Friday, May 18, 2012

อภิสิทธิ์ของการอธิษฐาน



เคล็ดลับที่ 11
อภิสิทธิ์ของการอธิษฐาน

                พระเจ้าตรัสกับเราโดยทางธรรมชาติและโดยทางพระคัมภีร์  โดยการทรงนำของพระองค์และโดยอิทธิพลของพระวิญญาณของพระองค์  แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่พอ  เราจำเป็นต้องเปิดจิตใจของเราออกให้แก่พระองค์  เราต้องมีการสื่อสัมพันธ์กับพระบิดาในสวรรค์ของเรา  เพื่อเราจะได้มีชีวิตและพละกำลังฝ่ายวิญญาณ  ความนึกคิดของเราจะต้องถูกดึงเข้าไปหาพระองค์  เราใคร่ครวญถึงพระราชกิจของพระองค์  หากเราต้องการสื่อสัมพันธ์อย่างสนิทสนมร่วมกับพระเจ้าแล้ว  เราจะต้องมีเรื่องราวในชีวิตของเราที่จะนำขึ้นทูลต่อพระองค์ได้  {SC 93.1}
                การ อธิษฐานเป็นการเปิดอกพูดคุยกับพระเจ้าเหมือนเราเปิดอกพูดกับเพื่อนฝูง  การอธิษฐานไม่ได้มีไว้เพื่อให้พระเจ้ารู้จักเรา  แต่มีไว้เพื่อให้เราต้อนรับพระองค์  การอธิษฐานไม่ได้นำพระเจ้าลงมาหาเรา  แต่นำเราขึ้นไปหาพระองค์  {SC 93.2}
                เมื่อ พระเยซูเสด็จมาอยู่ในโลกนั้น  พระองค์ทรงสอนสาวกวิธีอธิฐาน  พระองค์ทรงสอนให้พวกเขานำความต้องการของแต่ละวันทูลขอต่อเบื้องพระพักตร์พระ เจ้า  และมอบความกังวลใจทั้งหมดให้พระองค์  และพระองค์ทรงประทานความเชื่อมั่นให้แก่พวกเขาว่า  พระเจ้าจะสดับฟังคำทูลขอของพวกเขา  นี่เป็นความเชื่อมั่นที่ทรงโปรดประทานให้แก่พวกเราด้วย  {SC 93.3}
                ใน ขณะที่พระเยซูทรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์นั้น  พระองค์ทรงอธิษฐานอยู่เสมอ  พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงนำตัวของพระองค์เองให้เข้ามามีส่วนในความต้องการ และความอ่อนแอของเรา  พระองค์ทรงอ้อนวอน  ทรงทูลขอ  ทรงเสาะแสวงหาแหล่งกำลังที่สดใหม่จากพระบิดาเพื่อให้พระองค์พร้อมที่จะก้าว มารับหน้าที่และการทดลองได้  พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของเราในทุกเรื่อง  ทรงเป็นพี่ชายในความอ่อนแอของเรา  พระองค์  ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ  แต่ในสภาพของผู้ที่ปราศจากบาปนั้น  ธรรมชาติของพระองค์ทรงออกห่างไปจากความชั่ว  พระองค์ทรงอดทนกับการดิ้นรนและการทรมานของจิตวิญญาณในโลกแห่งความบาป  ในขณะที่พระองค์ทรงสภาพเป็นมนุษย์นั้น  การอธิษฐานเป็นเรื่องจำเป็นและเป็นอภิสิทธิ์ของพระองค์  พระองค์ได้รับการปลอบประโลมใจและความสุขจากการสื่อสัมพันธ์กับพระบิดา  และหากพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ผู้ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า  ทรงตระหนักถึงความจำเป็นของการอธิษฐานแล้ว  มนุษย์ที่บาปหนา  อ่อนแอจะต้องการการอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอและร้อนรนมากยิ่งกว่าเพียงไร  {SC 93.4}
                พระ บิดาในสวรรค์ของเราทรงรอคอยที่จะประทานพระพรอันไพบูลย์ของพระองค์ให้แก่เรา  เป็นสิทธิพิเศษของเราที่จะได้ดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งรักอันไร้พรมแดนได้อย่าง เต็มที่  เป็นเรื่องน่าประหลาดที่พวกเราอธิษฐานกันน้อยนัก  พระเจ้าทรงพร้อมและเต็มพระทัยที่จะสดับฟังคำอธิษฐานที่จริงใจของบุตรที่ต่ำ ต้อยที่สุดของพระองค์  แต่เราก็ยังแสดงออกถึงความไม่มั่นใจอยู่เสมอ  เมื่อเราทูลพระเจ้าถึงความขัดสนของเรา  ทูตสวรรค์เบื้องบนจะคิดอย่างไรกับมนุษย์ผู้น่าสงสารที่ตกอยู่ภายใต้การทดลอง และช่วยตัวเองไม่ได้เหล่านี้  ในขณะที่พระทัยที่กอปรด้วยรักอันไม่มีขอบเขตจำกัดของพระเจ้า  คอยตามหาพวกเขา  ทรงพร้อมที่จะประทานให้เขามากกว่าที่พวกเขาจะขอหรือคิดได้  แต่กระนั้นพวกเขาเหล่านั้นก็ยังอธิษฐานน้อยเกินไปและยังมีความเชื่อเพียง น้อยนิด  ทูตสวรรค์ชอบที่จะก้มกราบอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า  พวกเขาชอบที่จะอยู่ใกล้ชิดพระองค์  พวกเขาถือว่าการสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นความสุขสูงส่งที่สุด  แต่เหล่าบุตรมนุษย์โลกผู้ต้องการความช่วยเหลือมากมายที่พระเจ้าเท่านั้นจะ เป็นผู้ประทานให้ได้กลับดูเหมือนว่าพอใจที่จะเดินโดยไม่มีแสงสว่างของพระ วิญญาณบริสุทธิ์  พระผู้ทรงเป็นมิตรภาพของการร่วมสถิตของพระองค์  {SC 94.1}
                ความมืดมนของสิ่งชั่วร้ายล้อมอยู่รอบบรรดาคนเหล่านั้นที่ละเลยการอธิษฐาน  เสียงกระซิบการล่อลวงของศัตรูชักนำพวกเขาให้ทำบาป  และทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาไม่ใช้สิทธิที่พระเจ้าทรงประทานให้เพื่อนัดหมายกับพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน  เหตุไฉนบุตรชายและบุตรหญิงของพระเจ้าจึงลังเลใจที่จะอธิษฐาน  ในเมื่อการอธิษฐานคือกุญแจในมือของผู้เชื่อเพื่อไขขุมทรัพย์แห่งสวรรค์ซึ่งเป็นแหล่งสมบัติที่นับไม่ถ้วนของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่  เมื่อปราศจากการอธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อนและการเฝ้าระวังอย่างแข็งขัน  เราจะตกเข้าไปสู่ภัยอันตรายของการไม่ระมัดระวังมากขึ้นและเดินออกห่างไปจากทางที่ถูกต้อง  ศัตรูคอยหาวิธีอย่างต่อเนื่องที่จะขวางกั้นหนทางที่นำไปสู่พระที่นั่งพระกรุณาธิคุณเพื่อไม่ให้เราทูลขออย่างจริงใจ  และความเชื่อที่จะได้มาซึ่งพระคุณและกำลังที่จะต่อต้านการทดลองได้  {SC 94.2}
                มี เงื่อนไขอยู่บางประการที่ทำให้เราคาดหวังให้พระเจ้าสดับฟังและตอบคำอธิษฐาน ของเราได้  เงื่อนไขประการแรกสุดคือ  เราต้องรู้สึกถึงความต้องการที่จะให้พระองค์ทรงช่วย  พระองค์ทรงสัญญาว่า  เราจะเทน้ำลงบนแผ่นดินที่กระหายและลำธารลงบนดินแห้ง  (อิสยาห์ 443)  ผู้ที่หิวและกระหายความชอบธรรม  ผู้ที่แสวงหาพระเจ้า  เขาจะมั่นใจได้ว่า  จะได้รับการเติมให้เต็ม  เราจะต้องเปิดใจของเราออกรับอิทธิพลของพระวิญญาณ  ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะรับพระพรของพระเจ้าไม่ได้  {SC 95.1}
                ความต้องการยิ่งใหญ่ของเราเป็นทั้งคำสนับสนุนและคำอ้อนวอนอยู่ในตัวที่ไพเราะที่สุดเพื่อเป็นประโยชน์ให้แก่เรา  แต่เราจะต้องแสวงหาพระเจ้าเพื่อขอพระองค์กระทำสิ่งเหล่านี้ให้แก่เรา  พระองค์ทรงตรัสว่า  จงขอแล้วจะได้  และพระเจ้า  มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  แต่ทรงประทานบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา  ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลายด้วยกันกับพระบุตรหรือ  (มัทธิว 7:7; โรม 8:32)  {SC 95.2}
                หาก เราเก็บความชั่วไว้ในใจของเรา  หากเรายึดความบาปที่เรารู้อยู่แก่ใจไว้ในตัว  พระเจ้าจะไม่ทรงสดับฟังเรา  แต่คำอธิษฐานของจิตวิญญาณที่สำนึกผิดและเสียใจจะได้รับการยอมรับอยู่เสมอ  เมื่อเราทำสิ่งที่ผิดที่เรารู้แก่ใจนั้นให้ถูก  เราจะมั่นใจได้ว่าพระเจ้าจะทรงตอบคำทูลของเรา  เราไม่มีทางเสนอความดีของเราเพื่อทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยได้  แต่เป็นการกระทำของพระเยซูเพื่อเราที่จะช่วยให้เรารอด  พระโลหิตของพระองค์จะชำระเรา  แต่กระนั้นเรามีงานที่จะต้องทำเพื่อจะได้ทำตามเงื่อนไขของการยอมรับ  {SC 95.3}
                เงื่อนไขอีกข้อหนึ่งของการอธิษฐานที่มีชัยชนะคือความเชื่อ  แต่ ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว  จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าไม่ได้เลย  เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้นต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่  และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์  (ฮีบรู 11:6)  พระเยซูตรัสกับบรรดาสาวกของพระองค์ว่า  ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใดจงเชื่อว่าได้รับ  และท่านจะได้รับสิ่งนั้น  (มาระโก 11:24)  เราเชื่อตามที่พระองค์ตรัสไว้หรือไม่  {SC 96.1}
                คำ สัญญาที่พระเจ้าประทานให้ไว้นั้นเปิดกว้างและไม่มีขีดจำกัด  และพระผู้ทรงรักษาสัญญานั้นสัตย์ซื่อ  เมื่อเราไม่ได้รับสิ่งที่เราทูลขอในช่วงเวลาที่เราขอ  เราก็ยังต้องเชื่อว่าพระเจ้าทรงสดับฟังและพระองค์จะทรงตอบคำอธิษฐานของเรา  เราทำผิดและสายตาสั้น  จนบางครั้งเราทูลขอสิ่งที่ไม่เป็นพรแก่ตัวเราเอง  และพระบิดาในสวรรค์ของเราทรงตอบคำอธิษฐานของเราด้วยความรัก  โดยจะทรงประทานสิ่งที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่เรา  ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะปรารถนาถ้าหากเราสามารถมองเห็นสิ่งทั้งหมดตามสภาพที่ เป็นจริงด้วยสายตาที่พระเจ้าทรงประทานให้  เมื่อดูเสมือนหนึ่งว่าคำอธิษฐานของเราไม่ได้รับคำตอบ  เราก็ยังต้องยึดมั่นในพระสัญญา  เพราะเวลาที่เราจะได้รับคำตอบนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน  และเราจะได้รับพระพรที่เราต้องการมากที่สุด  แต่การอ้างว่า  เมื่อเราอธิษฐาน  เราจะได้รับคำตอบตามที่เราอยากให้เป็นและได้รับสิ่งของตามที่เราอยากได้อยู่ เสมอ  ความคิดเช่นนี้เป็นการคาดเดาทึกทักขึ้นเอาเอง  พระเจ้าทรงมีพระปัญญาล้ำเลิศเกินที่จะทำผิดและพระองค์ทรงความดีเกินไปที่จะ เก็บของดีใดๆ ไว้จากผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง  ดังนั้นจงอย่างกลัวที่จะวางใจในพระองค์  แม้ท่านจะมองไม่เห็นคำตอบของคำอธิษฐานทันที่  จงวางใจในพระสัญญาที่แน่นอนของพระองค์ว่า  จงขอแล้วจะได้  {SC 96.2}
                หาก เราทูลขอจากพระเจ้าด้วยความสงสัยและความกลัว  หรือหาทางแก้ปัญหาทุกเรื่องโดยที่เรามองเห็นไม่ชัดเจน  การทำโดยไม่มีความเชื่อเช่นนี้จะเพียงแต่เป็นการเพิ่มความกังวลให้มากขึ้น และรุนแรงขึ้นเท่านั้น  แต่หากเราเข้ามาหาพระเจ้าด้วยความรู้สึกว่าช่วยตนเองไม่ได้  และต้องการที่พึ่งซึ่งเป็นสภาพที่แท้จริงของเราและทูลขอสิ่งที่เราต้องการ ต่อพระองค์ผู้ทรงรอบรู้สารพัดสิ่ง  ทูลขอด้วยความเชื่อที่ถ่อมตนและวางใจ  พระองค์ผู้ทรงมองเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างและผู้ทรงปกครองทุกสิ่ง ตามพระประสงค์และพระวจนะของพระองค์  พระองค์ทรงสดับฟังคำร้องทูลของเราได้และจะทรงสดับฟังอยู่เสมอ  และจะทรงบันดาลให้แสงสว่างส่องเข้ามายังจิตใจของเรา  โดยการอธิษฐานที่จริงใจ  เราจะถูกชักนำให้เข้ามาเชื่อมต่อกับพระปัญญาของพระเจ้าได้  เราอาจจะไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพระพักตร์ของพระผู้ไถ่ทรงก้มลงมาอยู่ เหนือเราด้วยความเมตตาและความรัก  แต่แท้จริงก็เป็นเช่นนั้น  เราอาจไม่รู้สึกได้ถึงการสัมผัสของพระเจ้าที่สายตาของเราจะมองเห็นได้  แต่พระหัตถ์ของพระเจ้าทรงสัมผัสเราด้วยความรักและพระเมตตาที่เปี่ยมด้วยพระ เมตตาสงสารอันอ่อนโยน  {SC 96.3}
                เมื่อเราเข้ามาทูลขอความเมตตาและพระพรจากพระเจ้า  จิตใจของเราจะต้องมีวิญญาณแห่งความรักและการให้อภัย  เราจะอธิษฐานได้อย่างไรว่า  ขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์  และยังคงจมอยู่ในความรู้สึกของการไม่ให้อภัย  (มัทธิว 6:12)  หากเราหวังที่จะให้พระเจ้าสดับฟังคำอธิษฐานของเรา  เราจะต้องอภัยให้แก่ผู้อื่นด้วยท่าทีเดียวกันและในขนาดเดียวกันกับที่เรา หวังจะได้รับการอภัย  {SC 97.1}
                ความพากเพียรในการอธิษฐานเป็นเงื่อนไขหนึ่งของการได้รับคำตอบ  เราจะต้องอธิษฐานอยู่เสมอหากเราต้องการเติบใหญ่ขึ้นในความเชื่อและประสบการณ์  เราจะต้อง  ขะมักเขม้นอธิษฐาน  อธิษฐานอย่างต่อเนื่องเพื่อ  เฝ้าระวังอยู่ในการนั้นด้วยขอบพระคุณ  (โรม 12:12; โคโลสี 4:2)  เปโตรกำชับผู้เชื่อให้  สงบใจเพื่อแก่การอธิษฐาน  (1 เปโตร 4:7)  เปาโลชี้แนะว่า  จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า  ด้วยการอธิษฐาน  การวิงวอนกับการขอบพระคุณ  (ฟิลิปปี 4:6)  ยูดากล่าวว่า  ท่านที่รักทั้งหลาย.....จงอธิษฐานในพระวิญญาณ  จงรักษาตัวไว้ให้ดำรงในความรักของพระเจ้า  (ยูดา 20, 21)  การอธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อนเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์อย่างไม่ขาดสายระหว่างจิตวิญญาณกับพระเจ้าให้ต่อเนื่องตลอดเวลา  เพื่อให้ชีวิตของพระเจ้าไหลเข้ามายังชีวิตของเรา  และเพื่อความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตของเราจะไหลกลับคืนไปยังพระเจ้าได้  {SC 97.2}
                ความ หมั่นเพียรในการอธิษฐานเป็นสิ่งที่จำเป็น  จงอย่าให้สิ่งใดขัดขวางท่านไม่ให้อธิษฐาน  จงให้ความสามารถทุกอย่างที่มีอยู่เพื่อรักษาการติดต่อระหว่างวิญญาณจิตของ ท่านกับพระเยซูไว้  จงหาทุกโอกาสที่จะไปยังที่ๆ มีการอธิษฐาน  เราจะพบผู้ที่ต้องการสื่อกับพระเจ้าอย่างจริงจังได้ในการประชุมอธิษฐาน  เขาจะซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของเขา  และมีความจริงใจและร้อนใจที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทั้งหมดที่พวกเขาจะได้ รับ  เขาจะใช้ทุกโอกาสให้เป็นประโยชน์ที่จะนำตัวเขาเองให้เข้าไปอยู่ในสถานที่ๆ จะรับแสงสว่างจากสวรรค์ได้  {SC 98.1}
                เรา จะต้องอธิษฐานร่วมกันในครอบครัว  และเหนือสิ่งอื่นใด  เราจะต้องไม่ละเลยการอธิษฐานเป็นการส่วนตัว  เพราะนี่คือชีวิตของจิตวิญญาณ  จิตวิญญาณที่ละเลยการอธิษฐานจะไม่มีทางเจริญเติบใหญ่ขึ้นได้  การอธิษฐานในครอบครัวหรือในที่สาธารณะเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ  ขณะที่อยู่ตามลำพัง  จงเปิดจิตใจออกให้กับสายพระเนตรของพระเจ้าที่คอยตรวจสอบอยู่  การอธิษฐานส่วนตัวมีไว้เพื่อให้พระเจ้าสดับฟังเท่านั้น  หูของบรรดาผู้ที่อยากรู้อยากเห็นไม่ควรได้ยินภาระของการทูลอ้อนวอนเหล่านี้  ในขณะที่อธิษฐานเป็นการส่วนตัวนั้น  จิตวิญญาณจะได้รับอิสรภาพจากอิทธิพลที่อยู่รอบข้าง  หลุดพ้นจากความตื่นเต้นวุ่นวาย  คำอธิษฐานไปถึงพระเจ้าด้วยความสงบแต่ร้อนรน  อิทธิพลที่หวานชื่นและการทรงสถิตอยู่ด้วยจะไหลออกมาจากพระองค์ผู้ทรงทอดพระ เนตรในที่ลี้ลับ  พระกรรณของพระองค์เปิดออกที่จะสดับฟังคำอธิษฐานที่ออกมาจากจิตใจ  จิตวิญญาณจะยึดติดกับพระเจ้าด้วยความเชื่อที่สงบและเรียบง่าย  และจะได้รับแสงสว่างของพระเจ้ามาไว้กับตนเองเพื่อจะได้เข้มแข็งขึ้นและมั่น คงในการต่อสู้กับซาตาน  พระเจ้าทรงเป็นป้อมปราการแข็งแรงของเรา  {SC 98.2}
                จงอธิษฐานในห้องส่วนตัว  และในขณะทำงานประจำวัน  จงหมั่นหันจิตใจของท่านขึ้นไปหาพระเจ้าเสมอ  เอโนคทำเช่นนี้ในการดำเนินชีวิตร่วมกับพระเจ้า   คำอธิษฐานในใจเหล่านี้จะลอยขึ้นไปถึงพระบัลลังก์แห่งพระคุณเหมือนเช่นควัน หอมจากเครื่องเผาบูชาที่มีค่ายิ่ง  ผู้ที่มีจิตใจติดสนิทอยู่กับพระเจ้าเช่นนี้  ซาตานไม่อาจมีชัยเหนือเขาได้  {SC 98.3}
                ไม่ มีเวลาใดหรือสถานที่ใดที่ไม่เหมาะสำหรับการทูลขอต่อพระเจ้า  ไม่มีสิ่งใดที่จะขัดขวางวิญญาณแห่งการอธิษฐานที่จริงใจที่สามารถยกชูจิตใจ ของเราได้  ในท่ามกลางความแออัดของท้องถนน  ในท่ามกลางการทำธุรกิจ  เราส่งคำทูลขอของเราไปยังพระเจ้าและอ้อนวอนขอการทรงนำของพระองค์ได้  เหมือนเช่นเนฮะมีย์ทำในขณะที่ท่านกำลังทูลขอต่อกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส  เราจะหาห้องส่วนตัวเพื่อสื่อสารกับพระเจ้าได้ทุกที่  เราจะต้องเปิดประตูใจอยู่เสมอเพื่อคำทูลเชิญของเราจะขึ้นไปถึงพระเยซู  เพื่ออัญเชิญพระองค์ให้ลงมาและเป็นแขกรับเชิญจากสวรรค์เพื่อสถิตในจิตวิญญาณ ของเรา  {SC 99.1}
                แม้ ว่าบรรยากาศรอบตัวเราจะเต็มไปด้วยมลทินและความเลวร้าย  แต่เราไม่จำเป็นต้องหายใจเอาบรรยากาศที่เป็นพิษเหล่านี้  เรามีโอกาสดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ของสวรรค์ได้  เราปิดประตูทุกบานให้กับความนึกคิดที่ไม่สะอาดและไม่บริสุทธิ์  ด้วยการยกระดับจิตใจให้ขึ้นไปอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าโดยการอธิษฐาน ด้วยความจริงใจได้  ผู้ที่เปิดใจออกเพื่อรับการค้ำจุนและพระพรของพระเจ้าจะดำเนินชีวิตอยู่ใน บรรยากาศที่บริสุทธิ์กว่าบรรยากาศของโลก  และเขาจะสื่อสารกับสวรรค์อย่างสม่ำเสมอ  {SC 99.2}
                เรา จำเป็นต้องมีภาพของพระเยซูคริสต์ที่เด่นชัดมากยิ่งขึ้น  และเข้าใจในคุณค่าของความจริงอันนิรันดร์ได้บริบูรณ์ยิ่งขึ้น  ความงดงามของความบริสุทธิ์จะต้องเติมเต็มอยู่ในจิตใจของเหล่าบุตรของพระ เจ้า  และเพื่อที่จะทำให้เรื่องนี้สำเร็จได้  เราจะต้องขอให้พระเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งต่างๆ ของสวรรค์ให้แก่เรา  {SC 99.3}
                จง นำจิตวิญญาณของท่านออกมาและยกชูให้สูงขึ้น  เพื่อพระเจ้าจะทรงประทานบรรยากาศแห่งสวรรค์ให้เราหายใจ  เราจะต้องใกล้ชิดกับพระเจ้ามากจนกระทั่งเมื่อการทดลองทุกอันที่เราไม่คาดคิด เกิดขึ้น  ความคิดของเราจะหันไปหาพระองค์อย่างเป็นธรรมชาติ  เหมือนดอกไม้ที่หันหน้าเขาหาดวงอาทิตย์  {SC 99.4}
                จง นำความต้องการ  ความสุข  ความโศกเศร้า  ความกังวลและความกลัวของท่านมาต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า  ท่านไม่ได้ไปรบกวนพระองค์  ท่านไม่เคยทำให้พระองค์ทรงเบื่อหน่าย  พระองค์ผู้ทรงทราบจำนวนเส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่ทรงเพิกเฉยต่อความต้องการ ของเหล่าบุตรของพระองค์  องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาสักเท่าใด  (ยากอบ 5:11)  พระทัยแห่งรักของพระองค์รับรู้ถึงความโศกเศร้าของเราและแม้แต่คำพูดของเรา ที่พูดถึงเรื่องเหล่านั้นก็สัมผัสพระทัยของพระองค์  จงนำทุกสิ่งที่ทำให้ความนึกคิดของท่านวุ่นวายไปหาพระองค์  ไม่มีสิ่งใดใหญ่เกินไปที่พระองค์จะทรงแบกรับไว้ไม่ได้  เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ค้ำชูโลกไว้  พระองค์ทรงควบคุมเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจักรวาล  ไม่มีสิ่งใดในเรื่องเกี่ยวกับความสงบสุขของเราที่เล็กเกินไปจนพระองค์สังเกต ไม่เห็น  ไม่มีฉากหนึ่งใดในประสบการณ์ชีวิตของเราที่มืดมนเกินกว่าที่พระองค์จะทรง อ่านได้  ไม่มีความยุ่งเหยิงใดที่ยากเกินไปที่พระองค์จะทรงแก้ไขไม่ได้  ไม่มีภัยพิบัติใดจะเกิดขึ้นกับบุตรของพระองค์แม้เพียงผู้เล็กน้อยที่สุด  ไม่มีความกังวลใดจะมารังควานจิตวิญญาณไม่มีความสุขชื่นบานและไม่มีคำอธิษฐาน จริงใจใดที่หลุดออกจากริมฝีปากของเราโดยที่พระบิดาบนสวรรค์ของเราไม่ทรง สังเกตเห็น  หรือไม่ได้ทรงให้ความสนใจในทันที  พระองค์ทรงรักษาคนที่ชอกช้ำระกำใจ  และทรงพันผูกบาดแผลของเขา  (สดุดี 147:3)  ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าและจิตวิญญาณทุกดวงนั้นชัดเจนและบริบูรณ์  ราวกับว่าในโลกนี้ไม่มีจิตวิญญาณอื่นอีกแล้วที่จะมาแย่งความหวงหาของพระองค์  ราวกับพระองค์ไม่ได้ทรงประทานพระบุตรอันเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ให้แก่จิตวิญญาณอื่น  {SC 100.1}
                พระเยซูตรัสว่า  ท่านจะทูลขอในนามของเราและเราจะไม่บอกท่านว่าเราจะอ้อนวอนพระบิดาเพื่อท่าน  เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักท่านทั้งหลาย  เราได้เลือกท่านทั้งหลาย.....เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา  พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน  (ยอห์น 16:27, 28; 15:16)  แต่การจะอธิษฐานในนามของพระเยซูนั้นมีความหมายมากกว่าการเอ่ยพระนามของ พระองค์ในตอนต้นและตอนท้ายของการอธิษฐาน  เราจะต้องอธิษฐานด้วยความนึกคิดและด้วยวิญญาณของพระเยซู  ในขณะที่เราเชื่อพระสัญญาของพระองค์  จะพึ่งพิงในพระคุณของพระองค์และทำงานในพระราชกิจของพระองค์  {SC 100.2}
                พระ เจ้าไม่ทรงประสงค์ให้เราเป็นฤาษีหรือนักบวชและแยกตนเองออกไปจากโลกเพื่อ อุทิศตนเองอยู่กับการบูชากราบไหว้  ชีวิตของเราจะต้องเหมือนชีวิตของพระคริสต์  คือมีชีวิตอยู่ท่ามกลางภูเขาและฝูงชน  ผู้ที่ไม่ทำอะไรนอกจากอธิษฐานเพียงอย่างเดียว  ไม่ช้าไม่นานก็จะเลิกอธิษฐาน  หรือไม่เช่นนั้นคำอธิษฐานของเขาก็จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำ  เมื่อมนุษย์นำตัวเองออกไปจากสังคม  ออกไปจากขอบเขตหน้าที่ของคริสเตียนและการแบกกางเขน  เมื่อเขาเลิกที่จะทำงานอย่างจริงใจเพื่อถวายพระอาจารย์ผู้ทรงกระทำกิจอย่าง จริงใจเพื่อเขาทั้งหลาย  เขาก็จะสูญเสียหัวข้อในการอธิษฐานไป  และเขาจะไม่มีแรงจูงใจเพื่อการนมัสการ  คำอธิษฐานของเขาก็จะมีแต่เรื่องส่วนตัวและเห็นแก่ตัว  พวกเขาไม่อาจที่จะอธิษฐานเผื่อความขัดสนของมนุษยชาติหรือการเสริมสร้าง อาณาจักรของพระคริสต์โดยการทูลขอกำลังที่จะทำการต่อไป  {SC 101.1}
                เรา ต้องพบกับความสูญเสียเมื่อเราละเลยสิทธิของการเข้าสื่อสัมพันธ์ร่วมกันเพื่อ เสริมกำลังและให้กำลังใจซึ่งกันและกันในงานรับใช้พระเจ้า  ความจริงที่อยู่ในพระวจนะของพระเจ้าได้สูญเสียความชัดเจนและความสำคัญไปจาก ความนึกคิดของเรา  จิตใจของเราจะไม่ได้รับความกระจ่างและไม่มีอิทธิพลแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ มาปลุกให้ตื่นขึ้น  และจิตวิญญาณของเราก็จะถดถอยลงไป  การขาดความเห็นใจซึ่งกันและกันที่มีอยู่ในสังคมคริสเตียนของเรา  ทำให้เราสูญเสียไปมาก  ผู้ที่แยกตนเองออกไปก็ไม่ได้ทำหน้าที่ที่พระเจ้าทรงจัดวางให้เขา  การพัฒนาการทางสังคมที่เหมาะสมจะนำเราให้เห็นใจผู้อื่นและเป็นวิธีที่จะ พัฒนาและเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เราเพื่องานรับใช้พระเจ้า  {SC 101.2}
                หาก คริสเตียนจะสมาคมร่วมกัน  พูดคุยกันถึงเรื่องความรักของพระเจ้าและความจริงของการไถ่ให้รอดที่มีค่า ยิ่ง  จิตใจของเขาจะได้รับความสดชื่นและเขาจะนำความสดชื่นมาให้แก่กันและกัน  เราจะได้เรียนรู้ถึงพระบิดาในสวรรค์ของเรามากขึ้นทุกวัน  ได้รับประสบการณ์พระคุณของพระเจ้าที่สดใหม่  และเราจะปรารถนาที่จะพูดถึงความรักของพระองค์  และเมื่อเราทำเช่นนี้จิตใจของเราจะอบอุ่นและได้รับกำลังใจ  หากเราคิดและพูดเรื่องพระเยซูให้มากขึ้น  และพูดถึงตัวเองให้น้อยลง  พระเจ้าก็จะสถิตอยู่ร่วมกับเรามากยิ่งขึ้น  {SC 101.3}
                หาก เราเพียงแต่จะคิดถึงพระเจ้ามากเท่าๆ กับที่พระองค์ทรงมีต่อเราตามที่เรามีหลักฐานที่แสดงถึงความห่วงใยของ พระองค์  เราก็จะมีพระองค์อยู่ในความนึกคิดของเราเสมอ  และจะมีความสุขที่ได้สนทนาถึงเรื่องของพระองค์และสรรเสริญพระองค์  เราพูดถึงสิ่งของฝ่ายโลกเพราะเราสนใจในของเหล่านั้น  เราพูดถึงเพื่อนของเราเพราะเรารักเขา  ความสุขและความทุกข์ของเราถูกผูกมัดอยู่กับพวกเพื่อนเหล่านี้  แต่ถึงกระนั้น  เรามีเหตุผลยิ่งใหญ่อย่างไม่จำกัดที่จะรักพระเจ้ามากกว่าที่จะรักเพื่อนของ เราในโลกนี้  ควรจะต้องเป็นเรื่องปกติที่สุดในโลกที่เราจะให้พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในความ คิดทั้งหมดของเรา  ที่เราจะพูดถึงคุณความดีของพระองค์และบอกเล่าถึงอำนาจของพระองค์  ของประทานอันมีค่าที่พระองค์ทรงประทานให้เรานั้นไม่ได้มีไว้เพื่อกลืนความ คิดและความรักของเรา  จนเราไม่มีอะไรที่จะถวายพระเจ้าได้  ของประทานเหล่านี้จะต้องเตือนสติเราให้ระลึกถึงเรื่องพระองค์อยู่ตลอดเวลา และผูกเราเข้าด้วยสายใยแห่งความรักและการขอบพระคุณต่อพระผู้ทรงสถิตใน สวรรค์  ผู้ทรงประทานทุกสิ่งให้แก่เรา  เราอาศัยอยู่ใกล้พื้นราบของโลกมากเกินไป  จงลืมตาของเราขึ้นไปยังประตูของพระวิหารที่เปิดอยู่เบื้องบน  ที่ๆ แสงสว่างแห่งพระสิริของพระเจ้าส่องไปยังพระพักตร์ของพระคริสต์  พระองค์  ทรงสามารถเป็นนิตย์ที่จะช่วยคนทั้งปวงที่ได้เข้ามาถึงพระเจ้าโดยทางพระองค์  (ฮีบรู  7:25{SC 102.1}
                เราควรสรรเสริญพระเจ้าให้มากกว่านี้  เพราะความรักมั่นคงของพระองค์  เพราะการอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบุตรของมนุษย์  (สดุดี 107:8)  กิจกรรมในการนมัสการของเราไม่ควรจะมีแต่เรื่องการขอและการรับเท่านั้น  จงอย่าคิดถึงแต่เรื่องความต้องการของเราและอย่าคิดถึงผลประโยชน์ที่เราจะได้ รับ  เราไม่ได้อธิษฐานขอสิ่งใดมากเกินไป  แต่เราถวายการขอบคุณน้อยเกินไป  เราได้รับพระเมตตาคุณของพระเจ้าอยู่เสมอ  แต่เรากล่าวคำขอบคุณพระองค์น้อยมากเพียงไร  เราสรรเสริญพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้แก่เราน้อยเกินไปเพียงไร  {SC 102.2}
                ในอดีตกาล  พระเจ้าทรงบัญชาชนชาติอิสราเอลเมื่อเข้ามาประชุมร่วมกันเพื่องานรับใช้ของพระองค์ว่า  ท่านทั้งหลายจงรับประทานที่นั่นต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน  ทั้งท่านและครอบครัวของท่านจงปิติร่าเริงในบรรดากิจการซึ่งท่านได้กระทำนั้น  (เฉลยธรรมบัญญัติ 12:7)  สิ่งที่เราทำเพื่อถวายเกียรติพระเจ้านั้น  จะต้องทำด้วยความชื่นชมยินดี  ด้วยบทเพลงสรรเสริญและด้วยการขอบพระคุณ  ไม่ใช่ด้วยความเศร้าหรือความหมดหวัง  {SC 103.1}
                พระ เจ้าของเราเป็นพระบิดาผู้ทรงอ่อนโยนและเมตตา  เราจะต้องไม่มองว่างานรับใช้พระองค์เป็นกิจกรรมที่ทำให้จิตใจเศร้าสลดและน่า เบื่อหน่าย  การนมัสการพระเจ้าและการมีส่วนในพระราชกิจของพระองค์จะต้องเป็นเรื่องที่ให้ ความสุข  พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้บุตรทั้งหลายของพระองค์  ซี่งเป็นผู้ที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมความรอดยิ่งใหญ่ไว้ให้ต้องมาทำตัวราว กับว่าพระองค์ทรงเป็นนายงานที่เหี้ยมโหดและเข้มงวด  พระองค์ทรงเป็นพระสหายเลิศที่สุดของพวกเรา  และเมื่อพวกเขานมัสการพระองค์  พระองค์ทรงประสงค์ที่จะสถิตอยู่ร่วมด้วย  เพื่ออวยพระพรและปลอบประโลมเขา  เติมจิตใจของเขาให้เต็มล้นด้วยความสุขและความรัก  พระเจ้าทรงปรารถนาให้บุตรทั้งหลายมีความสุขสบายในงานรับใช้พระองค์  และพบความปิติยินดีมากกว่าความยากลำบากในพระราชกิจของพระองค์  พระองค์ทรงประสงค์ให้ผู้ที่เข้าร่วมนมัสการพระองค์ได้นำความคิดที่มีค่าของ เรื่องความห่วงใยและความรักของพระองค์ออกไป  เพื่อพวกเขาจะได้เป็นกำลังใจในงานทุกงานที่เขาต้องทำในชีวิต  เพื่อเขาจะมีพระคุณที่จะจัดการกับทุกเรื่องด้วยความเที่ยงตรงและสัตย์ซื่อ  {SC 103.2}
                เราจะต้องเข้ามาอยู่ใกล้กางเขน  พระคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงจะต้องเป็นเรื่องที่เราไตร่ตรอง  เป็นเรื่องที่เราสนทนาและเป็นเรื่องที่ให้ความสุขมากที่สุดของเรา  เราจะต้องระลึกอยู่เสมอถึงพระพรทุกอย่างที่เราได้รับจากพระเจ้า  และเมื่อเราตระหนักถึงความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์  เราจะต้องเต็มใจที่จะมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ที่ถูกตรึงบนกางเขนเพื่อเรา  {SC 103.3}
                จิต วิญญาณจะบินสูงขึ้นไปจนใกล้สวรรค์ด้วยปีกแห่งการสรรเสริญ  การนมัสการพระเจ้าที่บัลลังก์เบื้องบนจะทำได้ด้วยบทเพลงและเสียงดนตรี  และในขณะที่เรากล่าวคำขอบพระคุณ  เรากำลังเลียนแบบการนมัสการของเหล่าชาวสวรรค์  บุคคลที่นำการโมทนาพระคุณมาเป็นเครื่องสักการบูชา  ก็ให้เกียรติแก่  พระเจ้า  (สดุดี 50:23)  ให้เราเข้ามาหาพระผู้สร้างของเราด้วยความสุขอย่างยำเกรง  พร้อมกับ  การโมทนาและเสียงเพลง  (อิสยาห์ 51:3)  {SC 104.1}

Visit us for more information http://www.greatesthope.com

For more information, please contact 
Alejandro at mienfield@yahoo.com
or contact
Thailand Adventist Mission 
12 Soi Pridi Banomyong 37, Sukhumvit 71
Klongtan Nua, Wattana, Bangkok 10110
 
Telephone: 02-391-3595, 02-391-0525
Fax: 02-381-1928
 
Information:  
P.O. Box 234 Prakanong Bangkok 10110 Thailand
 

VISIT ALSO


http://www.adventist.or.th/

http://thaivop.com/

No comments: