เคล็ดลับที่ 8
เติบใหญ่ขึ้นในพระเยซู
พระคัมภีร์เรียกการเปลี่ยนแปลงจิตใจที่ทำให้เราได้เป็นบุตรของพระเจ้าว่า
การบังเกิดใหม่
พระคัมภีร์ยังเปรียบเทียบการบังเกิดใหม่นี้กับการแตกหน่อของเมล็ดดีที่ชาวนา
หว่านลงไป ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่กลับใจใหม่ในพระคริสต์เปรียบเหมือน “ทารกแรกเกิด” “เพื่อจะจำเริญขึ้น” เป็นชายและหญิงในพระเยซูคริสต์ (1 เปโตร 2:2; เอเฟซัส 4:15)
ดั่งเมล็ดดีที่หว่านลงในทุ่งนาเจริญงอกงามขึ้นและเกิดผล อิสยาห์กล่าวว่า “คนจะเรียกเขาว่าต้นก่อหลวงแห่งความชอบธรรม
ที่ซึ่งพระเจ้าทรงปลูกไว้เพื่อพระองค์จะทรงสำแดงพระสิริของพระองค์” (อิสยาห์ 61:3) ดังนั้น
จึงได้มีการนำเรื่องราวชีวิตในธรรมชาติมาใช้เป็นตัวอย่างเพื่อช่วยอธิบายให้เราเข้าใจความจริงที่ลึกลับของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ {SC 67.1}
ปัญญา
และความสามารถทั้งหมดของมนุษย์ไม่อาจทำให้เกิดชีวิตเล็กที่สุดในธรรมชาติ
ได้
ทั้งพืชหรือสัตว์จะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยชีวิตที่พระเจ้าทรงประทานให้เท่านั้น
เช่นเดียวกัน
ชีวิตฝ่ายวิญญาณจะบังเกิดขึ้นในหัวใจมนุษย์ได้ก็ด้วยชีวิตที่มาจากพระเจ้า
ถ้ามนุษย์ไม่ได้ “บังเกิดใหม่จากเบื้องบน”
เขาจะมีส่วนในชีวิตซึ่งพระคริสต์เสด็จมาประทานให้ไม่ได้ (ยอห์น 3:3) {SC 67.2}
การเติบใหญ่ขึ้นจะมีลักษณะเหมือนเช่นกับการมีชีวิต
พระเจ้าทรงเป็นผู้กระทำให้ดอกตูมนั้นบานและจากดอกทำให้เกิดเป็นผล
ด้วยอำนาจของพระองค์ที่จะทำให้เมล็ดเกิดขึ้น “เป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง” (มาระโก 4:28)
และผู้เผยพระวจนะโฮเชยากล่าวถึงชนชาติอิสราเอลว่า “เขาจะเบิกบานอย่างดอกพลับพลึง” “เขาจะเจริญขึ้นเหมือนอุทยาน จะออกดอกเหมือนเถาองุ่น” (โฮเยา 14:5, 7) และพระเยซูทรงบัญชาให้เรา “พิจารณาดอกไม้ว่ามันงอกเจริญขึ้นอย่างไร” (ลูกา 12:27) ต้นพืชและดอกไม้ไม่อาจงอกงามขึ้นด้วยการใส่ใจหรือความร้อนใจหรือความพยายามของมันเอง
แต่จะเจริญเติบใหญ่ขึ้นได้ด้วยสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้เพื่อเลี้ยงดูชีวิตของมัน
เด็กไม่อาจขยายรูปร่างของตนให้ใหญ่ขึ้นได้ด้วยความห่วงใยหรือด้วยพละกำลังของตนเอง
ชีวิตฝ่ายวิญญาณของท่านไม่อาจเติบใหญ่ขึ้นได้จากความทุกข์ร้อนใจ ความกังวลหรือความพยายามของตัวท่านเอง ต้นพืช
เด็ก
เติบใหญ่ขึ้นด้วยการรับสิ่งต่างๆ รอบตัวที่รับใช้ชีวิตของเขาทั้งหลาย ซึ่งได้แก่
อากาศ แสงแดด และอาหาร
ธรรมชาติให้ของขวัญเหล่านี้แก่ทั้งพืชและสัตว์
ในทำนองเดียวกันพระเจ้าทรงประทานสิ่งเหล่านี้ให้แก่ทุกคนที่วางใจในพระองค์ พระองค์ทรงเป็น “ความสว่างเป็นนิตย์ของเขา” “เป็นดวงอาทิตย์และเป็นโล่” (อิสยาห์ 60:19; สดุดี 84:11)
พระองค์ทรง “เป็นเหมือนน้ำค้างแก่อิสราเอล” “เป็นเหมือนฝนที่ตกบนหญ้าที่ตัดแล้ว” (โฮเชยา 14:5; สดุดี 72:6)
พระองค์ทรงเป็นบ่อน้ำพุแห่งชีวิต
เป็น “อาหารของพระเจ้า.....ที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก” (ยอห์น 6:33) {SC 67.3}
เมื่อพระเจ้าทรงประทานพระบุตรของพระองค์มาเป็นของขวัญที่ไม่อาจพระเมินค่าได้
พระองค์ได้ทรงโอบล้อมโลกทั้งใบนี้ไว้ด้วยบรรยากาศแห่งพระคุณ เหมือนกับอากาศที่กระจายอยู่รอบโลก
ทุกคนที่เลือกหายใจด้วยบรรยากาศที่ให้ชีวิตนี้ จะมีชีวิตและเติบใหญ่ขึ้นเป็นชายและหญิงในพระคริสต์ {SC 68.1}
เช่น
เดียวกับที่ดอกไม้หันเข้าหาดวงอาทิตย์เพื่อแสงสว่างจะช่วยให้ดอกไม้นั้นงด
งามและสมดุลอย่างสมบูรณ์
เราจึงควรหันไปยังดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมเพื่อแสงสว่างจากสวรรค์จะส่องลง
มายังเรา
เพื่ออุปนิสัยของเราจะได้พัฒนาขึ้นจนเป็นเหมือนพระฉายาของพระคริสต์ {SC 68.2}
พระเยซูทรงสอนเรื่องเดียวกันนี้ เมื่อพระองค์ตรัสว่า “จงเข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน
แขนงจะเกิดผลเองไม่ได้นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด
ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้.....เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” (ยอห์น 15:4, 5)
ท่านจะต้องพึ่งพระคริสต์ เพื่อชีวิตของท่านจะบริสุทธิ์
เหมือนเช่นกิ่งที่ต้องพึ่งลำต้นเพื่อจะงอกและเกิดผล
หากท่านแยกตัวเองออกจากพระองค์ ท่านจะไม่มีชีวิต
ท่านไม่มีอำนาจต่อต้านการทดลองหรืออำนาจที่จะเจริญขึ้นในพระคุณและความ
บริสุทธิ์ จงเข้าสนิทกับพระองค์ แล้วท่านจะรุ่งเรือง
จงหล่อเลี้ยงชีวิตของท่านจากพระองค์ เพื่อท่านจะไม่เหี่ยวเฉาหรือไร้ผล
ท่านจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ {SC 68.3}
มี
คนมากมายคิดว่าเขาต้องทำบางอย่างด้วยตัวเอง
พวกเขาวางใจพระคริสต์ที่ให้อภัยความบาป
แต่บัดนี้เขาใช้ความสามารถของตนเองเพื่อดำรงชีวิตให้ถูกต้อง
แต่ความพยายามเหล่านี้จะล้มเหลว พระเยซูตรัสว่า “แยกจากเราแล้ว ท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย”
การเติบใหญ่ขึ้นในพระคุณ ความสุขของเรา
การทำงานที่เกิดประโยชน์
สิ่งเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับการเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระคริสต์
โดยการติดต่อกับพระองค์ทุกวัน ทุกชั่วโมง
ซึ่งเป็นการติดสนิทกับพระองค์เพื่อที่เราจะเติบใหญ่ในพระคุณได้
พระองค์ไม่ได้เป็นเพียงผู้บุกเบิกความเชื่อของเราเท่านั้นแต่ยังทรงเป็นผู้
ทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์
พระคริสต์ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลายและทรงเป็นอยู่ตลอดกาล
พระองค์จะทรงอยู่ร่วมกับเรา
ไม่ใช่ที่จุดเริ่มต้นและที่จุดสุดปลายเท่านั้น แต่ตลอดทุกย่างก้าว
กษัตริย์ดาวิดตรัสว่า “ข้าพเจ้าตั้งพระเจ้าไว้ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ
เพราะพระองค์ประทับทางเบื้องขวาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นไหว” (สดุดี 16:8) {SC 69.1}
ท่านถามใช่หรือไม่ว่า “ข้าพเจ้าจะติดสนิทกับพระคริสต์ได้อย่างไร”
ก็ด้วยวิธีเดียวกันกับที่ท่านได้ยอมรับพระองค์ตั้งแต่ต้น “เหตุฉะนั้นเมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์เจ้าแล้วฉันใด จงปฏิบัติพระองค์ด้วยฉันนั้น” “คนชอบธรรม.....จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ” (โคโลสี 2:6; ฮีบรู 10:38)
ท่านมอบถวายตัวท่านเองให้พระเจ้าแล้วเพื่อให้เป็นของพระองค์ทั้งหมด
เพื่อรับใช้และเชื่อฟังพระองค์
และท่านรับพระคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน
ท่านไถ่บาปของท่านเองด้วยตัวของท่านเองไม่ได้หรือเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่าน
เองไม่ได้ แต่ท่านเชื่อว่า โดยการมอบถวายตัวท่านเองให้พระเจ้าแล้ว
พระองค์ทรงกระทำการทั้งหมดนี้ให้ท่านโดยเห็นแก่พระคริสต์
โดยความเชื่อท่านเป็นของพระคริสต์แล้ว
และโดยความเชื่อท่านจะเติบใหญ่ขึ้นในพระองค์ ทั้งจากการมอบให้และการรับ
ท่านจะต้องมอบทุกสิ่งรวมทั้งจิตใจ ความตั้งใจและการรับใช้ของท่าน
มอบถวายตัวท่านเองให้พระองค์โดยปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งหมดของพระองค์
และท่านจะต้องยอมรับทั้งหมด คือ
พระคริสต์ผู้ทรงเต็มล้นด้วยพระพรทั้งหมด
ให้เข้ามาสถิตในดวงใจของท่าน
เพื่อเป็นกำลังของท่าน
เป็นความชอบธรรมของท่าน
เป็นพระผู้ช่วยนิรันดร์ของท่าน
และพระองค์จะทรงประทานอำนาจให้แก่ท่านที่จะเชื่อปฏิบัติตามได้ {SC 69.2}
จงถวายตัวของท่านให้พระเจ้าทุกเช้า ให้เป็นงานแรกที่ท่านทำ ให้อธิษฐานว่า
“โอข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดรับข้าพระองค์ให้เป็นของพระองค์ทั้งหมด ข้าพระองค์ขอวางแผนการทั้งหมดของข้าพระองค์ไว้ที่เบื้องพระบาทของพระองค์
โปรดใช้ข้าพระองค์ในพระราชกิจของพระองค์ในวันนี้
ขอทรงโปรดสถิตอยู่กับข้าพระองค์และโปรดให้งานทั้งหมดของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์”
นี่คือสิ่งที่เราต้องทำทุกวัน
ท่านจะต้องมอบถวายตัวให้พระเจ้าทุกเช้า
มอบถวายแผนการทั้งหมดของท่านให้พระองค์เพื่อจะทำให้สำเร็จหรือล้มเลิกไปตาม
การทรงนำของพระองค์ ด้วยประการฉะนี้
ท่านจะมอบถวายชีวิตของท่านให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทุกวัน
และชีวิตของท่านจะถูกปั้นแต่งให้เหมือนชีวิตของพระคริสต์ได้มากยิ่งขึ้น {SC 70.1}
ชีวิต
ในพระคริสต์เป็นชีวิตที่สุขสบาย เป็นชีวิตที่อาจจะไม่ตื่นเต้น
แต่จะมีความวางใจที่เชื่อถือและสงบสุข
ความหวังของท่านไม่ได้อยู่ในตัวของท่านเอง แต่อยู่ในพระคริสต์
ความอ่อนแอของท่านประสานเข้ากับพละกำลังของพระองค์
ความโง่เขลาของท่านประสานเข้ากับพระปัญญาของพระองค์
ความเปราะบางของท่านประสานเข้ากับอำนาจที่ยั่งยืนของพระองค์
ดังนั้นท่านจึงไม่ควรมองตัวเอง อย่าให้สมองของท่านคิดถึงแต่ตัวเอง
แต่ให้มองไปยังพระคริสต์
จงให้ความนึกคิดของท่านพักพิงอยู่ในความรักของพระองค์ในความงดงาม
ความดีรอบคอบที่มีอยู่ในพระลักษณะของพระองค์
จงให้จิตวิญญาณใคร่ครวญอยู่เสมอถึงเรื่องการละทิ้งตนของพระคริสต์
การถ่อมตนของพระองค์ ความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ในบุคคลของพระองค์
ความรักที่ไม่มีรักใดเปรียบได้ของพระองค์
ท่านจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจนเป็นเหมือนพระคริสต์ได้ด้วยการรักพระองค์
ทำตามแบบอย่างของพระองค์ และพึ่งพิงในพระองค์อย่างเต็มที่ {SC 70.2}
พระเยซูตรัสว่า “จงเข้าสนิทอยู่ในเรา”
ข้อความนี้ให้แนวคิดของการพักผ่อน
ความมั่นคง และความมั่นใจ พระองค์ยังทรงเชิญชวนต่อไปว่า “จงมาหาเราและเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” (มัทธิว 11:28)
ผู้ประพันธ์สดุดีให้แนวคิดในทำนองเดียวกันว่า “จงสงบอยู่ต่อพระเจ้าและเพียรรอคอยพระองค์อยู่”
และอิสยาห์ให้ความมั่นใจไว้ว่า “กำลังของเจ้าจะอยู่ในความสงบและความไว้วางใจ” (สดุดี 37:7; อิสยาห์ 30:15) การพักผ่อนนี้ไม่ใช่เป็นการไม่ทำอะไร เพราะในคำเชื้อเชิญของพระผู้ช่วยให้รอด
การพักผ่อนที่พระองค์ทรงสัญญาจะประทานให้นั้น มีคำร้องเรียกให้ทำงานรับใช้ด้วย “จงเอาแอกของเราแบกไว้.....ท่านทั้งหลายจะได้พัก” (มัทธิว 11:29)
จิตใจที่พักพิงอยู่ในพระคริสต์อย่างเต็มที่จะทำงานรับใช้พระองค์ด้วยความจริงใจและจริงจังมากที่สุด {SC 71.1}
เมื่อ
ความคิดของเราหมกมุ่นอยู่กับตนเอง
ความนึกคิดของเราก็จะหันออกไปจากพระคริสต์พระผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของพละ
กำลังและชีวิต ด้วยเหตุนี้
ซาตานจึงคอยพยายามอยู่เสมอที่จะหันเหความสนใจของเราออกไปจากพระผู้ช่วยให้
รอด
ซึ่งเป็นการกีดกันจิตวิญญาณจากการเข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระคริสต์
และจากการสื่อสารกับพระองค์ ความสุขสำราญทางฝ่ายโลก ความกังวล
ความยุ่งเหยิงและความโศกเศร้าในชีวิต
ความผิดของผู้อื่นหรือความผิดพลาดและความไม่สมบูรณ์ของตัวท่านเอง
ซาตานจะใช้เรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือทั้งหมดนี้เพื่อหันเหความคิดของเรา
จงอย่าให้มันใช้เล่ห์กลของมันนำท่านให้หลง
มีคนมากมายที่มีความนึกคิดที่รอบคอบและมีความปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตอยู่ใน
พระเจ้า
เขามักจะถูกมารชักนำให้หมกมุ่นอยู่กับความผิดพลาดและความอ่อนแอของตัวเขา
เองอยู่เสมอ
และซาตานหวังที่จะได้ชัยชนะด้วยการทำให้เขาแยกตัวเองออกไปจากพระคริสต์
เราจะต้องไม่เอาตัวเราเองเป็นศูนย์กลางและหมกมุ่นอยู่กับความกังวลและความ
กลัวว่าเราจะได้รับความรอดหรือไม่
เรื่องทั้งหมดนี้จะหันเหเราออกไปจากแหล่งกำลังของเรา
จงมอบการดูแลจิตวิญญาณของท่านให้พระเจ้าและวางใจในพระองค์
จงพูดและคิดถึงพระเยซู จงให้ตัวของท่านจมหายไปในพระองค์
ขจัดความสงสัยออกไปให้หมด ขับไล่ความกลัวให้ออกไป
และกล่าวร่วมกับอัครทูตเปาโลว่า “ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า และชีวิตซึ่งข้าพเจ้าจะดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้
ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้าและได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” (กาลาเทีย 2:20) จงเข้าพักพิงอยู่ในพระเจ้า
พระองค์ทรงคอยเฝ้ารักษาสิ่งที่ท่านมอบถวายให้พระองค์ หากท่านจะยอมมอบถวายตัวของท่านเองให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว
พระองค์จะทรงนำพาท่านให้เป็นยิ่งกว่าผู้มีชัยนะโดยทางพระองค์ผู้ทรงรักท่าน {SC 71.2}
เมื่อ
พระคริสต์ทรงรับธรรมชาติของมนุษย์มาไว้ในพระองค์
พระองค์ทรงผูกมัดมนุษยชาติไว้ด้วยความรักที่ไม่มีอำนาจใดจะทำให้ขาดสะบั้น
ไป ยกเว้นแต่เป็นทางเลือกของเขาเอง
ซาตานจะคอยยื่นข้อเสนอจูงใจเพื่อชักชวนให้เราตัดความสัมพันธ์นี้อยู่สม่ำ
เสมอ
เพื่อให้เราเลือกที่จะแยกตัวเราเองออกไปจากพระคริสต์
นี่คือสิ่งที่เราต้องคอยเฝ้าระวัง คอยบากบั่น
คอยอธิษฐานเพื่อไม่ให้สิ่งใดมาชักนำให้เราเลือกนายอื่น
เพราะเรามีเสรีภาพที่จะทำเช่นนี้ได้เสมอ
แต่ขอให้สายตาของเราจ้องมองไปยังพระคริสต์และพระองค์จะทรงคุ้มครองรักษาเรา
เมื่อเรามองไปยังพระเยซูคริสต์ เราจะปลอดภัย
ไม่มีสิ่งใดจะถอนเราให้ออกไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้
เมื่อเราเฝ้ามองพระองค์อยู่เสมอ เราจะ “เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์พระผู้เป็นเจ้าคือมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป
เช่นอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นพระวิญญาณ” (2 โครินธ์
3:18) {SC
72.1}
นี่
เป็นวิธีที่อัครสาวกในยุคแรกได้รับพระฉายาของพระผู้ช่วยให้รอดอันเป็นที่รัก
ยิ่งของเขาทั้งหลาย เมื่อสาวกเหล่านั้นได้ยินพระดำรัสของพระเยซู
พวกเขาตระหนักดีว่า พวกเขาต้องการพระองค์ พวกเขาตามหาและได้พบ
พวกเขาจึงได้ติดตามพระองค์ไป พวกเขาอยู่ร่วมกับพระองค์ในบ้าน
ที่โต๊ะอาหารในห้องชั้นใน ในทุ่งนา
พวกเขาอยู่กับพระองค์ในฐานะนักเรียนอยู่กับอาจารย์
พวกเขารับบทเรียนแห่งความจริงศักดิ์สิทธิ์จากพระโอษฐ์ของพระองค์ทุกวัน
พวกเขามองดูพระองค์เช่นเดียวกับบ่าวที่มองดูนายเพื่อการเรียนรู้หน้าที่สาวก
เหล่านั้น “เป็นมนุษย์ที่มีสภาพเหมือนกับเราทั้งหลาย” (ยากอบ 5:17)
พวกเขามีสงครามที่จะต้องต่อสู้กับความบาปเหมือนกับเรา พวกเขาต้องการพระคุณเดียวกันเพื่อจะดำรงชีวิตที่บริสุทธิ์ {SC 72.2}
แม้
กระทั่งยอห์น สาวกที่พระองค์ทรงรัก
ซึ่งเป็นผู้ที่สะท้อนพระลักษณะของพระผู้ช่วยให้รอดได้มากที่สุด
ก็ไม่ได้มีอุปนิสัยที่น่ารักนี้ติดตัวมาโดยธรรมชาติ
ท่านไม่เพียงแต่เป็นคนที่ถือรักษาสิทธิของตนเองและทะเยอทะยานมุ่งหา
เกียรติยศเท่านั้น
ท่านยังเป็นคนหุนหันพลันแล่นและไม่พอใจเมื่อถูกคุกคาม
แต่เมื่อท่านได้มองเห็นพระลักษณะของพระองค์
ท่านก็มองเห็นความบกพร่องในตัวเองและได้ถ่อมใจลง
ท่านได้มองเห็นพละกำลังและความอดทน อำนาจและความอ่อนโยน
ความยิ่งใหญ่และความถ่อมตนที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันของพระบุตรของพระเจ้า
สิ่งเหล่านี้ได้เติมจิตวิญญาณของท่านให้เต็มล้นด้วยความเลื่อมใสและความรัก
วันแล้ววันเล่า จิตใจของท่านถูกชักนำเข้าไปหาพระคริสต์
จนกระทั่งความรักที่ท่านมีเพื่อถวายพระอาจารย์ของท่านทำให้ท่านมองไม่เห็นตน
เอง
อารมณ์ขุ่นเคืองและทะเยอทะยานได้ยอมสยบต่ออำนาจแห่งการหล่อหลอมของพระ
คริสต์
อิทธิพลของการบังเกิดใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจของท่าน
ใหม่
อำนาจของความรักที่ท่านมีในพระคริสต์ได้กระทำให้อุปนิสัยเปลี่ยนแปลงไป
นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนเมื่อเราเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระเยซู
เมื่อพระคริสต์ทรงสถิตอยู่ในจิตใจ ธรรมชาติทั้งหมดก็จะเปลี่ยนแปลง
พระวิญญาณของพระคริสต์ ความรักของพระองค์ทำให้จิตใจอ่อนโยน
วิญญาณจิตสงบและยกระดับความคิดและความปรารถนาไปยังพระเจ้าและสวรรค์ {SC 73.1}
เมื่อ
พระคริสต์เสด็จกลับสวรรค์
ผู้ติดตามของพระองค์ยังคงรู้สึกว่าพระองค์ยังสถิตร่วมอยู่ด้วย
เป็นความรู้สึกของการทรงสถิตอยู่ด้วยแบบส่วนตัว
ซึ่งเต็มไปด้วยความรักและมีชีวิตชีวา
พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดผู้ได้ทรงดำเนิน สนทนา
และอธิษฐานร่วมกับพวกเขา
พระองค์ผู้ได้ทรงตรัสความหวังและปลอบประโลมจิตใจของพวกเขา
ในขณะที่ข่าวสารแห่งสันติสุขยังอยู่ที่ริมพระโอษฐ์นั้น
พระองค์ได้ถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์
พระสุรเสียงของพระองค์ดังกลับมาจากหมู่เมฆอันเป็นที่ประกอบด้วยเหล่าทูต
สวรรค์ที่กำลังรับพระองค์ขึ้นไปนั้นว่า “นี่แหละ เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:20)
พระองค์เสด็จขึ้นไปยังสวรรค์ด้วยพระวรกายของมนุษย์
พวกเขาทราบดีว่าพระองค์ที่ประทับอยู่เบื้องพระที่นั่งของพระเจ้ายังทรงเป็น
พระสหายและพระผู้ช่วยให้รอดของเขา พระเมตตาของพระองค์ไม่แปรเปลี่ยน
พระองค์ยังทรงมีส่วนร่วมกับมนุษยชาติที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก
พระองค์ทรงนำเสนออำนาจที่มีอยู่ในพระโลหิตประเสริฐต่อเบื้องพระพักตร์พระ
บิดาทรงแสดงให้เห็นบาดแผลที่พระหัตถ์และพระบาทของพระองค์
เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงราคาที่พระองค์ได้ทรงจ่ายเพื่อผู้ที่พระองค์ทรง
ไถ่ พวกเขาทราบดีว่าพระองค์ทรงเสด็จไปสวรรค์เพื่อเตรียมที่ให้พวกเขา
และพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกและรับพวกเขาให้ไปอยู่กับพระองค์ {SC 73.2}
เมื่อ
พวกเขาร่วมประชุมกันภายหลังจากที่พระองค์เสด็จกลับสวรรค์
พวกเขาร้อนรนเพื่อทูลขอต่อพระบิดาในนามของพระเยซู
พวกเขาก้มลงอธิษฐานด้วยความเกรงขามและจริงจัง
พวกเขาทบทวนคำสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดา
พระองค์จะประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่านในนามของเรา
แม้จนบัดนี้ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิด
แล้วจะได้เพื่อความชื่นชมยินดาของท่านจะมีเต็มเปี่ยม” (ยอห์น 16:23,24) พวกเขายื่นมือแห่งความเชื่อให้สูงขึ้นและสูงยิ่งขึ้นไป ด้วยข้อสรุปที่ยิ่งใหญ่ว่า “พระเยซูคริสต์.....ผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้วและยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิต
ณ
เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าและทรงอธิษฐานขอเพื่อเราทั้งหลายด้วย” (โรม 8:34) และในเทศกาลเพ็นเทคศเต
องค์พระผู้ช่วยก็ได้เสด็จมาอยู่ร่วมกับพวกเขาด้วย เป็นองค์พระผู้ช่วยที่พระคริสต์ทรงกล่าวถึงว่า “ทรงสถิตอยู่กับท่าน” และพระองค์ตรัสต่อไปอีกว่า “การ
ที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป
พระองค์ผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว
เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน” (ยอห์น 14:17; 16:7)
นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
พระคริสต์ก็ได้สถิตอยู่ร่วมในจิตใจของเหล่าบุตรทั้งหลายของพระองค์โดยทางพระ
วิญญาณอยู่ตลอดเวลา
การเข้าร่วมเป็นหนึ่งระหว่างพวกเขากับพระองค์ก็ใกล้ชิดยิ่งกว่าในสมัยที่
พระองค์ทรงอยู่ร่วมกับพวกเขา ความมีชีวิตชีวา
และความรักและอำนาจที่พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ร่วมกับพวกได้ส่องผ่านพวกเขาออก
มา เพื่อให้มนุษย์ที่มองเห็นพวกเขาจะ “ประหลาดใจแล้วสำนึกว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู” (กิจการของอัครทูต 4:13) {SC 74.1}
พระคริสต์ทรงเป็นทุกสิ่งของเหล่าสาวกทั้งหลาย ในทุกวันนี้
พระองค์ทรงปรารถนาที่จะเป็นทุกสิ่งของบรรดาบุตรของพระองค์ด้วย เพราะในคำอธิษฐานสุดท้ายร่วมกับสาวกกลุ่มเล็กๆ
ที่มาเข้าเฝ้าพระองค์นั้น
พระองค์ตรัสว่า “ข้าพระองค์มิได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อคนทั้งหลายที่วางใจในข้าพระองค์เพราะถ้อยคำของเขา” (ยอห์น 17:20) {SC 75.1}
พระ
เยซูอธิษฐานเผื่อเราและพระองค์ทรงเชิญชวนให้เราเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับ
พระองค์
เหมือนเช่นที่พระองค์ทรงเป็นหนึ่งร่วมกับพระบิดา
ช่างเป็นการเข้าร่วมเป็นหนึ่งที่ดีอะไรเช่นนี้
พระผู้ช่วยให้รอดทรงกล่าวถึงพระองค์เองว่า “พระบุตรจะกระทำสิ่งใดตามใจไม่ได้” “พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในเราได้ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์” (ยอห์น 5:19; 14:10)
เมื่อพระคริสต์ทรงร่วมสถิตอยู่ในจิตใจของเราแล้ว พระองค์จะทรงกระทำกิจอยู่ภายในเรา “ให้ท่านมีใจปรารถนาทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์” (ฟีลิปปี 2:13)
เราจะกระทำกิจเหมือนเช่นที่พระองค์ทรงทำ
เราจะแสดงออกด้วยวิญญาณจิตเดียวกัน
ด้วยประการฉะนี้ เราจะรักและเข้าสนิทกับพระองค์ เราจะ “เจริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์” (เอเฟซัส 4:15) {SC 75.2}
Visit us for more information http://www.greatesthope.com
http://www.adventist.or.th/
http://thaivop.com/
For more information, please contact
Alejandro at mienfield@yahoo.com
or contact
Thailand Adventist Mission
12 Soi Pridi Banomyong 37, Sukhumvit 71
Klongtan Nua, Wattana, Bangkok 10110
Telephone: 02-391-3595, 02-391-0525
Fax: 02-381-1928
Information:
P.O. Box 234 Prakanong Bangkok 10110 Thailand
E-mail: sdatam@adventist.or.th
VISIT ALSO
http://www.adventist.or.th/
http://thaivop.com/
No comments:
Post a Comment