เคล็ดลับที่ 12
จะทำอย่างไรกับความสงสัย
มีคนมากมายโดยเฉพาะผู้ที่เป็นคริสเตียนใหม่ที่บางครั้งจะรู้สึกเป็นทุกข์กับ
ความคิดที่ชวนให้สงสัย
มีหลายอย่างในพระคัมภีร์ที่พวกเขาอธิบายหรือเข้าใจไม่ได้
และซาตานใช้สิ่งเหล่านี้สั่นคลอนความเชื่อมั่นว่า
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า พวกเขาถามว่า
“เราจะทราบได้อย่างไรว่าทางนี้ถูกต้อง
หากพระคัมภีร์เป็นพระวจนะที่แท้จริงของพระเจ้าแล้วเราจะทำอย่างไรที่จะให้หลุดพ้นจากความสงสัยและความกังวลใจเหล่านี้ได้” {SC 105.1}
พระ
เจ้าไม่เคยขอให้เราเชื่อโดยไม่ได้ประทานหลักฐานอย่างเพียงพอให้แก่เราเพื่อ
ใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวความเชื่อ เรายอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า
พระลักษณะของพระองค์
ความสัตย์จริงที่มีอยู่ในพระวจนะของพระองค์ก็มีข้อพิสูจน์มากมายยืนยันต่อ
สามัญสำนึกของเรา
แต่กระนั้นพระเจ้าไม่เคยขวางกั้นความคิดของผู้ที่อยากสงสัย
ความเชื่อของเราจะต้องวางอยู่บนหลักฐานที่ชัดเจนไม่ใช่วางอยู่บนความรู้สึก
ผู้ที่อยากสงสัยจะมีเรื่องให้เขาสงสัยได้
ส่วนผู้ที่ต้องการรู้ความจริงอย่างจริงใจก็จะพบหลักฐานมากมายที่เขาจะใช้ยึด
ความเชื่อได้ {SC 105.2}
อัครทูตเปาโลอุทานว่า “โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้นล้ำลึกเท่าใด
ข้อตัดสินของพระองค์เหลือที่จะหยั่งรู้ได้และทางของพระองค์เหลือที่จะสืบเสาะได้” (โรม 1:33) แต่แม้
“เมฆและความมืดทึบอยู่รอบพระองค์ความชอบธรรมและความยุติธรรมเป็นรากฐานแห่งบัลลังก์ของพระองค์” (สดุดี 97:2)
เราพอจะเข้าใจวิธีที่พระเจ้าปฏิบัติต่อเราและพระประสงค์ที่หนุนอยู่เพื่อเรา
จะมองเห็นความรักและพระเมตตาคุณอันไร้ขอบเขตซึ่งเข้าร่วมกับอำนาจที่ไม่
จำกัดของพระเจ้า
เราพอจะเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าได้เท่าที่จะเป็นประโยชน์ให้เราได้รับ
รู้ และนอกเหนือจากนี้ไป
เรายังต้องวางใจในพระหัตถ์อันทรงพลานุภาพและพระหทัยที่เปี่ยมด้วยรักของ
พระองค์ {SC 106.1}
พระ
วจนะของพระเจ้ามีลักษณะเหมือนพระองค์ผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดพระวจนะนั้นเสนอ
ความล้ำลึกที่มนุษย์ผู้ต้องตายไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด
ความบาปที่เข้ามาในโลก การเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระคริสต์
การบังเกิดใหม่ การฟื้นคืนพระชนม์ และเรื่องอื่นๆ
อีกมากมายในพระคัมภีร์ที่ล้ำลึกเกินคำอธิบายของสมองมนุษย์หรือแม้ที่จะเข้า
ใจอย่างกระจ่างแจ้ง
แต่เราไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยพระวจนะของพระเจ้าเพียงเพราะเราไม่เข้าใจความ
ลึกล้ำในการทรงนำของพระองค์ ในโลกธรรมชาติ
มีเรื่องลึกลับมากมายล้อมอยู่รอบตัวเราที่เราเข้าใจไม่ได้
สิ่งมีชีวิตต่ำที่สุดก็ยังมีปัญหาที่นักปรัชญาฉลาดที่สุดหาคำอธิบายไม่ได้
ทุกแห่งทุกหนมีความลึกลับอัศจรรย์ที่เกินความเข้าใจของเรา
แล้วเราจะต้องแปลกใจด้วยหรือว่า
จะมีเรื่องลึกลับที่เราไม่อาจเข้าใจได้โลกของฝ่ายวิญญาณ
สาเหตุทั้งหมดที่เราไม่เข้าใจเกิดจากความอ่อนแอและความคับแคบของสติปัญญา
มนุษย์
พระเจ้าทรงประทานหลักฐานไว้มากพอในพระคัมภีร์ซึ่งกล่าวถึงพระลักษณะของ
พระองค์
และเราจะต้องไม่สงสัยพระวจนะของพระองค์เพียงเพราะเราทำความเข้าใจความลึกลับ
ทั้งหมดที่พระองค์ทรงโปรดประทานไว้ไม่ได้ {SC 106.2}
อัครทูตเปโตรกล่าวในพระคัมภีร์ว่า “มีบางข้อที่เข้าใจยาก ซึ่งคนทั้งหลายที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์
และมีใจไม่แน่นอนมั่นคงได้บิดเบือน.....อันเป็นเหตุให้ตนเองพินาศ” (2 เปโตร 3:16)
คนช่างสงสัยมักจะยกข้อพระคัมภีร์ที่เข้าใจยากมาเป็นข้ออ้างเพื่อโต้พระ
คัมภีร์ แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า
หากพระคัมภีร์ไม่ได้ประกอบด้วยเรื่องของพระเจ้า
แต่ประกอบด้วยเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย
หากสมองอันจำกัดเข้าใจความยิ่งใหญ่และพระอำนาจของพระเจ้าได้อย่างไม่ผิดพลาด
เรื่องยิ่งใหญ่และลึกลับที่มีอยู่ในพระคัมภีร์นั้นมีไว้เพื่อหนุนใจให้เกิด
ความเชื่อมั่นว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า {SC 107.1}
พระ
คัมภีร์เปิดเผยความจริงอย่างเรียบง่ายและปรับให้เข้ากับความต้องการและความ
ปรารถนาของจิตใจมนุษย์ได้อย่างดีเลิศ
สมองของผู้ที่ได้รับการพัฒนาถึงขั้นสูงสุดแล้วยังต้องตะลึงและชื่นชมในความ
จริงเหล่านี้
ในขณะที่คนต่ำต้อยและไร้การศึกษาก็ยังมองเห็นทางแห่งความรอดได้
และนอกเหนือจากนี้
ความจริงที่บันทึกไว้อย่างเรียบง่ายเหล่านี้ยังมีเนื้อหาที่สูงส่ง
มีแนวคิดที่กว้างไกลเกินความสามารถของมนุษย์จะเข้าใจได้
และเรารับความจริงเหล่านั้นได้เพราะพระเจ้าได้ทรงเปิดเผยให้เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้
แผนการแห่งความรอดจึงได้เปิดไว้ให้แก่เราเพื่อจิตวิญญาณทุกดวงจะได้มองเห็น
ทุกย่างก้าวในการดำเนินที่นำไปสู่การกลับใจไปหาพระเจ้าและในความเชื่อที่จะ
นำไปหาองค์พระเยซูคริสต์เพื่อจะได้รับความรอดในวิถีทางที่พระเจ้าทรงจัด
เตรียมไว้ แต่ถึงกระนั้น
ภายใต้ความจริงที่เข้าใจได้ง่ายเหล่านี้
ก็ยังมีความลึกลับที่ปิดซ่อนพระสิริของพระองค์อยู่
เป็นความลึกลับที่มีอำนาจเหนือความคิดในการศึกษาค้นคว้าของมนุษย์
แต่จะหนุนใจผู้แสวงหาความจริงด้วยความเคารพยำเกรงและความเชื่อ
เมื่อเขายิ่งค้นคว้าพระคัมภีร์มากขึ้นเท่าไร
เขาก็จะยิ่งมั่นใจว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
และเหตุผลของมนุษย์ก็จะกราบลงเบื้องหน้าความยิ่งใหญ่ในการเปิดเผยของพระ
เจ้า {SC 107.2}
การ
ยอมรับว่าเราเข้าใจความจริงยิ่งใหญ่ของพระคัมภีร์ทั้งหมดไม่ได้นั้นก็เพียง
แต่ยอมรับว่าสมองที่มีข้อจำกัดนั้นไม่อาจที่จะเข้าใจเรื่องอันไม่มีขอบเขต
ได้ด้วยมนุษย์ที่มีความรู้อันจำกัด
ไม่อาจเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าผู้ทรงสัพพัญญูได้ {SC 108.1}
กลุ่ม
คนช่างสงสัยและผู้ที่ไม่มีความเชื่อจะปฏิเสธพระวจนะของพระเจ้าเพราะว่าพวก
เขาหยั่งรู้ความล้ำลึกทั้งหมดที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ไม่ได้
และไม่ใช่ทุกคนที่ประกาศว่าตนเชื่อในพระคัมภีร์จะรอดพ้นจากภัยอันตรายใน
เรื่องนี้ อัครทูตกล่าวว่า “ดูก่อน
ท่านพี่น้องทั้งหลาย
จงระวังให้ดีเพื่อจะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดในพวกท่านมีใจชั่วและไม่เชื่อ
คือใจที่พาท่านหลงไปจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์” (ฮีบรู 3:12)
การใส่ใจศึกษาคำสอนของพระคัมภีร์และค้นหา
“ความล้ำลึกของพระเจ้า” เท่าที่เปิดเผยไว้ในพระคัมภีร์ เป็นสิ่งที่จะต้องทำ (1 โครินธ์ 2:10) ในขณะที่ “สิ่งลี้ลับทั้งปวงเป็นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย
แต่สิ่งทรงสำแดงนั้น.....เพื่อเราจะกระทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของกฎหมายนี้” (เฉลยธรรมบัญญัติ 29:29)
แต่งานของซาตานคือบิดเบือนความสามารถของสติปัญญาในการตรวจสอบ
ความหยิ่งเล็กน้อยระคนอยู่ในการพินิจพิจารณาความจริงของพระคัมภีร์ทำให้คน
รู้สึกหงุดหงิดและพ่ายแพ้เมื่ออธิบายพระคัมภีร์ทุกตอนจนเป็นที่พึงพอใจไม่
ได้
เป็นเรื่องน่าอับอายเหลือเกินที่จะยอมรับว่าเขาเข้าใจพระวจนะที่ได้รับการดล
ใจไม่ได้
พวกเขาไม่เต็มใจที่จะรอด้วยความอดทนจนพระเจ้าเห็นชอบที่จะเปิดเผยความจริง
ให้แก่เขา
พวกเขารู้สึกว่าสติปัญญาของเขาดีพอที่จะเข้าใจพระคัมภีร์ได้โดยไม่ต้องการ
ความช่วยเหลือและเมื่อเขาพลาดที่จะเข้าใจ
เขาก็แทบจะปฏิเสธแหล่งอำนาจของพระคัมภีร์จริงอยู่มีทฤษฎีและคำสอนมากมายที่
ยอมรับกันอย่างกว้างขวางโดยอนุมานว่ามาจากพระคัมภีร์นั้นเป็นคำสอนที่ไม่มี
รากฐานในพระคัมภีร์และยังขัดแย้งกับสิ่งที่ทรงดลใจทั้งหมดอย่างแท้จริง
สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้สมองของคนมากมายเกิดความสงสัยและไม่มั่นใจ
แต่อย่างไรก็ตาม
เป็นเรื่องที่จะโทษพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้
แต่เกิดจากการบิดเบือนของมนุษย์ต่างหาก {SC 108.2}
หาก
จะให้มนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างมานั้นเข้าใจพระเจ้าและพระราชกิจทั้งหลายของ
พระองค์ได้ทั้งหมดแล้ว เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว
มนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องค้นหาความจริงอีกต่อไป จะไม่ต้องเพิ่มพูนความรอบรู้
ไม่ต้องพัฒนาสติปัญญาหรือจิตใจ พระเจ้าไม่ทรงความเป็นใหญ่อีกต่อไป
และเมื่อมนุษย์ก้าวมาถึงจุดสูงสุดของความรู้และความสำเร็จ
มนุษย์ก็จะหยุดที่จะก้าวต่อไป
ให้เราขอบคุณพระเจ้าที่มนุษย์ไม่ได้เป็นเช่นนี้
พระเจ้าทรงไม่มีขอบเขตจำกัด “คลังสติปัญญาและความรู้ทุกอย่าง ทรงปิดซ่อนไว้ในพระองค์” (โคโลสี 2:3) และตลอดชั่วนิรรันดร์กาล มนุษย์จะค้นคว้าต่อไป
เรียนรู้ไปตลอดและจะไม่มีวันที่จะใช้ขุมทรัพย์แห่งพระปัญญา คุณความดีและอำนาจของพระองค์ได้หมด {SC 109.1}
พระ
เจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะเปิดเผยความจริงที่มีอยู่ในพระวจนะของพระองค์ให้
แก่ประชากรของพระองค์ มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่เราจะได้รับความรู้นี้
เราจะได้ความรู้ความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าผ่านทางการทำให้กระจ่างขึ้น
โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น พระวิญญาณทรงเป็นผู้ประทานพระวจนะนี้ “พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้
เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น” “เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า” (1 โครินธ์
2:11, 10)
และพระผู้ช่วยให้รอดทรงสัญญากับผู้ติดตามของพระองค์ว่า “เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว
พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล.....เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย” (ยอห์น 16:13, 14) {SC 109.2}
พระ
เจ้าทรงปรารถนาที่จะให้มนุษย์ฝึกฝนการใช้เหตุผล
และการศึกษาพระคัมภีร์จะทำให้สมองมีประสิทธิภาพดีขึ้นและสูงส่งขึ้นอย่างที่
ไม่มีการศึกษาอื่นใดสามารถทำได้
แต่เราจะต้องระมัดระวังการบูชาเหตุผลซึ่งเป็นจุดอ่อนและจุดบกพร่อง
ของมนุษยชาติ
หากเราไม่ต้องการให้ความเข้าใจของเราบดบังพระคัมภีร์จนเราเข้าใจความจริง
เรียบง่ายที่สุดไม่ได้
เราจะต้องมีความเรียบง่ายและความเชื่อเหมือนกับเด็กเล็กๆ
พร้อมที่จะเรียนรู้และวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
เมื่อเราตระหนักถึงอำนาจและพระปัญญาของพระเจ้าและความไม่สามารถของเราในการ
ที่จะเข้าใจความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแล้ว
เรื่องนี้จะต้องดลบันดาลเราให้ถ่อมใจลง
และเราจะต้องเปิดพระวจนะของพระองค์ด้วยความยำเกรงเช่นเดียวกับเวลาที่เรา
เข้าเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ เมื่อเราเข้ามาหาพระคัมภีร์
ความมีเหตุผลของเราจะต้องยอมรับอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าเหตุผล
และจิตใจรวมทั้งสติปัญญาจะต้องน้อมคำนับลงต่อพระเจ้าผู้ทรง “เป็นซึ่งเราเป็น” {SC 109.3}
มี
หลายสิ่งที่ดูว่ายากและคลุมเครือ
แต่พระเจ้าจะทรงประทานความกระจ่างและความเข้าใจให้แก่ผู้ที่แสวงหาความเข้า
ใจ ถ้าหากเราไม่ได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
เราจะเลี่ยงต่อการที่จะต้องปล้ำสู่กับพระคัมภีร์หรือแปลความหมายผิดได้ตลอด
เวลา
มีการอ่านพระคัมภีร์มากมายที่ไม่เกิดประโยชน์และในหลายๆ กรณีกลับส่งผลเสีย
เมื่อเราเปิดพระวจนะของพระเจ้าโดยปราศจากความรู้สึกยำเกรงและปราศจากการอธิษ
ฐาน
เมื่อความนึกคิดและความรู้สึกของเราไม่ได้ติดสนิทอยู่กับพระเจ้า
หรือประสานเข้ากับน้ำพระทัยของพระองค์
เมื่อนั้นความนึกคิดของเราจะถูกครอบงำด้วยความสงสัยและการศึกษาพระคัมภีร์ใน
สภาพเช่นนี้จะทำให้ความสงสัยมีอำนาจมากขึ้นศัตรูจะเข้าควบคุมความคิด
และมันจะเสนอคำแปลที่มีความหมายไม่ถูกต้อง
เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ไม่ได้แสวงหาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า
ทั้งในพระธรรมและการกระทำแล้ว ไม่ว่าเขาจะเรียนมามากเพียงไร
เขาก็อาจจะเข้าใจพระคัมภีร์ผิดได้
และการวางใจในคำอธิบายของเขาก็เป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัย
ผู้ที่มองเห็นความขัดแย้งในพระคัมภีร์
ก็เป็นผู้ที่ไม่มีสายตาทางฝ่ายวิญญาณ เนื่องจากสายตาของพวกเขาผิดเพี้ยน
พวกเขาจึงมองสิ่งที่เรียบง่ายและชัดเจนกลายเป็นสิ่งที่สร้างความสงสัยและ
ความไม่เชื่อให้แก่เขา {SC 110.1}
ใน
แทบทุกกรณีไม่ว่าจะมีการอำพรางกันอย่างไรก็ตาม
ความรักในบาปคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดความสงสัยและความแคลงใจ
จิตใจที่หยิ่งยโสและรักบาปจะไม่ยินดีรับฟังคำสอนและข้อห้ามต่างๆ
ที่มีอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า
และผู้ที่ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ก็พร้อมที่จะสงสัยอำนาจ
ของพระวจนะ การที่จะเข้าถึงความจริงได้นั้น
เราจะต้องมีความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะเรียนรู้ความจริงและมีความเต็มใจที่
จะปฏิบัติตามและทุกคนที่เข้ามาศึกษาพระคัมภีร์ด้วยวิญญาณจิตเช่นนี้
จะพบหลักฐานมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า
และเขาก็จะเข้าใจความจริงที่ให้เขา “ได้ปัญญาถึงความรอด” (2 ทิโมธี 3:15
TKJV) {SC 111.1}
พระคริสต์ตรัสว่า “ถ้าผู้ใดตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้นั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนั้นมาจากพระเจ้า” (ยอห์น 7:17)
แทนที่จะคอยตั้งข้อสงสัยและคอยจับผิดสิ่งที่ท่านไม่เข้าใจ
ขอให้ท่านใส่ใจกับแสงสว่างที่ส่องมาถึงตัวของท่าน
แล้วท่านจะได้รับแสงที่สว่างมากยิ่งขึ้น โดยพระคุณของพระคริสต์
จงประกอบหน้าที่ทุกๆ
หน้าที่ที่เปิดให้กับความเข้าใจอย่างถ่องแท้ของท่านแล้วท่านก็จะเข้าใจและทำ
ในส่วนที่ท่านยังสงสัยอยู่ในเวลานี้ {SC 111.2}
มีอยู่หลักฐานหนึ่งที่เปิดให้กับทุกคน
ทั้งแก่ผู้ที่มีการศึกษาสูงที่สุดและผู้ที่ไม่มีการศึกษาเลย นั่นคือ
หลักฐานของประสบการณ์
พระเจ้าทรงเชิญชวนเราให้พิสูจน์ความจริงในพระวจนะของพระองค์ด้วยตัวของเราเอง
พิสูจน์ความจริงในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ พระองค์ทรงเชิญชวนเราให้ “ชิมดูแล้วจะเห็นว่าพระเจ้าประเสริฐ” (สดุดี 34:8)
แทนที่จะวางใจในคำพูดของผู้อื่นเราจะต้องทดสอบด้วยตัวเราเอง พระองค์ทรงประกาศว่า “จงขอแล้วจะได้” (ยอห์น 16:24)
ก็จะเป็นไปตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้
พระสัญญาของพระเจ้าไม่เคยล้มเหลวและไม่มีทางที่จะล้มเหลวและเมื่อเราเข้ามาใกล้พระเยซูและชื่นชมกับความรักอันไพบูลย์ของพระองค์แล้ว
ความสงสัยและความมืดมนจะหายสาบสูญไปในความสว่างแห่งการทรงร่วมสถิตอยู่ของพระองค์ {SC 111.2}
อัครทูตเปาโลกล่าวว่า พระเจ้า
“ทรงช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของความมืด และได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในแผ่นดินแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์” (โคโลสี 1:13)
และทุกคนที่ก้าวออกจากความตายไปสู่ชีวิตจะ
“ประทับตราลงว่าพระเจ้าสัตย์จริง” (ยอห์น 3:33) เขาก็จะเป็นพยานว่า ”ข้าพเจ้า
ต้องการความช่วยเหลือและข้าพเจ้าก็พบการช่วยเหลือนั้นในองค์พระเยซู
ความต้องการในทุกสิ่งก็ได้รับการเติมเต็ม
จิตวิญญาณที่หิวกระหายก็ได้รับความเต็มอิ่มและบัดนี้
พระคัมภีร์ก็เป็นหนังสือที่เปิดเผยเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ให้แก่
ข้าพเจ้า ท่านอาจถามว่า
ทำไมข้าพเจ้าจึงเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์
ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าส่งมาให้แก่ข้าพเจ้า
แล้วทำไมข้าพเจ้าจงเชื่อในพระคัมภีร์ ก็เพราะข้าพเจ้าได้พบว่า
พระคัมภีร์เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับจิตวิญญาณของข้าพเจ้า”
เราจะเป็นพยานให้กับตัวของเราเองว่า
สิ่งต่างๆ ในพระคัมภีร์เป็นความจริง
พระคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
เรามั่นใจได้ว่า
เราไม่ได้ติดตามนวนิยายที่ถูกแต่งขึ้นด้วยความเจ้าเล่ห์ {SC 112.1}
เปโตร สนับสนุนพี่น้องของท่านให้ “เจริญขึ้นในพระคุณและในความรู้ซึ่งมากจากพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา” (2 เปโตร 3:18)
เมื่อประชากรของพระเจ้าเติบโตขึ้นในพระคุณ
พวกเขาก็จะเข้าใจพระวจนะของพระองค์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
พวกเขาจะมองเห็นความจริงศักดิ์สิทธิ์ด้วยแสงสว่างและความงดงามใหม่
สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์คริสตจักรตลอดทุกยุคสมัย
และจะเป็นเช่นนี้จนถึงสินยุค “วิถีของคนชอบธรรมเหมือนแสงอรุณซึ่งฉายสุกใสยิ่งขึ้นๆ
จนเต็มวัน” (สุภาษิต
4:18) {SC 112.2}
โดย
ความเชื่อเราจะมองไปยังภาคหน้าและยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้าซึ่งจะทำให้
เราเติบใหญ่ขึ้นทางปัญญา เมื่อความสามารถของมนุษย์ประสานเข้ากับพระเจ้า
และพลังอำนาจทั้งหมดของจิตวิญญาณถูกนำให้เข้ามาสัมผัสโดยตรงกับพระเจ้า
ผู้ทรงเป็นแหล่งของความสว่าง หลังจากนั้นเราได้รับการทำให้กระจ่างแจ้ง
สิ่งต่างๆ ที่เข้าใจยากก็จะมีคำอธิบาย
และสิ่งที่สมองอันมีขอบเขตจำกัดของเรามองเห็นแต่เพียงความมุ่งหมายที่สับสน
และแตกแยกนั้น
เราก็จะมองเห็นความกลมกลืนที่สมบูรณ์แบบและสวยงามที่สุด “เพราะบัดนี้เราเห็นสลัวๆ
เหมือนดูในกระจกเงา
แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน
เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์
เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า” (1 โครินธ์
13:12) {SC 112.3}
Visit us for more information http://www.greatesthope.com
http://www.adventist.or.th/
http://thaivop.com/
For more information, please contact
Alejandro at mienfield@yahoo.com
or contact
Thailand Adventist Mission
12 Soi Pridi Banomyong 37, Sukhumvit 71
Klongtan Nua, Wattana, Bangkok 10110
Telephone: 02-391-3595, 02-391-0525
Fax: 02-381-1928
Information:
P.O. Box 234 Prakanong Bangkok 10110 Thailand
E-mail: sdatam@adventist.or.th
VISIT ALSO
http://www.adventist.or.th/
http://thaivop.com/
No comments:
Post a Comment