แหละวันสะบาโตจึงเป็นพื้นฐานของการนมัสการพระเจ้า
เพราะวันสะบาโตสอนถึงการนมัสการพระองค์ไว้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งในที่อื่นไม่อาจสอนอย่างนี้ได้ เหตุผลที่แท้จริงในการนมัสการพระเจ้า (ไม่เฉพาะแต่การนมัสการในวันที่เจ็ด แต่ในการนมัสการทุกครั้ง) คือ
พระเจ้าเป็นพระผู้สร้างและเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ เราไม่ควรจะละเลยหรือลืมข้อเท็จจริงนี้เสีย” ด้วยเหตุนี้เองพระเจ้าจึงสถาปนาวันสะบาโตเพื่อมนุษยชาติจะได้ระลึกถึงพระองค์ในฐานะพระผู้สร้าง
1.1 วันสะบาโตเมื่อทรงสร้างโลก
พระเจ้าทรงประทานวันสะบาโตให้แก่มนุษย์นับตั้งแต่โลกยังปราศจากความบาป วันสะบาโตเป็นของขวัญชิ้นพิเศษจากพระเจ้า
เพื่อมนุษย์ผู้อาศัยอยู่บนโลกนี้จะได้ซาบซึ้งถึงความจริงสามประการที่พระเจ้าทรงกระทำในการสถาปนาวันสะบาโต
ก. พระเจ้าทรงพักในวันสะบาโต
คำที่ประว่า “ทรงพัก” ในปฐมกาล 2:2 มาจากคำว่า “ชาบัธ” ในภาษาฮีบรูที่แปลว่า “การหยุดจากการทำงานหรือจากกิจธุระต่างๆ”
พระเจ้าไม่ได้พักเพราะการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแต่อย่างใด (อิสยาห์ 40:28)
แต่พระองค์ทรงหยุดจากการงานที่ได้ทรงปฏิบัติมาก่อนหน้านั้น พระเจ้าทรงพักเพราะพระองค์ทรงปรารถนาให้มนุษย์พักด้วย พระองค์จึงวางแบบอย่างให้มนุษย์ปฏิบัติตาม (อพยพ 20:11, 31:17)
ถ้าพระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งสำเร็จภายในหกวัน
(ปฐมกาล 1:2) แล้วข้อความในพระคัมภีร์ที่เขียนว่าพระเจ้าทรง “เสร็จงาน” ในวันที่เจ็ดนั้นหมายความว่าอย่างไร (ปฐมกาล 2:2) เพราะว่าภายในหกวันพระเจ้าได้ทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน ฯลฯ สำเร็จ
แต่ยังไม่ได้สถาปนาวันสะบาโต
พระองค์ทรงสถาปนาวันสะบาโตโดยการพักในวันนั้น วันสะบาโตจึงเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายในการทรงสร้าง
ข. พระเจ้าทรงอวยพรวันสะบาโต
พระเจ้าไม่เพียงแต่งตั้งวันสะบาโตขึ้นเท่านั้น แต่ยังทรงอวยพระพรให้กับวันนี้ด้วย
และการที่พระองค์ทรงอวยพรวันสะบาโตนั้นหมายความว่า
ตั้งแต่นั้นมาวันสะบาโตเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงโปรดปรานซึ่งจะอำนวยพระพรแก่บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง
ค.
พระเจ้าทรงตั้งวันสะบาโตให้บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
พระเจ้าทรงตั้งวันที่เจ็ดให้เป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ หมายความว่า
พระองค์ทรงแยกวันที่เจ็ดนั้นออกให้เป็นวันพิเศษ
เพราะทรงมีแผนการอันสูงส่งที่จะใช้วันนั้นเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับมนุษย์
พระเจ้าทรงอวยพรวันที่เจ็ดและตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อมนุษยชาติไม่ใช่เพื่อพระองค์เอง
เพราะพระองค์ทรงพักจากการงานทั้งสิ้นของพระองค์ในวันนั้น การทรงพักและทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้านี้แหละที่ทำให้วันสะบาโตได้รับพระพรและความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้า
1.2 วันสะบาโต
ณ ภูเขาซีนาย
เหตุการณ์ต่างๆ
ที่เกิดขึ้นหลักจากชนชาติอิสราเอลได้อพยพออกจากประเทศอียิปต์แสดงให้เห็นว่าพวกเขาส่วนมากได้หลงลืมวันสะบาโต
การที่เป็นทาสต้องทำงานตรากตรำคงทำให้ยากต่อการรักษาวันสะบาโต หลังจากที่พวกเขาได้รับอิสระไปไม่นานพระเจ้าทรงเตือนชนชาติอิสราเอลถึงหน้าที่ในการรักษาวันสะบาโต ด้วยการประทานมานาให้พวกเขาอย่างอัศจรรย์และโดยการประกาศพระบัญญัติสิบประการ
ก. วันสะบาโตกับการประทานมานา
หนึ่งเดือนก่อนที่พระเจ้าได้ประกาศพระบัญญัติจากภูเขาซีนาย
พระองค์ทรงสัญญากับคนอิสราเอลว่าจะป้องกันพวกเขาจากโรคต่างๆ ถ้าเขาได้ “เงี่ยหูฟังพระบัญญัติของพระองค์และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ทุกประการ” (อพยพ 15:26; ปฐมกาล 26:5)
หลังจากทรงสัญญาไม่นาน
พระองค์ทรงเตือนชาวอิสราเอลถึงความศักดิ์สิทธิ์ของวันสะบาโต โดยประทานมานาให้พวกเขาอย่างอัศจรรย์
ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เห็นชัดว่าพระเจ้าถือว่าการพักในวันที่เจ็ดของคนอิสราเอลสำคัญมากสำหรับพระองค์
ตลอดสี่สิบปีที่คนอิสราเอลอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
(ซึ่งรวมวันสะบาโตแล้วทั้งหมดมากกว่าสองพันวันสะบาโต)
การอัศจรรย์ในการเลี้ยงประชาชนด้วยมานานี้ได้เตือนพวกเขาถึงแบบแผนของพระเจ้า
คือมีหกวันสำหรับทำงานและวันที่เจ็ดเป็นวันพักผ่อน
ข. วันสะบาโตกับพระบัญญัติ
พระเจ้าทรงจัดวางพระบัญญัติข้อบังคับเรื่องวันสะบาโตไว้เป็นศูนย์กลางของพระบัญญัติสิบประการซึ่งมีเขียนไว้ดังนี้ว่า
“จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์ จงทำการงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน
แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นวันสะบาโตของพระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆ
ไม่ว่าเจ้าเองหรือบุตรชายบุตรหญิงของเจ้า
หรือทาสทาสีของเจ้า
หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า
หรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า
เพราะในหกวันพระเจ้าทรงสร้างฟ้าและดิน
ทะเล
และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น
แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก เพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงอวยพระพรวันสะบาโต และทรงจัดวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธิ์” (อพยพ 20:8-11)
ทุกข้อในพระบัญญัติสิบประการสำคัญอย่างยิ่งและไม่ควรละเลยเสียแม้แต่ข้อเดียว (ยากอบ 2:10)
ถึงกระนั้นพระเจ้าก็ยังทรงให้พระบัญญัติเรื่องวันสะบาโตพิเศษกว่าข้ออื่นๆ
โดยกล่าวว่า ”จงระลึก” ซึ่งเตือนมนุษยชาติว่าเป็นเรื่องอันตรายที่จะลืมความสำคัญของวันสะบาโต
คำขึ้นต้นของพระบัญญัติข้อนี้ที่กล่าวว่า “จงระลึกถึงวันสะบาโตถือเป็นวันบริสุทธิ์” นั้นแสดงให้รู้ว่าวันสะบาโตไม่ได้เริ่มต้นที่ภูเขาซีนาย คำเหล่านี้แสดงว่าวันสะบาโตเริ่มต้นก่อนหน้านั้น
และแท้จริงก็เริ่มต้นตอนที่พระเจ้าสร้างโลกอย่างที่พระบัญญัติได้ระบุไว้
พระเจ้าทรงมุ่งหมายให้เรารักษาวันสะบาโตไว้เป็นอนุสรณ์แห่งการทรงสร้าง
พระบัญญัติข้อนี้กำหนดเวลาที่จะพักและนมัสการ
โดยนำเราให้คิดไตร่ตรองถึงพระเจ้าพร้อมด้วยพระหัตถกิจของพระองค์
การรักษาวันสะบาโตไว้เป็นอนุสรณ์แห่งการทรงสร้างนั้นเป็นเสมือนยาที่จะแก้ “โรคแห่งการไหว้รูปเคารพ”
โดยเตือนเราว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างฟ้าและดิน
ซึ่งข้อนี้แหละที่เป็นข้อแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับพระเทียมเท็จ ดังนั้นการรักษาวันสะบาโตจึงเป็นหมายสำคัญแห่งความจงรักภักดีต่อพระเจ้าเที่ยงแท้และเป็นการยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าสูงสุด ทรงเป็นพระผู้สร้างและทรงเป็นพระมหากษัตริย์
วันสะบาโตทำหน้าที่เป็นตราประทับแห่งพระบัญญัติของพระเจ้า โดยทั่วไปแล้วตราประทับต่างๆ
จะประกอบด้วยคุณสมบัติสามประการ คือ
1)
ชื่อของเจ้าของตราประทับ
2)
ตำแหน่ง
3)
ขอบเขตของอำนาจการปกครอง
การประทับตราหมายความว่าเจ้าของตราเห็นด้วยกับข้อความในเอกสารนั้น ซึ่งเอกสารต่างๆ
จะเป็นทางการหรือมีความสำคัญมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับตราประทับบนเอกสารนั้นๆ
ว่าเป็นของผู้ใด มีตำแหน่งหน้าที่อย่างไร
ในจำนวนพระบัญญัติสิบประการ
ข้อที่กล่าวถึงวันสะบาโตเป็นข้อเดียวที่มีคุณสมบัติครบถ้วนของตราประทับ
และเป็นข้อเดียวที่บ่งบอกถึงพระเจ้าเที่ยงแท้โดย
1)
บอกพระนามของพระองค์ว่าเป็น “พระเจ้า”
2)
ตำแหน่งของพระองค์คือพระผู้สร้างและ
3)
ขอบเขตการปกครองคือ “ฟ้าและแผ่นดิน” (อพยพ 20:10-11)
ดังนั้นพระบัญญัติข้อที่สี่นี้จึงเป็น “ตราประทับของพระเจ้า”
เพราะเป็นข้อเดียวในบรรดาสิบข้อที่แสดงให้รู้ว่ากฎบัญญัติเหล่านี้มีผลบังคับใช้โดยอำนาจของผู้ใด
พระเจ้าทรงกำหนดกฎบัญญัติเรื่องวันสะบาโตเป็นหนึ่งในพระบัญญัติสิบประการ เพื่อเป็นเครื่องยันถึงอำนาจของพระบัญญัติเหล่านั้น
แท้จริงแล้วพระเจ้าให้วันสะบาโตเป็นเครื่องหมายเตือนให้ระลึกถึงอำนาจของพระองค์ในโลกที่เคยปราศจากร่องรอยแห่งความบาปหรือการกบฏ การรักษาวันสะบาโตเป็นหน้าที่อันถาวรของทุกๆ
คน ซึ่งจะเห็นจากคำตักเตือนที่ว่า “จงระลึกถึงวันสะบาโตถือเป็นวันบริสุทธิ์” (อพยพ 20:8)
พระบัญญัติข้อนี้ได้แบ่งสัปดาห์ออกเป็นสองส่วน พระเจ้าให้เวลามนุษย์ “ทำการงานทั้งสิ้น” ของเขาหกวันในหนึ่งสัปดาห์ แต่วันที่เจ็ดนั้น “อย่ากระทำการงานใดๆ” (อพยพ 20:9-10)
พระบัญญัติกำหนดหกวันในหนึ่งสัปดาห์เป็นวัน “ทำงาน” แต่ “วันที่เจ็ด” เป็น “วันพัก”
การที่พระเจ้าทรงให้พักผ่อนในวันที่เจ็ดเป็นการจำเพาะเจาะจงนั้นจะเห็นได้ชัดจากคำขึ้นต้นในต้นฉบับภาษาฮีบรู ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “Remember the Sabbath day to keep it
holy” คำว่า “the”
เป็นคำเจาะจงให้รู้แน่ชัดว่าไม่มีวันสะบาโตหลายวันในสัปดาห์
ถึงแม้ร่างกายของมนุษย์ต้องการพักผ่อนเป็นระยะๆ
แต่นั่นมิใช่เหตุผลหลักที่พระเจ้าทรงให้เรารักษาวันสะบาโต
แต่เพื่อให้เราทำตามแบบอย่างที่พระองค์ทรงวางไว้ เนื่องจากว่าพระองค์ทรงพักจากการงานของพระองค์ในสัปดาห์แรกของโลกซึ่งเราควรปฏิบัติตาม
ค. วันสะบาโตกับพันธสัญญา
พระบัญญัติของพระเจ้าเป็นศูนย์กลางของพันธสัญญา
วันสะบาโตซึ่งอยู่ในกลางของพระบัญญัติก็ปรากฏเด่นชัดในพันธสัญญาเช่นกัน พระเจ้าตรัสถึงวันสะบาโตว่า “เป็นหมายสำคัญระหว่างเราและเขาทั้งหลาย เพื่อเขาจะทราบว่าเราคือพระเจ้า เป็นผู้กระทำให้เขาบริสุทธิ์” (เอเสเคียล 20:12, 20; อพยพ 31:17)
ดังนั้นพระเจ้าตรัสถึงการรักษาวันสะบาโตว่า “เป็นพันธสัญญาเนืองนิตย์” (อพยพ 31:16)
ซึ่งเป็นพันธสัญญาที่วางไว้บนพื้นฐานความรักของพระเจ้าที่มีต่อพลไพร่ของพระองค์ ดังนั้นวันสะบาโตจึงเป็นสัญลักษณ์ถึงความรักของพระเจ้า
ง. สะบาโตประจำปี
นอกจากวันสะบาโตประจำสัปดาห์แล้ว (เลวีนิติ 23:3) พระคัมภีร์ยังพูดถึงวันสะบาโตตามพิธีต่างๆ
ประจำปีรวมอยู่อีกเจ็ดวัน
วันสะบาโตประจำปีเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวันสะบาโตประจำสัปดาห์ และวันสะบาโตเหล่านี้อยู่ “นอกเหนือวันสะบาโตแห่งพระเจ้า” (เลวีนิติ
23:38) มีดังนี้
1-2) วันแรกและวันสุดท้ายของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ
3) เทศกาลวันเพ็นเทคอสต์ (คือเทศกาลสัปดาห์เฉลยธรรมบัญญัติ 16:10)
4)
เทศกาลเป่าแตร
5)
วันลบบาป (เลวีนิติ 16)
6-7) วันแรกและวันสุดท้ายของเทศกาลอยู่เพิง
(เลวีนิติ 23:7,
8, 21, 24, 25, 28, 35, 36)
เนื่องจากวันสะบาโตประจำปีเหล่านี้ขึ้นกับปฏิทินที่คนอิสราเอลใช้ในการคำนวณวันกำหนดพิธีต่างๆ
ซึ่งขึ้นอยู่กับข้างขึ้นข้างแรมอีกที
ดังนั้นวันสะบาโตประจำปีอาจจะตรงกับวันไหนก็ได้ ถ้าวันสะบาโตประจำปีอาจจะตรงกับวันสะบาโตประจำสัปดาห์จะเรียกกันว่า ‘วันสะบาโตใหญ่’ (ยอห์น 19:31)
วันสะบาโตประจำสัปดาห์ได้รับการสถาปนาไว้ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่พระเจ้าทรงสร้างโลกและเป็นของมนุษยชาติ แต่วันสะบาโตประจำปีเริ่มต้นพร้อมๆ
กับพิธีกรรมต่างๆ ของชาวยิวที่ภูเขาซีนาย
ซึ่งพิธีเหล่านี้เล็งถึงพระผู้ช่วยให้รอด
และเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
การรักษาพิธีกรรมเหล่านั้นรวมถึงการรักษาวันสะบาโตประจำปีจึงสิ้นสุดลง
1.3 วันสะบาโตกับพระคริสต์
พระคัมภีร์สอนให้เรารู้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้สร้างเช่นเดียวกับพระบิดา (1 โครินธ์ 8:6; ฮีบรู 1:1-2;
ยอห์น 1:3)
ดังนั้นพระเยซูจึงเป็นผู้ที่ทรงแยกวันที่เจ็ดออกให้เป็นวันพักพิเศษสำหรับมนุษย์
พระเยซูทรงสอนว่าวันสะบาโตไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการทรงสร้างของพระองค์เท่านั้น
แต่ก็ยังเกี่ยวข้องกับการที่ทรงไถ่บาปของมนุษย์ด้วย พระองค์ทรงพระชนม์นิรันดร์ (ยอห์น 8:56; อพยพ
3:14)
พระองค์ทรงใส่วันสะบาโตไว้ในพระบัญญัติเพื่อเป็นการกำชับถึงการนัดหมายระหว่างพระผู้สร้างกับมนุษย์ พระเยซูยังสอนอีกว่า นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอีกประการหนึ่งที่จะต้องรักษาวันสะบาโตคือ พระองค์ทรงไถ่พลไพร่ของพระองค์ (เฉลยธรรมบัญญัติ 5:14-15)
ดังนั้นวันสะบาโตจึงเป็นตราประทับสำหรับผู้ที่ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างและพระผู้ไถ่
เราจึงเข้าใจได้ง่ายว่าทำไมพระเยซูทรงอ้างว่าพระองค์ “เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต” (มาระโก 2:28)
ก็เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างและพระผู้ไถ่โดยตำแหน่งและอำนาจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้
ถ้าพระเยซูเพียงแต่ประสงค์จะยกเลิกวันสะบาโตพระองค์ย่อมทำได้ แต่พระองค์ไม่ได้ยกเลิก ตรงกันข้าม
พระองค์ทรงผูกพันวันสะบาโต้ไว้กับมนุษยชาติโดยกล่าวว่า “วันสะบาโตนั้นทรงตั้งไว้เพื่อมนุษย์” (มาระโก
2:27)
ตลอดระยะเวลาที่พระเยซูประกอบพระราชกิจบนโลกนี้พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในการรักษาวันสะบาโตอย่างถูกต้อง ดังที่พระธรรมลูกา 4:16
เขียนไว้ให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงนมัสการในธรรมศาลาเป็นประจำแสดงว่าพระองค์ทรงสนับสนุนการนมัสการในวันที่เจ็ด
พระเยซูทรงหวงแหนความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของวันสะบาโตจึงทรงเตือนเหล่าสาวกถึงเหตุการณ์ร้ายๆ
ที่จะเกิดขึ้นหลังจากพระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ว่า “จงอธิษฐานขอ เพื่อการที่ท่านต้องหนีนั้น จะไม่ตกในฤดูหนาวหรือในวันสะบาโต” (มัทธิว 24:20)
หมายความว่าภายหลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์จนถึงบัดนี้ยังต้องรักษาวันสะบาโตอยู่
เมื่อพระเยซูทรงสร้างโลกนี้เสร็จแล้ว พระองค์ทรงพักผ่อนในวันที่เจ็ด
ซึ่งการพักนั้นหมายถึงการเสร็จสิ้นภารกิจการทรงสร้าง เมื่อครั้งพระเยซูสำเร็จพระราชกิจของพระองค์ในโลกนี้ที่บนไม้กางเขน พระองค์ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30)
พระคัมภีร์ได้ย้ำว่าวันที่พระองค์สิ้นพระชนม์นั้นเป็น “วันจัดเตรียมและวันสะบาโตก็เกือบจะถึงแล้ว” (ลูกา 23:54)
หลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว
พระองค์ทรงพักในอุโมงค์ฝังศพซึ่งเป็นสัญลักษณะหมายถึงความสำเร็จในการไถ่มวลมนุษย์
(วันนั้นก็ตรงกับ “วันสะบาโตใหญ่” เพราะเป็นทั้งวันที่เจ็ดของสัปดาห์และเป็นวันแรกของเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ)
1.4 วันสะบาโตกับอัครสาวก
อัครสาวกของพระเยซูได้ให้ความสำคัญกับวันสะบาโตเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งจะเห็นจากการปฏิบัติของพวกเขาตอนที่พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์
เมื่อย่างเข้าสู่วันสะบาโตพวกเขาได้หยุดการเตรียมฝังพระศพของพระองค์และได้ “หยุดการไว้ตามพระบัญญัติ” โดยวางแผนไว้ว่าจะดำเนินการต่อ “ในวันต้นสัปดาห์” (ลูกา 23:56, 24:1)
อัครสาวกนมัสการพระเจ้าในวันที่เจ็ดของสัปดาห์เช่นเดียวกับพระเยซู เมื่ออาจารย์เปาโลออกไปประกาศ
ท่านได้เข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตและได้เทศนาเรื่องพระคริสต์ (กิจการ 13:14, 17:12, 18:4)
แม้แต่คนต่างชาติยังเชิญให้เปาโลเทศนาพระคำของพระเจ้าในวันสะบาโต (กิจการ 13:42, 44)
ในเมืองที่ไม่มีธรรมศาลาอาจารย์เปาโลก็ได้ค้นหาสถานที่ที่ผู้คนใช้นมัสการกันในวันสะบาโต (กิจการ 16:13) การที่พระเยซูและอาจารย์เปาโลร่วมนมัสการในวันสะบาโตเป็นประจำนั้น
แสดงว่าทั้งสองยอมรับวันที่เจ็ดเป็นวันพิเศษสำหรับการนมัสการพระเจ้า
อัครสาวกท่านนี้ได้รักษาวันสะบาโตประจำสัปดาห์อย่างซื่อสัตย์
ซึ่งตรงกันข้ามกับทัศนคติของเขาที่มีต่อวันสะบาโตประจำปี ท่านสอไว้อย่างชัดเจนว่าคริสเตียนไม่จำเป็นต้องรักษาวันพักประจำปีเหล่านั้นเพราะวันและกฎเกณฑ์ต่างๆ
ที่เกี่ยวกับพิธีกรรมได้ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ท่านบอกว่า
“เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกิน การดื่ม
ในเรื่องเทศกาล วันต้นเดือน หรือวันสะบาโต
สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเงาของเหตุการณ์ที่จะมีมาในภายหลัง แต่กายนั้นเป็นของพระคริสต์” (โคโลสี 2:16-17)
ตัวอย่างในข้อนี้แสดงถึงข้อบังคับเกี่ยวกับพิธีต่างๆ จึงสรุปได้ว่า “วันสะบาโต” ที่พูดถึงในข้อนี้เป็นวันสะบาโตประจำปีสำหรับฉลองเทศกาลต่างๆ
ไม่ใช่วันสะบาโตประจำสัปดาห์
ซึ่งเทศกาลต่างๆ
และบรรดาวันสะบาโตประจำปีของคนยิวนั้นก็เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ได้รับความสำเร็จในพระเยซูคริสต์
ในทำนองเดียวกัน เปาโลได้คัดค้านการถือรักษาพิธีกรรมต่างๆ
ของคนในคริสตจักรที่เมืองกาลาเทียโดยกล่าวว่า
“ท่านถือวัน เดือน ฤดู
และปี
ข้าพเจ้าเกรงว่าการที่ข้าพเจ้าได้ทำเพื่อท่านนั้นจะไร้ประโยชน์” (กาลาเทีย 4:10-11)
ส่วนคำพูดของยอห์นที่ว่า “พระวิญญาณได้ทรงดลใจข้าพเจ้าในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (วิวรณ์ 1:10) มีหลายคนเข้าใจผิดว่าท่านหมายถึงวันอาทิตย์
แต่ในพระคัมภีร์มีเพียงวันเดียวที่ระบุว่าเป็นวันพิเศษของพระเจ้า นั่นคือวันสะบาโต พระเยซูตรัสว่า “วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเจ้าของเจ้า” (อพยพ 20:10)
และต่อมาพระองค์ก็ทรงเรียกวันสะบาโตว่า
“วันบริสุทธิ์ของเรา” (อิสยาห์ 58:13) และพระเยซูยังเรียกพระองค์เองว่า “เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต” (มาระโก
2:28) เนื่องจากว่าในพระคัมภีร์มีแต่วันที่เจ็ดเท่านั้นซึ่งเป็นวันสะบาโต
เป็นเพียงวันเดียวที่พระเจ้าทรงเรียกว่าเป็นวันของพระองค์ ดังนั้นจึงสมควรที่จะสรุปว่าในวิวรณ์ 1:10 ยอห์นหมายถึงวันสะบาโตเพราะไม่มีข้อไหนในพระคัมภีร์ที่จะสนับสนุนให้เข้าใจว่ายอห์นหมายถึงวันต้นสัปดาห์หรือวันอาทิตย์
ในพระคัมภีร์ไม่มีข้อความใดที่กำหนดให้เราถือรักษาวันอื่นในสัปดาห์นอกจากวันสะบาโตซึ่งเป็นวันที่เจ็ด
พระคัมภีร์ไม่ได้เรียกวันอื่นว่าเป็นวันบริสุทธิ์หรือเป็นวันที่จะได้รับพร และในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ก็ไม่มี่ข้อใดที่จะทำให้เราเข้าใจว่าพระเจ้าได้เปลี่ยนวันสะบาโตมาเป็นวันอื่น
แต่ตรงกันข้ามพระคัมภีร์สอนให้เรารู้ว่าคนของพระเจ้าจะรักษาวันสะบาโตไปตลอดนิรันดร์ “เพราะสวรรค์ใหม่
และแผ่นดินโลกใหม่ซึ่งเราจะสร้างจะยังอยู่ต่อหน้าเราฉันใด พระเจ้าตรัสดังนี้ เชื้อสายของเจ้าและชื่อของเจ้าจะยังอยู่ฉันนั้น พระเจ้าตรัสว่าทุกวันขึ้นค่ำ และทุกวันสะบาโต มนุษย์ทั้งสิ้นจะมานมัสการต่อเรา” (อิสยาห์ 66:22-23)
2.
ความหมายของวันสะบาโต
วันสะบาโตมีความหมายและลักษณะที่สำคัญหลายประการดังต่อไปนี้
2.1 อนุสรณ์ถาวรแห่งการทรงสร้าง
ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว พระบัญญัติสิบประการได้ให้ความสำคัญกับวันสะบาโตเพราะเป็นอนุสรณ์แห่งการสร้างโลก (อพยพ 20:11-12)
พระบัญญัติข้อที่สี่สัมพันธ์กับการทรงสร้างของพระเจ้าอย่างแยกกันไม่ออก
วันสะบาโตและพระบัญญัติที่ให้รักษานั้นเป็นผลของการทรงสร้างโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้นมนุษยชาติทั้งปวงมีชีวิตอยู่เพราะการทรงสร้างของพระเจ้าซึ่งมีวันสะบาโตเป็นอนุสรณ์
มนุษย์จึงมีภาระหน้าที่รักษาวันสะบาโตอย่างถาวร
เพราะเป็นอนุสรณ์แห่งอำนาจของการทรงสร้างของพระเจ้า
ผู้ที่ถือรักษาวันสะบาโตเป็นอนุสรณ์แห่งการทรงสร้างนั้นแสดงการยอมรับว่า
1)
พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง
2)
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของเขาโดยชอบ
3)
เขาเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า
4)
เขายอมอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์
ดังนั้นวันสะบาโตจึงเป็นอนุสรณ์สำหรับมนุษย์ทุกชาติทุกสมัยและไม่มี “บทเฉพาะกิจ”
ที่จำกัดไว้เพียงเผ่าใดเผ่าหนึ่ง
ตราบใดที่มนุษย์ยังนมัสการพระผู้สร้าง
วันสะบาโตก็จะยังคงเป็นสัญลักษณ์และอนุสรณ์ของการทรงสร้างตราบนั้น
2.2 สัญลักษณ์แห่งการทรงไถ่
เมื่อพระเจ้าทรงปลดปล่อยชนชาติอิสราเอลจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์
วันสะบาโตซึ่งเป็นอนุสรณ์แห่งการทรงสร้างอยู่แล้วก็ได้มาเป็นอนุสรณ์แห่งการปลดปล่อยด้วย (เฉลยธรรมบัญญัติ 5:15)
พระเจ้าทรงปรารถนาจะปลดเปลื้องคนในสมัยนี้จากความบาปและความเห็นแก่ตัวเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงปลดปล่อยคนอิสราเอลจากการเป็นทาสในสมัยก่อนและการรักษาวันสะบาโตอย่างถูกต้องก็จะช่วยให้เราซาบซึ้งถึงการปลดปล่อยนั้น
ถ้าเราเพ่งใจไปที่ไม้กางเขนของพระคริสต์แล้ว
เราก็จะเห็นว่าวันสะบาโตเป็นสัญลักษณ์พิเศษของการทรงไถ่
วันสะบาโตเป็นอนุสรณ์แห่งการอพยพออกจากการเป็นทาสของความบาปภายใต้การทรงนำของพระคริสต์
ภาระที่หนักหนาที่เราต้องแบกอยู่นี้คือความรู้สึกสำนึกผิดที่เราไม่ได้เชื่อฟังพระเจ้า แต่การพักผ่อนในวันสะบาโตจะเป็นโอกาสให้คริสต์เตียนได้วางภาระไว้กับพระเจ้าและยอมรับเอาสันติสุขในการพักผ่อนและการทรงให้อภัยของพระคริสต์โดยระลึกถึงการทรงพักในอุโมงค์ของพระองค์หลังจากที่ทรงชนะความบาปแล้ว
2.3 สัญลักษณ์แห่งการชำระให้บริสุทธิ์
วันสะบาโตเป็นสัญลักษณแห่งอำนาจของพระเจ้าที่สามารถเปลี่ยนแปลงเราได้และเป็นเครื่องหมายสำคัญของความบริสุทธิ์ “จงสั่งชนชาติอิสราเอลว่า ‘เจ้าทั้งหลายจงรักษาวันสะบาโตของเราไว้
เพราะนี่จะเป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับเจ้าตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า
เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเจ้าผู้ได้กระทำเจ้าให้บริสุทธิ์’” (อพยพ 31:13; เอเสเคียล 20:20)
ดังนั้นวันสะบาโตจึงเป็นสัญลักษณ์ที่พระเจ้าทรงชำระเราให้บริสุทธิ์
มนุษย์จะบริสุทธิ์ได้โดยพระโลหิตของพระคริสต์
(ฮีบรู 13:12)
และวันสะบาโตก็เป็นหมายสำคัญว่าผู้ที่เชื่อได้ยอมรับพระโลหิตของพระเยซูเพื่อรับการอภัยโทษฉันนั้น
พระเจ้าทรงมีแผนการบริสุทธิ์สำหรับวันสะบาโตและพระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้คนของพระองค์มีหน้าที่บริสุทธิ์เช่นกัน นั่นคือให้เป็นพยานเพื่อพระองค์ พลไพร่ของพระองค์ได้รับความบริสุทธิ์ในการเข้าร่วมสามัคคีธรรมกับพระเจ้าในวันสะบาโตและได้เรียนรู้ที่จะไม่พึ่งตนเองแต่จะพึ่งพระเจ้าผู้ทรงให้เขาบริสุทธิ์
พลังอำนาจของพระเจ้าที่ทรงสร้างสรรพสิ่งนั้นเป็นพลังที่จะสร้างจิตวิญญาณขึ้นใหม่ตามพระฉายาของพระเจ้า
ผู้ที่รักษาวันสะบาโตนั้นถือว่าวันสะบาโตเป็นสัญลักษณ์แห่งการทรงชำระให้บริสุทธิ์ ซึ่งการมีใจบริสุทธิ์นั้นหมายถึงการมีอุปนิสัยที่สอดคล้องกับพระเจ้าและการเข้าสนิทอยู่ในพระองค์
ความบริสุทธิ์มาจากการเชื่อฟังต่อหลักการที่สอดคล้องกับพระลักษณะอุปนิสัยของพระเจ้า
และวันสะบาโตเป็นเครื่องหมายของการเชื่อฟังนี้ ผู้ที่รักษาพระบัญญัติข้อที่สี่ด้วยใจ ก็จะรักษาพระบัญญัติทั้งหมด
2.4 สัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์
ความซื่อสัตย์ของอาดัมกับเอวาถูกทดลองที่ต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วซึ่งอยู่ใจกลางสวนเอเดน เช่นเดียวกับ
ความซื่อสัตย์ของมนุษยืทุกคนก็จะถูกทดลองด้วยพระบัญญัติที่สั่งให้รักษาวันสะบาโตซึ่งอยู่กลางพระบัญญัติสิบประการ
พระคัมภีร์สอนว่าก่อนที่พระเยซูจะเสด็จมาครั้งที่สอง มนุษย์ในโลกจะถูกแยกออกเป็นสองกลุ่มคือ ผู้ที่ซื่อสัตย์และ “ประพฤติตามพระบัญญัติของพระเจ้า” กับผู้ที่บูชา “สัตว์ร้ายและรูปของมัน” (วิวรณ์ 14:12, 9)
ในเวลานั้นชาวโลกจะให้ความสำคัญกับความจริงของพระเจ้ามากขึ้น และจะประจักษ์ว่าการยอมเชื่อฟังและรักษาวันสะบาโตในวันที่เจ็ดของสัปดาห์ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้นั้น ถูกต้องและสมควรกระทำ
2.5 เวลาร่วมสามัคคีธรรม
พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ไว้ให้เป็นเพื่อของมนุษย์
(ปฐมกาล 1:24-25)
และสำหรับมิตรภาพที่สูงขึ้นไปกว่านั้น
พระเจ้าทรงประทานชายและหญิงให้ใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภรรยา (ปฐมกาล 2:18-26)
แต่มิตรภาพอันสูงสุดที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่มนุษย์คือการเข้าร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์ในวันสะบาโต
พระเจ้าไม่ได้สร้างให้มนุษย์มีมิตรสัมพันธ์กับสัตว์และเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น แต่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์เพื่อมีความสัมพันธ์กับพระองค์เองด้วย
ในวันสะบาโตเราสามารถสัมผัสการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าเป็นพิเศษ
ถ้าปราศจากวันสะบาโตแล้วมนุษย์ก็จะตรากตรำแบกภาระอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทุกวันก็จะดูเหมือนกันหมด
คือมุ่งอยู่กับหน้าที่การงานและกิจธุระฝ่ายโลก แต่วันสะบาโตนำมาซึ่งความหมาย ความสุข
ความหวัง และกำลังใจ
เพราะในวันสะบาโตเรามีเวลาที่จะใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้าด้วยการนมัสการ การอธิษฐาน
การร้องเพลงสรรเสริญ การศึกษา การไตร่ตรองภาวนาพระคำ และการแบ่งปันข่าวประเสริฐให้แก่ผู้อื่น วันสะบาโตเป็นโอกาสของเราที่จะสัมผัสการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าเป็นพิเศษ
2.6 สัญลักษณ์แห่งความชอบธรรมโดยความเชื่อ
คริสเตียนเชื่อว่าผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าแต่เสาะแสวงหาความจริงด้วยความจริงใจสามารถรับแสงสว่างและการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
ให้รู้จักหลักการทั่วไปของพระบัญญัติของพระเจ้า (โรม 2:14-16)
เพราะเหตุนี้เองพระบัญญัติที่เหลืออีกเก้าประการจึงพบอยู่ในคำสอนของหลายศาสนาด้วยกัน
หลายคนเข้าใจเหตุผลที่ในหนึ่งสัปดาห์ควรพักหนึ่งวัน
แต่ยากที่เขาเหล่านั้นจะเข้าใจว่าทำไมกิจกรรมที่ดีและถูกต้องที่ทำในวันทั่วไปจึงเป็นบาปเมื่อทำในวันสะบาโต ไม่มีปรากฏการณ์ใดในธรรมชาติที่จะใช้อ้างเป็นหลักฐานในการรักษาวันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโต การโคจรของดาวเคราะห์ การเติบโตของพืชผัก การเปลี่ยนแปลงของฝนฟ้าอากาศ และการดำรงชีวิตของสัตว์ต่างๆ
ทุกอย่างในธรรมชาติดำเนินไปเหมือนๆ กันในแต่ละวัน
แล้วทำไมมนุษย์ต้องรักษาวันสะบาโตในวันที่เจ็ด สำหรับคริสเตียนมีเหตุผลเดียวเท่านั้น
และเหตุผลนั้นก็เพียงพอคือพระเจ้าตรัสสั่งไว้ให้รักษา
การที่พระเจ้าทรงเปิดเผยความจริงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้มนุษย์เข้าใจถึงเหตุผลในการรักษาวันสะบาโตในวันที่เจ็ด ดังนั้นผู้ที่รักษาวันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโต จึงรักษาโดยความเชื่อและไว้วางใจในพระเยซู ผู้ทรงบัญชาให้รักษา
และการรักษาวันสะบาโตนั้นแสดงว่าผู้ที่เชื่อในพระเจ้าได้ยินยอมต่อน้ำพระทัยสำหรับชีวิตของเขาแทนการพึ่งสติปัญญาของตนเอง
ผู้ที่เชื่อในพระเยซูไม่ได้รักษาวันสะบาโตเพื่อตนจะได้บุญหรือความชอบธรรม
แต่ได้รักษาเพราะเขามีความสัมพันธ์กับพระผู้ทรงสร้างและพระผู้ไถ่ของเขา
การรักษาวันสะบาโตจึงเป็นผลอันเนื่องมาจากการที่พระเจ้าทรงกระทำให้ผู้เชื่อในพระเยซูเป็นคนชอบธรรมและการที่พระองค์ทรงชำระเขาให้บริสุทธิ์
วันสะบาโตจึงเป็นเครื่องหมายแสดงว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์ได้รับการปลดปล่อยจากความบาปและได้รับความชอบธรรมที่สมบูรณ์แบบของพระองค์
ขอยกตัวอย่างจากธรรมชาติ
ต้นมะม่วงไม่ได้ออกผลมะม่วงเพื่อได้ชื่อว่าเป็นต้นมะม่วง
แต่เพราะมันเป็นต้นมะม่วงอยู่แล้วจึงออกผลเป็นต้นมะม่วงตามธรรมชาติ และคริสเตียนที่แท้จริงก็เช่นเดียวกัน เขาจะไม่รักษาวันสะบาโตหรือพระบัญญัติข้ออื่นๆ
เพื่อจะได้เป็นคนชอบธรรม
แต่ความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่อยู่ในใจของผู้ที่เชื่อในพระเยซูจะแสดงออกโดยการรักษาวันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโตโดยธรรมชาติ คนที่รักษาวันสะบาโตแบบนี้จะไม่ละเว้นจากข้อห้ามต่างๆ
ในวันสะบาโตเพื่อหวังเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า
แต่จะรักษาเพราะเขารักพระองค์และอยากใช้วันสะบาโตให้คุ้มค่าโดยการเข้าใกล้ชิดกับพระองค์
การรักษาวันสะบาโตบ่งบอกว่าเราได้เลิกจากการพึ่งบุญของตนเองโดยสำนึกว่าพระเยซูซึ่งเป็นพระผู้สร้างและพระผู้ไถ่ของเราเท่านั้นที่จะสามารถช่วยเราให้รอดได้
แท้ที่จริงการรักษาวันสะบาโตอย่างถูกต้องนั้นแสดงว่าเราเทิดทูนพระเยซูไว้เป็นที่สูงสุดในชีวิตซึ่งพระผู้สร้างและพระผู้ไถ่ของเรากำลังสร้างเราขึ้นให้เป็นคนใหม่ในพระองค์
ดังนั้นการรักษาวันสะบาโตให้ถูกวันและถูกวิธีจึงเป็นเครื่องหมายของความชอบธรรมที่ได้มาโดยความเชื่อ
2.7 สัญลักษณ์ของการพักพิงในพระเยซู
วันสะบาโตเป็นอนุสรณ์ของการที่พระเจ้าทรงปลดปล่อยคนอิสราเอลโดยทรงนำเขาไปถึงที่พักในแผ่นดินคานาอัน
และเป็นข้อแตกต่างระหว่างคนของพระเจ้ากับชนชาติทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบเขา ในทำนองเดียวกันวันสะบาโตเป็นสัญลักษณ์ของการที่พระเจ้าทรงปลดปล่อยเราออกจากความบาปและกำลังนำเราไปยังที่พักในเมืองสวรรค์
วันสะบาโตจึงได้แยกผู้ที่พระเจ้าทรงไถ่ไว้จากชาวโลก
“เพราะว่าผู้ใดที่ได้เข้าสู่การพำนักของพระเจ้าแล้ว ก็ได้พักงานของตน เหมือนพระเจ้าได้ทรงพักพระราชกิจของพระองค์” (ฮีบรู 4:10)
การพักนี้เป็นการพักฝ่ายจิตวิญญาณจากการพึ่งการกระทำของเราเองและเป็นการพักจากการทำบาป
พระเจ้าทรงเรียกพลไพร่ของพระองค์ให้เข้าสู่การพักนี้ซึ่งมีวันสะบาโตและแผ่นดินคานาอันเป็นสัญลักษณ์
เมื่อพระเจ้าสร้างโลกเสร็จแล้วและทรงพักในวันสะบาโต พระองค์ทรงให้โอกาสแก่อาดัมและเอวาได้เข้าพักพิงในพระองค์ในวันสะบาโตเช่นกัน ถึงแม้พวกเขาจะพลาดพลั้งไป
แต่จุดมุ่งหมายเดิมของพระเจ้าในการให้มนุษย์ได้พักยังคงไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากที่อาดัมและเอวาทำบาป
วันสะบาโตได้เตือนเขาถึงการพักพิงในพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง การรักษาวันที่เจ็ดของสัปดาห์เป็นวันสะบาโตไม่เพียงแต่ประกาศถึงความเชื่อในพระผู้สร้างเท่านั้น
แต่ยังประกาศถึงความเชื่อในอำนาจของพระองค์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนให้สมกับแผนการแรกที่พระองค์ทรงมีไว้สำหรับมนุษย์โลก
นั่นคือการพักผ่อนนิรันดร์ในเมืองสวรรค์ของพระองค์
พระเจ้าเคยสัญญาถึงการพักฝ่ายจิตวิญญาณนี้ไว้กับชนชาติอิสราเอล และถึงแม้ว่าพวกเขาพลาดโอกาสที่จะเข้าพัก แต่คำเชิญชวนของพระเจ้ายังคงอยู่ “ฉะนั้นจึงยังมีการพำนักสะบาโตสำหรับชนชาติของพระเจ้า” (ฮีบรู 4:9)
ทุกคนที่จะเข้าในการพำนักนี้จะต้องเข้าพำนักในพระเยซูโดยความเชื่อและพักจากความบาปและจากการพยายามช่วยตัวเองให้รอด
พระคัมภีร์ใหม่กำชับคริสเตียนไม่ให้รีรอที่จะพักในพระคุณโดยความเชื่อ เพราะ “วันนี้” เป็นวันเหมาะสมที่จะเข้าพัก (ฮีบรู 4:7, 3:13)
ทุกคนที่เข้าใจในการพักนี้จะยกเลิกการพึ่งบุญของตนเองแต่จะพึ่งพระคุณของพระเยซูที่จะช่วยเขาให้รอด
ดังนั้นการรักษาวันสะบาโตในวันที่เจ็ดเป็นสัญลักษณ์ว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์ได้เข้าถึงการพักแห่งข่าวประเสิรฐ
3.
ความพยายามต่างๆ
ในการเปลี่ยนแปลงวันนมัสการ
เนื่องจากวันสะบาโตมีบทบาทสำคัญในการนมัสการพระเจ้าในฐานะทรงเป็นพระผู้สร้างและพระผู้ไถ่
จึงไม่น่าแปลกใจที่ซาตานได้ทำสงครามต่อสู้วันสะบาโต
ไม่มีข้อใดในพระคัมภีร์ที่อนุญาตให้เปลี่ยนวันที่ พระเจ้าทรงกำหนดให้นมัสการพระองค์
ซึ่งทรงตั้งไว้ในสวนเอเดนและทรงประกาศย้ำที่ภูเขาซีนาย หลายคนที่รักษาวันอาทิตย์แทนวันสะบาโตยอมรับเรื่องนี้ คาร์ดินัล (พระราชาคณะ) ท่านหนึ่งของคาทอลิก ซึ่ง
คาร์ดินัล เจมส์ กิบบอนส์ (Cardinal James Gibbons) เคยเขียนไว้ว่า “คุณสามารถอ่านพระคัมภีร์จากปฐมกาลถึงวิวรณ์และจะไม่พบแม้แต่บรรทัดเดียวที่สนับสนุนการรักษาวันอาทิตย์ให้บริสุทธิ์
แต่พระคัมภีร์ได้สั่งให้รักษาวันเสาร์เป็นวันพัก”
คริสเตียนนิกายโปรเตสแตนท์คนหนึ่งชื่อ เอ.ที ลินคอล์น (A.T. Lincoln) ยอมรับว่า “การที่บางคนบอกว่าพระคัมภีร์ใหม่เองสนับสนุนความเชื่อที่ว่า
ตั้งแต่พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์แล้วพระเจ้าได้ตั้งวันอาทิตย์เป็นวันสะบาโตนั้นฟังไม่ขึ้นเลย
ตามเหตุผลแล้วเหลือแนวทางปฏิบัติสิบประการไว้เป็นหลักศีลธรรม คือการรักษาวันสะบาโตในวันที่เจ็ด”
ในเมื่อไม่มีหลักฐานในพระคัมภีร์ว่าพระเยซูหรืออัครสาวกของพระองค์ได้เปลี่ยนวันนมัสการจากวันเสาร์มาเป็นวันอาทิตย์
แล้วทำไมคริสเตียนส่วนมากจึงยึดถือวันอาทิตย์แทนวันเสาร์
3.1 ประวัติการเริ่มต้นรักษาวันอาทิตย์
การเปลี่ยนวันนมัสการจากวันเสาร์มาเป็นวันอาทิตย์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงทีละน้อย หลังสมัยพระเยซูจนถึงก่อนศตวรรษที่ 2
ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการรักษาวันอาทิตย์ของคริสเตียน แต่มีหลักฐานว่ากลางศตวรรษที่ 2
มีคริสต์เตียนบางคนนมัสการในวันอาทิตย์ด้วยใจสมัครแต่ยังไม่ได้เป็นวันหยุดพัก
คริสตจักรที่กรุงโรมซึ่งประกอบด้วยสมาชิกต่างชาติเป็นส่วนมาก (โรม 11:13)
ได้นำกระแสความนิยมไปสู่การนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์
ในกรุงโรมซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรม คนส่วนมากมีอคติต่อคนยิวอย่างรุนแรง และนับวันยิ่งเพิ่มทวีขึ้น คริสเตียนในกรุงโรมในสมัยนั้นจึงพยายามหาวิธีที่จะไม่ถูกนับรวมกับคนยิวโดยเปลี่ยนข้อปฏิบัติบางประการที่ถือเหมือนกับคนยิวเสีย
โดยเฉพาะการที่พวกเขาได้เริ่มโน้มเอียงจากการนับถือวันที่เจ็ด จนมารักษาเฉพาะวันอาทิตย์แทนในที่สุด
ตลอดศตวรรษที่ 2-5
ถึงแม้ว่าการนับถือวันอาทิตย์มีอิทธิพลทมากยิ่งขึ้นแต่คริสเตียนเกือบทั่วอาณาจักรยังคงรักษาวันสะบาโตในวันที่เจ็ด
นักประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งซึ่งมีชีวิตในสมัยศตวรรษที่ 5 ชื่อ โสกราตีส (Socrates) ได้เขียนไว้ว่า “คริสตจักรเกือบทั่วทุกแห่งหนในโลกฉลองข้อลึกลับของพระเจ้าในวันที่เจ็ดของทุกสัปดาห์ แต่คริสเตียนในเมืองอาเล็กซานเดรีย (Alexandria) และในกรุงโรมได้หยุดทำเช่นนี้เนื่องจากประเพณีเก่าแก่บางอย่างของเขา”
ในศตวรรษที่ 4 และ 5
มีคริสเตียนจำนวนมาก
นมัสการในสองวันคือทั้งวันเสาร์และวันอาทิตย์
นักประวัติศาสตร์อีกคนหนึ่งในสมัยนั้นเชื่อว่าโซโซแมน (Sozomen) เขียนว่า “พลเมืองของกรุงคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) และคนในเกือบทุกที่ไปชุมนุมกันทั้งในวันสะบาโตและในวันที่หนึ่งของสัปดาห์
ซึ่งคนในกรุงโรมและเมืองอาเล็กซานเดรียไม่ถือตามธรรมเนียมนี้เลย”
ข้อความอ้างอิงข้างต้นทั้งสองข้อแสดงให้เห็นว่าโรมเป็นตัวตั้งตัวตีในการมองข้ามการรักษาวันสะบาโต แต่เหตุใดผู้ที่หันจากการนมัสการในวันที่เจ็ดจึงมาเลือกวันอาทิตย์และไม่ใช่วันอื่นของสัปดาห์
เหตุผลหลักก็คือพระเยซูทรงฟื้นพระชนม์ในวันอาทิตย์ และในสมัยศตวรรษที่ 4-5
ได้มีคนที่แอบอ้างว่า
พระเยซูเห็นด้วยกับการพักและการนมัสการในวันนั้น ซึ่งถือว่าแปลกมากที่ไม่มีนักเขียนในศตวรรษที่
2 หรือ 3
อ้างข้อพระคัมภีร์แม้แต่ข้อเดียวเพื่อเป็นหลักฐานในการถือวันอาทิตย์แทนวันสะบาโต
การที่ลัทธิไหว้ดวงอาทิตย์ของชาวโรมันเป็นที่นิยมมากทั้งมีอิทธิพลสูงมีส่วนในการผลักดันให้คนรับวันอาทิตย์เป็นวันนมัสการ ซึ่งในสมัยโบราณนั้นลัทธิการไหว้ดวงอาทิตย์ยังเป็นส่วนประกอบที่เก่าแก่ที่สุดของศาสนาโรมัน
ลัทธินี้ได้มีอิทธิพลต่อคริสตจักรด้วยจนกระทั่งวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 321
จักรพรรดิคอนสแตนติน (Constantine)
ออกกฎหมายวันอาทิตย์เป็นครั้งแรก
ซึ่งในกฎหมายฉบับนั้นได้สั่งให้ปิดร้านค้าและโรงงานในเมือง แต่อนุญาตให้ชาวชนบททำการเกษตรได้
ต่อมาก็มีกฎหมายวันอาทิตย์หลายฉบับที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งปี ค.ศ. 538 (ซึ่งเป็นปีแรกของจำนวน 1260 ปี
ตามคำพยากรณ์ในหนังสือดาเนียลและวิวรณ์ที่ทำนายว่าจะมีอำนาจขึ้นมาต่อสู้ความจริงของพระเจ้า) ผู้นำของโรมันคาทอลิกได้ออกกฎหมายห้ามทำการเกษตรในวันอาทิตย์ด้วย
3.2 คำพยากรณ์เรื่องการเปลี่ยนวันสำคัญของพระเจ้า
พระคัมภีร์เปิดเผยให้รู้ว่าวันอาทิตย์เริ่มเข้ามาในคริสตจักรคือ “อำนาจลึกลับนอกกฎหมาย” ได้เริ่มทำงานในสมัยของอาจารย์เปาโล (2 เธสะโลนิกา 2:7) พระเจ้าได้สำแดงไว้ล่วงหน้าในดาเนียลบทที่
7 ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงวันนมัสการ
ดาเนียลเห็นในนิมิตว่าจะมีการเข้าโจมตีพลไพร่และพระบัญญัติของพระเจ้า
โดยในนิมิตนั้นท่านเห็นมีเขาอันหนึ่งบนหัวของสัตว์ร้ายตัวที่สี่ ได้ต่อสู้กับกฎเกณฑ์และคนของพระองค์ ซึ่งเป็นการทำนายถึงการหลงจากความจริงครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์คริสต์ศาสนา สัตว์ตัวที่สี่นั้นหมายถึงอาณาจักรโรม
และเขาเล็กที่งอกขึ้นทีหลังนั้นหมายถึงอำนาจที่จะเกิดขึ้นจากโรท ในดาเนียล 7:25
ได้ทำนายไว้ว่าเขาเล็กนั้น “จะคิดเปลี่ยนแปลงบรรดาวาระและธรรมบัญญัติ” เขาเล็กนี้ได้หลอกลวงมนุษย์ทั้งโลกให้หลงไป
แต่พระเจ้าทรงสัญญาว่าในที่สุดมันจะถูกพิพากษาลงโทษ (ดาเนียล
7:11, 22, 26)
และในเวลาแห่งความยากลำบากครั้งสุดท้ายพระเจ้าจะทรงช่วยกู้คนของพระองค์
(ดาเนียล 12:1-2)
ตลอดเวลาแห่งประวัติศาสตร์มีเพียงอำนาจเดียวเท่านั้นที่มีลักษณะตรงตามคำพยากรณ์นี้ทุกประการนั้นคือศาสนาโรมันคาทอลิก ซึ่งจะสังเกตได้จากข้อความเล็กน้อยดังนี้
ในช่วงเวลาประมาณ ค.ศ. 1400 แพ็ททรัส เด แอนซาราโน (Petrus de
Ancharano) ยืนยันว่า “สันตะปาปาสามารถเปลี่ยนกฎของพระเจ้าได้ เพราะสิทธิอำนาจของท่านไม่ใช่ของมนุษย์
แต่เป็นของพระเจ้าและท่านทำหน้าที่แทนพระเจ้าบนโลกนี้
โดยมีอำนาจสูงสุดในการผูกมัดและปลดปล่อยลูกแกะของพระเจ้า”
ซึ่งในสมัยปฏิรูปศาสนาครั้งยิ่งใหญ่นั้นลูเธอร์ (Luther) ได้สัมผัสกับความเชื่อของคาทอลิกในเรื่องนี้เมื่อท่านได้โต้วาทีกับ จอห์น
เอ็ค (John Eck)
ลูเธอร์อ้างว่า
ไม่ใช่ประเพณีของคริสตจักรแต่เป็นพระคำอันบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่เขาใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตโดยยึดถือ
“พระคัมภีร์และพระคัมภีร์เท่านั้น” (Sola scriptura) ไว้เป็นคติพจน์ จอห์น เอ็ค
ซึ่งอยู่ระดับแนวหน้าในการปกป้องหลักคำสอนของโรมันคาทอลิกนั้นได้โต้แย้งกับลูเธอร์ในจุดนี้โดยอ้างว่าอำนาจของคริสตจักรนั้นอยู่เหนือพระคัมภีร์
เขาได้ท้าทายลูเธอร์ในเรื่องการรักษาวันอาทิตย์แทนวันสะบาโตในพระคัมภีร์ โดยพูดว่า
ข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า “จงระลึกถึงวันสะบาโตถือเป็นวันบริสุทธิ์” เป็นโมฆะเพราะคริสตจักรได้เปลี่ยนวันสะบาโตโดยอำนาจของคริสตจักรเอง
ซึ่งท่านลูเธอร์ไม่อาจยกข้อพระคัมภีร์มาตอบได้เลย
ในการประชุมที่เมืองเทรนต์ (Trent ค.ศ. 1545-1563) เกสเพร์
เด ฟอสโซ (Gaspare de Fosso) ซึ่งเป็นบาทหลวงชั้นหัวหน้าคาทอลิกได้กล่าวว่า “อำนาจของคริสตจักรอยู่เหนือคำสั่งสอนในพระคัมภีร์
เพราะวันสะบาโตไม่ได้ถูกยกเลิกเนื่องจากคำสั่งของพระเยซูที่ตรัสไว้ว่าพระองค์มาเพื่อจะทำให้พระบัญญัติสำเร็จไม่ใช่มาเพื่อจะทำลายเสีย แต่วันสะบาโตและกฎข้ออื่นๆ
ถูกเปลี่ยนแปลงโดยสิทธิอำนาจของคริสตจักรเอง”
มีบางคนถามว่า “แล้วคริสตจักรคาทอลิกยังยึดถือข้อคิดนี้อยู่หรือไม่?”
คำตอบมีอยู่ในคู่มือสอนหลักความเชื่อของคาทอลิก ฉบับปี
ค.ศ. 1977 ซึ่งหนังสือเล่มนี้เป็นลักษณะถามตอบ
ถาม วันสะบาโตตรงกับวันไหน?
ตอบ วันสะบาโตตรงกับวันที่เจ็ด
ถาม แล้วทำไมเราจึงรักษาวันอาทิตย์แทนวันเสาร์
ตอบ เรารักษาวันอาทิตย์แทนวันเสาร์เพราะคริสตจักรคาทอลิกได้โอนความศักดิ์สิทธิ์จากวันเสาร์ให้กับวันอาทิตย์”
นักวิชาการท่านหนึ่งของคริสตจักรโรมันคาทอลิกชื่อ จอห์น เอ โอไบรอัน (John A O’Brien) ได้เขียนหนังสือยอดนิยมเล่มหนึ่งชื่อ
“ความเชื่อของคนนับล้าน” (The faith of millions) ซึ่งในหนังสือเล่มนั้นท่านสรุปว่า
“คริสตจักรคณะต่างๆ
ที่ยึดถือพระคัมภีร์เป็นพื้นฐานของความเชื่อไม่มีเหตุผลที่จะรักษาวันอาทิตย์เพราะไม่มีข้อพระคัมภีร์สนับสนุน
เนื่องจากว่าประเพณีการรักษาวันอาทิตย์นี้มาจากอำนาจของคริสตจักรคาทอลิกโดยตรง”
3.3 การฟื้นฟูวันสะบาโต
ในอิสยาห์ บทที่ 56 และ 58
พระเจ้าได้ทรงเรียกให้คนอิสราเอลปฏิรูปการรักษาวันสะบาโตโดยสำแดงว่าการประกาศข่าวประเสริฐจะได้ผลก็ต่อเมื่อคนของพระองค์รักษาวันสะบาโตให้บริสุทธิ์ (อิสยาห์ 56:1-2, 6-8)
พระเจ้าทรงระบุพันธกิจให้กับคริสตจักร คือให้เตือนผู้ที่นับถือพระเจ้าเพียงแต่ปาก (อิสยาห์ 58:1-2) พระเจ้าตรัสว่า “สิ่งปรักหักพังโบราณของเจ้าจะได้รับการสร้างขึ้นใหม่
เจ้าจะได้ซ่อมเสริมรากฐานของคนหลายชั่วอายุมากขึ้น เจ้าจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ซ่อมกำแพงที่พัง ผู้ซ่อมแซมถนนให้คืนคงเพื่อจะได้อาศัยอยู่ ถ้าเจ้าหยุดเหยียบย่ำวันสะบาโต
คือจากการทำตามใจของเจ้าในวันบริสุทธิ์ของเรา
และเรียกสะบาโตว่าวันปีติยินดีและเรียกวันบริสุทธิ์ของพระเจ้าว่า วันมีเกียรติ
ถ้าเจ้าให้เกียรติมันไม่ไปตามทางของเจ้าเอง
หรือทำตามใจของเจ้าหรือพูดแต่เรื่องไร้สาระ แล้วเจ้าจะได้ความปีติยินดีในพระเจ้า
และเราจะให้เจ้าขึ้นขี่อยู่บนที่สูงของแผ่นดินโลก และเราจะเลี้ยงเจ้าด้วยมรดกของยาโคบ บิดาของเจ้า
เพราะโอษฐ์ของพระเจ้าได้ตรัสแล้ว” (อิสยาห์ 58:12-14)
พันธกิจของอิสราเอลฝ่ายจิตวิญญาณ (คือคริสตจักร) ก็เหมือนกับพันธกิจของอิสราเอลโบราณคือฟื้นฟูและซ่อมแซมวันสะบาโตที่ถูกทำลายโดยอำนาจของเขาเล็กนั้น (คริสตจักรคาทอลิก)
เราต้องซ่อมแซมกำแพงที่แตกหัก คือ ให้พระบัญญัติของพระเจ้าสมบูรณ์ โดยให้วันสะบาโตคืนสู่สภาพเดิม
นี่แหละเป็นภาระหน้าที่ของเราที่จะต้องเตือนชาวโลกให้เห็นถึงความสำคัญของพระบัญญัติของพระเจ้าและเตรียมตัวสำหรับการพิพากษาของพระองค์ (วิวรณ์
14:6-12)
คำเตือนครั้งสุดท้ายนั้นคือ
เตือนชาวโลกให้ยังคงรักษาวันสะบาโตก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมาโดยกล่าวว่า “จงนมัสการพระองค์ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก
ทะเล และบ่อน้ำพุทั้งหลาย” (วิวรณ์ 14:7)
เมื่อประกาศข่าวนี้ไปแล้วชาวโลกจะตื่นตัวและลุกขึ้นมาขัดขวางคำประกาศนี้
ถึงคราวนั้นทุกคนจะต้องตัดสินใจว่าจะซื่อสัตว์ต่อพระเจ้าโดยเชื่อฟังปฏิบัติตามพระบัญญัติและรักษาวันสะบาโต หรือว่าจะทำตามสังคมส่วนใหญ่และถือตามประเพณีของมนุษย์ทั่วไปโดยรักษาวันอาทิตย์
ทุกคนจะต้องเลือกว่าจะรักษากฎของพระเจ้าหรือกฎของมนุษย์ คนในโลกจะถูกแยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าและดำเนินตามความเชื่อของพระเยซูอีกกลุ่มหนึ่งจะรับเครื่องหมายของสัตว์ร้ายในที่สุด (วิวรณ์ 14:12,9)
คนของพระเจ้าควรรักษาวันสะบาโตอย่างสม่ำเสมอ
และเป็นแบบอย่างถึงความรักของพระเจ้าเพื่อจะเทิดทูนพระบัญญัติของพระองค์
ทั้งเป็นการให้เกียรติวันสะบาโตที่คนทั่วไปได้ละทิ้งเสีย
4.
การรักษาวันสะบาโต
การ “ระลึกถึงวันสะบาโตถือเป็นวันบริสุทธิ์” นั้นหมายความว่าเราจะต้องคิดและวางแผนตลอดสัปดาห์ให้ทุกอย่างเตรียมพร้อมเพื่อจะรักษาวันสะบาโตให้เป็นที่ชื่นพระทัยของพระเจ้า เราต้องระวังไม่ทำงานให้เหนื่อยเกินไปจนไม่สามารถมีความสุขกับการนมัสการในวันสะบาโต
วันสะบาโตเป็นวันที่จะร่วมสามัคคีธรรมและเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นพิเศษ เป็นวันฉลองการทรงสร้างและการทรงไถ่
ดังนั้นเราควรระวังไม่ทำกิจกรรมใดที่ทำให้รู้สึกว่าวันสะบาโตไม่ศักดิ์สิทธิ์
พระคัมภีร์ระบุว่าในวันสะบาโตเราจะต้องงดจากการงานของเรา (อพยพ 20:8-11) และให้เกียรติพระเจ้าโดย “ไม่ไปตามทางของเจ้าเองหรือทำตามใจของเจ้า หรือพูดแต่เรื่องไร้สาระ” (อิสยาห์ 58:13) การหาสิ่งบันเทิง การคิด
การฟัง
การพูดหรือการทำกิจกรรมฝ่ายโลก
รวมถึงการเล่นกีฬาในวันสะบาโต
ล้วนแต่เป็นการไม่รักษาวันสะบาโตให้บริสุทธิ์
เพราะเป็นการทำลายความสัมพันธ์พิเศษที่จะมีกับพระเจ้าในวันนั้น เราต้องระวังทั้งตัวเราและทุกคนที่อยู่ภายใต้การดูแลของเราด้วย คือ
บุตร ลูกจ้าง แขก
และสัตว์ใช้งาน (อพยพ 20:10)
เพื่อจะได้มีส่วนในพระพรแห่งวันสะบาโต
วันสะบาโตเริ่มต้นเมื่อดวงอาทิตย์ตกดินในเย็นวันศุกร์และสิ้นสุดเมื่อพระอาทิตย์ตกดินในเย็นวันเสาร์ (ปฐมกาล 1:5; มาระโก 1:32; เลวีนิติ 23:32) พระคัมภีร์เรียกวันศุกร์ว่า “วันเตรียม” (มาระโก
15:42)
เป็นวันเตรียมต้อนรับวันสะบาโต
เพื่อจะไม่มีอะไรทำให้วันสะบาโตเสื่อมเสียความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนผู้ที่ประกอบอาหารควรจัดเตรียมอาหารไว้ล่วงหน้าวันศุกร์เพื่อจะได้พักในวันสะบาโต (อพยพ 16:23, กันดารวิถี 11:8)
ในขณะที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะตกดินในเย็นวันศุกร์สมาชิกครอบครัวหรือกลุ่มผู้เชื่อควรจะร่วมกันร้องเพลงอธิษฐาน และอ่านพระคัมภีร์เป็นการต้อนรับวันสะบาโต และควรทำแบบเดียวกันเพื่อส่งท้ายวันสะบาโตในเวลาพลบค่ำของวันเสาร์และขอการทรงนำของพระเจ้าสำหรับสัปดาห์ใหม่
พระเจ้าทรงเชื้อเชิญคนของพระองค์ให้มีความปีติยินดีในวันสะบาโต
(อิสยาห์ 58:13)
และเราจะรื่นเริงยินดีได้ด้วยการปฏิบัติตามแบบอย่างของพระเยซูผู้ทรงเป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต
เราจะได้พบความสุขที่แท้จริงและความพึงพอใจที่พระเจ้าทรงเตรียมให้เราในวันนั้น
พระเยซูทรงเข้าร่วมนมัสการพระเจ้าและทรงสั่งสอนประชาชนในวันสะบาโตอย่างสม่ำเสมอ (มาระโก 1:29-31; ลูกา 14:1) ทรงใช้เวลาในธรรมชาติ (มาระโก 2:23) และเสด็จไปกระทำความดีโดยรักษาคนป่วย และคนอนาถา
(มาระโก 1:21-31, 3:1-5; ลูกา 13:10-17,
14:2-4; ยอห์น 5:1-15, 9:1-4)
เมื่อพวกฟาริสีกล่าวติเตียนพระองค์ที่ทรงรักษาคนป่วยให้หายในวันสะบาโต พระองค์ทรงตอบเขาว่าพระเจ้าทรง “อนุญาตให้ทำการดีได้ในวันสะบาโต” (มัทธิว 12:12)
การรักษาคนในวันสะบาโตนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนหรือเลิกล้มวันสะบาโตแต่อย่างใด หากแต่เป็นการยกเลิกข้อบังคับต่างๆ
ของพวกฟาริสี
วันสะบาโตเป็นเครื่องมือของพระเจ้าที่จะฟื้นจิตวิญญาณของมนุษย์
แต่พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงความหมายอันแท้จริงนี้เสีย ดังนั้นกิจกรรมใดก็ตามที่ช่วยให้ใกล้ชิดพระเจ้าจึงเหมาะสมในวันสะบาโต
แต่กิจกรรมที่หันเหความสนใจของเราไปในทางอื่นนั้นไม่สมควรกระทำ
พระผู้เป็นเจ้าของวันสะบาโตทรงเชิญชวนให้ทุกคนกระทำตามแบบอย่างของพระองค์
ผู้ที่ปฏิบัติตามจะพบว่าวันสะบาโตเป็นวันที่สุขสำราญ
เป็นการเลี้ยงฝ่ายจิตวิญญาณและเป็นการชิมรสของสวรรค์ล่วงหน้า
พวกเขาจะพบว่าวันสะบาโตเป็นยาที่พระเจ้าทรงจัดไว้ให้ในทุกสัปดาห์เพื่อบำบัดความท้อถอย
วันสะบาโตจะนำกำลังใจมาให้เราถึงแม้ว่าอุปนิสัยของเรายังไม่ดีพร้อม
แต่เราก็สามารถอยู่อย่างสมบูรณ์แบบได้ในพระเยซู ความสำเร็จของพระเยซูบนไม้กางเขนทำให้เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้า ดังนั้นเราจึงเข้าพำนักอยู่ในพระองค์
5.
ข้อคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวันสะบาโต
?
พระคัมภีร์ระบุไหมว่าพระเจ้าทรงมีวันที่ทรงตั้งไว้เป็นพิเศษ
> “พระวิญญาณได้ทรงดลใจข้าพเจ้าในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (วิวรณ์ 1:10)
? วันไหนคือวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า
> “เหตุฉะนั้นบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต” (มาระโก 2:28)
แสดงว่าวันสะบาโตเป็นวันพิเศษของพระเจ้า
? ในเมื่อหนึ่งสัปดาห์มีเจ็ดวัน แล้ววันไหนเป็นวันสะบาโต
> “จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์...วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเจ้า” (อพยพ 20:8, 10)
? แล้ววันที่เจ็ดของสัปดาห์ที่เราควรรักษานั้นตรงกับวันอาทิตย์หรือวันเสาร์หรือวันอื่น
>
“ครั้นวันสะบาโตล่วงไปแล้ว...เวลารุ่งเช้าวันต้นสัปดาห์พอดวงอาทิตย์ขึ้นเขาก็มาถึงอุโมงค์...ครั้นเขาไปในอุโมงค์แล้วได้เห็นหนุ่มคนหนึ่ง...คนหนุ่มนั้นบอกเขาว่า ‘อย่าตกตะลึงเลย พวกเจ้าทั้งหลายมาหาพระเยซูชาวนาซาเร็ธซึ่งต้องตรึงไว้ที่กางเขนพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว...’” (มาระโก 16:1-6; ยอห์น 20:1; ลูกา 23:54-56, 24:1)
พระเยซูทรงฟื้นพระชนม์ในวันอาทิตย์
ซึ่งพระคัมภีร์บอกอย่างชัดเจนว่าวันฟื้นพระชนม์นั้นเป็นวันถัดมาหลังจากวันสะบาโต แสดงว่าวันสะบาโตต้องเป็นวันเสาร์
?
พระเจ้าได้ทรงล้มเลิกพระบัญญัติที่ให้รักษาวันสะบาโตหรือเปล่า
> “อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะ เรามิได้มาเลิกล้างแต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ” (มัทธิว 5:17)
?
พระเจ้าได้ทรงเปลี่ยนแปลงพระบัญญัติข้อที่สี่ซึ่งสั่งให้รักษาวันสะบาโต
เพื่อผู้ที่เชื่อในพระองค์จะได้รักษาวันอื่นแทนหรือเปล่า
> “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆ
หนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ...” (มัทธิว 5:18)
?
พระเจ้าทรงตั้งวันสะบาโตไว้เพื่อชาวยิวเท่านั้นหรือ
>
“วันสะบาโตนั้นทรงตั้งไว้เพื่อมนุษย์” (มาระโก 2:27)
พระเจ้าทรงตั้งวันสะบาโตไว้ในสวนเอเดนเพื่อมนุษย์
ก่อนที่จะมีชนชาติยิวถึงสองพันห้าร้อยกว่าปี (ปฐมกาล 2:1-3)
? หลังจากพระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนแล้ว
สาวกของพระองค์ก็ไม่ได้รักษาวันสะบาโตตามพระบัญญัติอีกต่อไปใช่ไหม
> “วันนั้นเป็นวันจัดเตรียมและวันสะบาโตก็เกือบจะถึงแล้ว
ฝ่ายพวกผู้หญิงที่ตามพระองค์มาจากแคว้นกาลิลีก็ตามไปและได้เห็นอุโมงค์
ทั้งได้เห็นเขาวางพระศพของพระองค์ไว้อย่างไรด้วย
แล้วเขาก็กลับไปจัดแจงเครื่องหอมกับน้ำมันหอม ในวันสะบาโตนั้นเขาก็หยุดการไว้ตามพระบัญญัติ” (ลูกา 23:54-56) ในสายตาของพวกสาวก
การจัดการกับพระศพของพระเยซูยังไม่สำคัญเท่ากับการรักษาวันสะบาโต
?
อัครทูตเปาโลมักจะพบปะกับพี่น้องคริสเตียนในวันอาทิตย์เพื่อเป็นการให้เกียรติวันฟื้นคืนพระชนม์มิใช่หรือ
> ไม่ใช่ แต่เปาโลจะเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโต “เปาโลจึงเข้าไปในธรรมศาลานั้นตามอย่างเคย
และท่านได้อ้างข้อความในพระคัมภีร์โต้ตอบกับเขาได้สามวันสะบาโต” (กิจการ
17:2)
?
บางทีเปาโลอาจจะพบกับพวกยิวในวันสะบาโตและคนต่างชาติในวันอาทิตย์ใช่ไหม
> “เปาโลได้สนทนาธรรมในธรรมศาลาทุกวันสะบาโต ได้ชักชวนทั้งพวกยิวและพวกกรีกให้เชื่อ” (กิจการ 18:4)
แสดงว่าเปาโลได้สอนทั้งคนยิวและคนกรีกในวันสะบาโต
? เปาโลสอนเกี่ยวกับการรักษาวันสะบาโตว่าอย่างไร
> “ฉะนั้นจึงยังมีการพำนักสะบาโตสำหรับชนชาติของพระเจ้า
เพราะว่าผู้ใดที่ได้เข้าสู่การพำนักของพระเจ้าแล้ว ก็ได้พักงานของตนเหมือนพระเจ้าได้ ทรงพักพระราชกิจของพระองค์” (ฮีบรู 4:9-10)
? เปาโลหมายถึงอะไรเมื่อกล่าวว่า “พักงานของตนเหมือนพระเจ้าได้ทรงพัก”
> “ในวันที่เจ็ดนั้นพระเจ้าก็ได้ทรงหยุดพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์” (ฮีบรู 4:4)
? เปาโลร่วมประชุมนมัสการกับพี่น้องในวันอาทิตย์ด้วยไม่ใช่หรือ อย่างที่กล่าวในกิจการ 20:7
> กิจการ 20:7 เป็นที่เดียวในพระคัมภีร์ที่ได้บันทึกว่าคริสเตียนได้ประชุมนมัสการในวันอาทิตย์
ซึ่งจากการสังเกตข้อความดังกล่าวอย่างละเอียดแล้ว จะเห็นได้ว่าการประชุมนี้เป็นกรณีพิเศษ เพราะเปาโลเทศนาในคืนวันเสาร์ (ถือว่าเป็นวันต้นสัปดาห์)
ทั้งคืนเนื่องจากวันรุ่งขึ้นท่านจะต้องเดินทาง
ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้ข้อนี้เป็นหลักฐานในการถือรักษาวันอาทิตย์แทนวันเสาร์
?
แต่ในข้อเหล่านี้ยังเขียนว่าพวกเขาได้ร่วมกันเพื่อหักขนมปัง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำกันเฉพาะในวันสะบาโตไม่ใช่หรือ
>
“เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหารและหักขนมปังตามบ้าน...ทุกวันเรื่อยไป” (กิจการ 2:46)
ในพระคัมภีร์ใหม่การหักขนมปังมีสองความหมาย ความหมายแรกคือพิธีศีลมหาสนิท ความหมายที่สองคือ การร่วมสามัคคีธรรม
? ถ้าพระคัมภีร์สอนให้ถือรักษาวันสะบาโตจริงแล้วทำไมคนส่วนมากจึงถือวันอาทิตย์แทนวันเสาร์ และใครเป็นคนเริ่มให้มีการถือวันอาทิตย์
< “ท่าน (อำนาจเขาเล็ก)
จะพูดคำกล่าวร้ายองค์ผู้สูงสุด
และจะให้วิสุทธิชนขององค์ผู้สูงสุดนั้นอิดหนาระอาใจและจะคิดเปลี่ยนแปลงบรรดาวาระและธรรมบัญญัติ” (ดาเนียล 7:25) จากการศึกษาดาเนียลบทที่ 7
พร้อมด้วยประวัติศาสตร์โลกจะพบว่ามีเพียงอำนาจเดียวที่ตรงกับอำนาจเขาเล็กในคำพยากรณ์นั้นคือคริสตจักรโรมันคาทอลิก
?
คริสตจักรโรมันคาทอลิกมีความคิดเห็นอย่างไรที่เขาได้เปลี่ยนพระบัญญัติของพระเจ้า
> “หากคริสตจักรไม่มีอำนาจเช่นนั้น ก็คงไม่สามารถกระทำในสิ่งที่นักศาสนศาสตร์สมัยใหม่ต่างก็เห็นด้วย
คริสตจักรก็คงไม่สามารถทำให้มีการถือวันอาทิตย์เป็นวันต้นสัปดาห์แทนการถือวันเสาร์ การถือวันที่เจ็ดของสัปดาห์ถูกเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีสิทธิอำนาจรับรองจากพระคัมภีร์” เขียนโดย
สตีเฟน คีแนน
(Stephen Keenan) บาทหลวงคาทอลิกในหนังสือ
Doctrinal Catechism, p.174
?
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเมื่อไร
> ปีเตอร์ เกียร์แมน
(Peter Geierman) ได้เขียนข้อความต่อไปนี้ไว้ในหนังสือ
The Convers’ Catechism, p.50 (หนังสือปุจฉาเล่มนี้ได้รับการอวยพรจากพระสันตะปาปา เมื่อวันที่
25 มกราคม 1910) “เราถือวันอาทิตย์แทนวันเสาร์เพราะคริสตจักรคาทอลิกมีการประชุมสภาที่เมืองเลาดีเซีย
(ค.ศ. 364)
และได้เปลี่ยนแปลงความสำคัญจากวันเสาร์มาเป็นวันอาทิตย์แทน”
> ศาสนาจารย์ของโปรเตสแตนท์เห็นด้วยไหม
?
คริสเตียนคองกรีเกชั่น – “จะเห็นอย่างแน่ชัดว่า
แม้เราอุทิศตนอย่างจริงจังอย่างไรในวันอาทิตย์ก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่การถือรักษาวันสะบาโต” ดร.อาร์ ดับ ลิว เดล
The Ten Commandments, p.106
> คริสตจักรเมธอดิสท์
– “คำว่าสะบาโตในภาษาฮีบรู หมายถึงการพักผ่อน และเป็นวันที่เจ็ดของสัปดาห์...และเราต้องยอมรับว่าไม่มีกฎข้อใดในพระคัมภีร์
(พันธสัญญาใหม่)
ที่ให้ความสำคัญกับวันต้นสัปดาห์” จากหนังสือ Theological
Dictionary
> คริสตจักรแบ๊บติสท์
-- “มีพระบัญญัติที่ให้ถือวันสะบาโตเป็นวันบริสุทธิ์ แต่วันสะบาโตไม่ใช่วันอาทิตย์ อย่างไรก็ตามมีคนที่กล่าวอย่างเต็มปากว่า วันสะบาโตรวมถึงกฎและหน้าที่ต่างๆ
ของวันนั้นถูกเปลี่ยนจากวันที่เจ็ดมาเป็นวันต้นสัปดาห์ ข้าพเจ้าศึกษาเรื่องนี้มาหลายปี ขอย้ำว่าในพระคัมภีร์ใหม่ไม่มีการบันทึกเรื่องการเปลี่ยนแปลงวันสะบาโตจากวันที่เจ็ดมาเป็นวันต้นสัปดาห์แต่อย่างใด ไม่มีเลย
แต่น่าเสียดายที่วันนั้นได้รับความสำคัญเพราะลัทธิไหว้ดวงอาทิตย์และเพราะการหนุนหลังของสันตะปาปา
จึงสืบทอดเป็นมรดกศักดิ์สิทธิ์มายังพวกโปรเตสแตนท์” จากหนังสือ
The Baptist Manual โดย ดร.อี.ที.ฮิสค็อก (E.T.Hiscox)
?
การถือวันที่เจ็ดนั้นมีความแตกต่างอะไรกับการถือวันอื่นในเมื่อวันไหนก็เหมือนๆ
กัน
> แตกต่างที่การเชื่อฟัง “ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าถ้าท่านยอมตัวรับใช้ฟังคำของผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น คือเป็นทาสของบาปซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟังซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม” (โรม 6:16)
? ถ้าอย่างนั้นเราควรจะเชื่อฟังใคร
ควรรักษาวันสะบาโตตามพระบัญญัติของพระเจ้าหรือถือวันอาทิตย์ของมนุษย์
> “ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์” (กิจการ 5:29)
?
แล้วพระเจ้าทรงคิดอย่างไรกับคนที่ถือวันอาทิตย์
> “อย่างนั้นแหละ ท่านทั้งหลายทำให้ธรรมบัญญัติของพระเจ้าเป็นหมันไป
เพราะเห็นแก่คำสอนของพวกท่าน...เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์มิได้ด้วยเอาบทบัญญัติของมนุษย์มาตู่ว่าเป็นพระดำรัสสอนของพระเจ้า” (มัทธิว 15:6,9)
?
แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนนับล้านที่ถือวันอาทิตย์ต่างก็ผิดหมด
> “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าและทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศและคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก
เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย” (มัทธิว 7:13-14)
?
แล้วทำไมจึงพบเห็นว่ามีอาจารย์เก่งๆ
และนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงจำนวนมากไม่ถือรักษาวันเสาร์เป็นวันสะบาโต
> “ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย
จงพิจารณาดูว่าพวกท่านที่พระเจ้าได้ทรงเรียกมานั้นเป็นคนพวกไหน มีน้อยคนที่โลกนิยมว่ามีปัญญา มีน้อยคนที่มีอำนาจ มีน้อยคนที่มีตระกูลสูง
แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อทำให้คนมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย” ( 1 โครินธ์ 1:26-27) บรรดาผู้สอนศาสนาผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยของพระเยซูได้ปฏิเสธความจริงเหมือนกันผู้ที่เชื่อและติดตามพระองค์ส่วนมากแล้วเป็นคนสามัญธรรมดา
?
ข้าพเจ้าได้รับและเชื่อในพระเยซูและได้รักษาวันอาทิตย์มานาน
ข้าพเจ้าเชื่อว่าตนเองคงไม่หลงหายไปจากพระเจ้าถึงแม้ไม่ได้รักษาวันเสาร์เป็นวันสะบาโต
> “ในเวลาเมื่อมนุษย์ยังไร้เดียงสา พระเจ้ามิได้ทรงถือโทษ แต่เดี๋ยวนี้
พระเจ้าได้ตรัสสั่งแก่มนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจใหม่” (กิจการ 17:30)
? แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าคงไม่ถือโทษที่ข้าพเจ้ามิได้รักษาวันสะบาโตใช่ไหม
> “คนใดที่กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าคุ้นกับพระองค์’ แต่มิได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์
คนนั้นเป็นคนพูดมุสาและความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย” (1 ยอห์น 2:4)
?
แต่การที่ข้าพเจ้ารักพระเจ้า และดำรงชีวิตตามกฎแห่งความรักยังไม่เพียงพอหรือ
> “ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา” (ยอห์น 14:15)
?
หมายความว่าต้องรักษาให้ครบทั้งสิบข้อใช่ไหม
> “เพราะว่าผู้ใดรักษาธรรมบัญญัติได้ทั้งหมดแต่ผิดอยู่ข้อเดียว ผู้นั้นก็เป็นผู้ผิดธรรมบัญญัติทั้งหมด” (ยากอบ 2:10)
?
การพยายามติดตามพระเยซูเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดและคงเพียงพอมิใช่หรือ
> “ผู้ใดกล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์
ผู้นั้นก็ควรดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงดำเนินนั้น” (1 ยอห์น 2:6)
?
พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของการรักษาวันสะบาโตอย่างไร
> “แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น
พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตตามเคยและทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม” (ลูกา 4:16)
? เนื่องจากว่าเวลาล่วงมาเกินสองพันปีแล้ว
ถ้าหากพระเยซูเสด็จมาในโลกปัจจุบันพระองค์จะถือวันอื่นแทนวันสะบาโตหรือเปล่า
> “เราคือพระเจ้าไม่มีผันแปร” (มาลาคี 3:6) “พระเยซูคริสต์ยังทรงเหมือนเดิมในเวลาวานนี้ และเวลาวันนี้
และต่อๆ ไปเป็นนิจกาล” (ฮีบรู 13:8)
?
ถ้าอย่างนั้นความรอดขึ้นอยู่กับการเชื่อฟังอย่างนั้นหรือ
> “เมื่อพระเจ้าทรงทำให้พระเยซูเพียบพร้อมทุกประการแล้ว
พระเยซูก็เลยทรงเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความรอดนิรันดร์สำหรับคนทั้งปวงที่เชื่อฟังพระองค์” (ฮีบรู 5:9)
?
จำเป็นมากไหมที่จะต้องถือพระบัญญัติ
> “ถ้าท่านปรารถนาจะเข้าในชีวิตก็ให้ถือรักษาพระบัญญัติไว้” (มัทธิว 19:17)
? ทำไมพระเจ้าจึงสนับสนุนให้ถือวันที่เจ็ดซึ่งเป็นวันเสาร์ วันอาทิตย์ก็ดีเท่ากับวันเสาร์มิใช่หรือ
> “พระเจ้าจึงทรงอวยพระพรแก่วันที่เจ็ดทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์” (ปฐมกาล 2:3) “พระเจ้าได้ทรงอำนวยพรและข้าพเจ้าจะเรียกกลับไม่ได้” (กันดารวิถี
23:20) “ข้าแต่พระเจ้า
สิ่งใดที่พระองค์ทรงอำนวยพระพรสิ่งนั้นก็ได้รับพระพรเป็นนิตย์” (1
พงศาวดาร 17:27)
? แล้วถ้าเลือกถือวันใดวันหนึ่งในสัปดาห์จะได้ไหม
> พระเจ้าทรงตำหนิคาอินที่เลือกนมัสการพระองค์ตามวิธีการของเขาเอง แทนที่จะทำตามพระบัญชาของพระองค์ (ปฐมกาล 4)
“มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า
พระองค์เจ้าข้า
พระองค์เจ้าข้า
จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์
แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา
ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” (มัทธิว 7:21)
? แต่ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระองค์เป็นประจำ
> “ถ้าผู้ใดไม่ฟังพระบัญญัติ แม้คำอธิษฐานของเขาก็เป็นสิ่งน่าเกลียดน่าชัง” (สุภาษิต 28:9)
? มีบางคนสามารถทำการอัศจรรย์ รักษาคนป่วยได้ บางคนพูดภาษาแปลกๆ ก็ได้ แต่เขาไม่ได้ถือวันสะบาโต คนพวกนี้จะเป็นอย่างไร
>
“เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า
พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์กล่าวพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์
และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ’ เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’” (มัทธิว 7:22-23)
? ข้าพเจ้ารู้ว่าวันสะบาโตเป็นวันบริสุทธิ์ แต่การทำงานคงมีปัญหาถ้าหยุดวันเสาร์ เพราะข้าพเจ้าอาจต้องถูกออกจากงาน
> “เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร” (มาระโก 8:36)
? ข้าพเจ้าเชื่อเรื่องวันสะบาโต แต่จำเป็นต้องทำงานในวันเสาร์เพื่อความอยู่รอดของครอบครัว
> “เพราะว่าพวกต่างชาติแสวงหาสิ่งของทั้งปวงนี้
แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” (มัทธิว 6:32-33) “ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นคนชอบธรรมถูกทอดทิ้ง หรือลูกหลานของเขาขอทาน” (สดุดี 37:25)
?
ข้าพเจ้าเกรงว่าเพื่อนฝูงจะพากันเยาะเย้ยถ้าข้าพเจ้าถือวันเสาร์เป็นวันสะบาโต
> “เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง
และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข
จงชื่นชมยินดีเพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์เพราะเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะทั้งหลายที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน” (มัทธิว 5:11-12) “ถ้าโลกนี้เกลียดชังท่านทั้งหลาย ก็จงรู้ว่าโลกได้เกลียดชังเราก่อน” (ยอห์น
15:18)
? ถ้าครอบครัวของข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไร
> “ผู้ใดที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเรา ก็ไม่มีค่าควรกับเรา และผู้ใดรักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา ผู้นั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา...ผู้ที่จะเอาชีวิตของตนรอด จะกลับเสียชีวิต
แต่ผู้ที่สู้เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราก็จะได้ชีวิตรอด” (มัทธิว 10:37-38)
“ก็เช่นนั้นแหละ
ทุกคนในพวกท่านที่มิได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่ จะเป็นสาวกของเราไม่ได้” (ลูกา 14:33)
? ข้าพเจ้าอ่อนแอเกินไป กลัวว่าจะไม่สามารถทนต่อการทดลองได้
> “แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว
เพราะความอ่อนแอมีที่ไหนเดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น’
เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้าเพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์
ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า...เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากขึ้นเมื่อนั้น” (2 โครินธ์ 12:9-10) “ข้าพเจ้าอยากผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” (ฟิลิปปี
4:13)
? ถ้าอย่างนั้นการเสียสละเพื่อจะได้รักษาพระบัญญัติของพระองค์ด้วยความซื่อสัตย์จะได้อะไรเป็นบำเหน็จ
> “ถ้าผู้ใดได้สละเหย้าเรือน หรือภรรยา
หรือพี่น้อง หรือบิดามารดา หรือบุตรเพราะเห็นแก่แผ่นดินของพระเจ้า
ในยุคนี้ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนหลายเท่าและในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์” (ลูกา 18:29-30) “คนทั้งหลายที่ชำระเสื้อผ้าของตนก็เป็นสุข
เพื่อว่าเขาจะได้มีสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิต และเพื่อเขาจะได้เข้าไปในนครนั้นโดยทางประตู” (วิวรณ์
22:14) (ต้นฉบับภาษากรีกบางฉบับเขียนว่า “คนทั้งหลายที่รักษาพระบัญญัติก็เป็นสุข...”)
? ในสวรรค์ยังมีการรักษาวันสะบาโตหรือไม่
> “เพราะสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่ซึ่งเราจะสร้าง จะยังอยู่ต่อหน้าเราฉันใด พระเจ้าตรัสดังนี้ เชื่อสายของเจ้าและชื่อของเจ้าจะยังอยู่ฉันนั้น พระเจ้าตรัสว่า ทุกวันขึ้นค่ำและทุกวันสะบาโต มนุษย์ทั้งสิ้นจะมานมัสการต่อเรา” (อิสยาห์ 66:22-23)
? ถ้าเป็นเช่นนั้น
สิ่งใดที่สำเร็จในสวรรค์ก็ขอให้สำเร็จในโลกเช่นกัน
ข้าพเจ้าจะถือรักษาวันสะบาโตโดยพึ่งความช่วยเหลือของพระองค์
>
“ดีแล้ว
เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ
เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย
เราจะตั้งเจ้าให้ดูและของมาก” (มัทธิว 25:21)
Visit us for more information http://www.greatesthope.com
or contact
or
contact
Thailand
Adventist Mission
12
Soi Pridi Banomyong 37, Sukhumvit 71
Klongtan
Nua, Wattana, Bangkok 10110
Telephone:
02-391-3595, 02-391-0525
Fax:
02-381-1928
Information:
P.O.
Box 234 Prakanong Bangkok 10110 Thailand
E-mail: sdatam@adventist.or.th
No comments:
Post a Comment