Friday, May 18, 2012

จะทำอย่างไรกับความสงสัย




เคล็ดลับที่ 12
จะทำอย่างไรกับความสงสัย

                มีคนมากมายโดยเฉพาะผู้ที่เป็นคริสเตียนใหม่ที่บางครั้งจะรู้สึกเป็นทุกข์กับ ความคิดที่ชวนให้สงสัย  มีหลายอย่างในพระคัมภีร์ที่พวกเขาอธิบายหรือเข้าใจไม่ได้  และซาตานใช้สิ่งเหล่านี้สั่นคลอนความเชื่อมั่นว่า  พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า  พวกเขาถามว่า  เราจะทราบได้อย่างไรว่าทางนี้ถูกต้อง หากพระคัมภีร์เป็นพระวจนะที่แท้จริงของพระเจ้าแล้วเราจะทำอย่างไรที่จะให้หลุดพ้นจากความสงสัยและความกังวลใจเหล่านี้ได้  {SC 105.1}
                พระ เจ้าไม่เคยขอให้เราเชื่อโดยไม่ได้ประทานหลักฐานอย่างเพียงพอให้แก่เราเพื่อ ใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวความเชื่อ  เรายอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า  พระลักษณะของพระองค์  ความสัตย์จริงที่มีอยู่ในพระวจนะของพระองค์ก็มีข้อพิสูจน์มากมายยืนยันต่อ สามัญสำนึกของเรา  แต่กระนั้นพระเจ้าไม่เคยขวางกั้นความคิดของผู้ที่อยากสงสัย  ความเชื่อของเราจะต้องวางอยู่บนหลักฐานที่ชัดเจนไม่ใช่วางอยู่บนความรู้สึก  ผู้ที่อยากสงสัยจะมีเรื่องให้เขาสงสัยได้  ส่วนผู้ที่ต้องการรู้ความจริงอย่างจริงใจก็จะพบหลักฐานมากมายที่เขาจะใช้ยึด ความเชื่อได้  {SC 105.2}
                อัครทูตเปาโลอุทานว่า  โอ  พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้นล้ำลึกเท่าใด  ข้อตัดสินของพระองค์เหลือที่จะหยั่งรู้ได้และทางของพระองค์เหลือที่จะสืบเสาะได้  (โรม 1:33)  แต่แม้  เมฆและความมืดทึบอยู่รอบพระองค์ความชอบธรรมและความยุติธรรมเป็นรากฐานแห่งบัลลังก์ของพระองค์  (สดุดี 97:2)  เราพอจะเข้าใจวิธีที่พระเจ้าปฏิบัติต่อเราและพระประสงค์ที่หนุนอยู่เพื่อเรา จะมองเห็นความรักและพระเมตตาคุณอันไร้ขอบเขตซึ่งเข้าร่วมกับอำนาจที่ไม่ จำกัดของพระเจ้า  เราพอจะเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าได้เท่าที่จะเป็นประโยชน์ให้เราได้รับ รู้  และนอกเหนือจากนี้ไป  เรายังต้องวางใจในพระหัตถ์อันทรงพลานุภาพและพระหทัยที่เปี่ยมด้วยรักของ พระองค์  {SC 106.1}
                พระ วจนะของพระเจ้ามีลักษณะเหมือนพระองค์ผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดพระวจนะนั้นเสนอ ความล้ำลึกที่มนุษย์ผู้ต้องตายไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด  ความบาปที่เข้ามาในโลก  การเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระคริสต์  การบังเกิดใหม่  การฟื้นคืนพระชนม์  และเรื่องอื่นๆ อีกมากมายในพระคัมภีร์ที่ล้ำลึกเกินคำอธิบายของสมองมนุษย์หรือแม้ที่จะเข้า ใจอย่างกระจ่างแจ้ง  แต่เราไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยพระวจนะของพระเจ้าเพียงเพราะเราไม่เข้าใจความ ลึกล้ำในการทรงนำของพระองค์  ในโลกธรรมชาติ  มีเรื่องลึกลับมากมายล้อมอยู่รอบตัวเราที่เราเข้าใจไม่ได้  สิ่งมีชีวิตต่ำที่สุดก็ยังมีปัญหาที่นักปรัชญาฉลาดที่สุดหาคำอธิบายไม่ได้  ทุกแห่งทุกหนมีความลึกลับอัศจรรย์ที่เกินความเข้าใจของเรา  แล้วเราจะต้องแปลกใจด้วยหรือว่า  จะมีเรื่องลึกลับที่เราไม่อาจเข้าใจได้โลกของฝ่ายวิญญาณ  สาเหตุทั้งหมดที่เราไม่เข้าใจเกิดจากความอ่อนแอและความคับแคบของสติปัญญา มนุษย์  พระเจ้าทรงประทานหลักฐานไว้มากพอในพระคัมภีร์ซึ่งกล่าวถึงพระลักษณะของ พระองค์  และเราจะต้องไม่สงสัยพระวจนะของพระองค์เพียงเพราะเราทำความเข้าใจความลึกลับ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงโปรดประทานไว้ไม่ได้  {SC 106.2}
                อัครทูตเปโตรกล่าวในพระคัมภีร์ว่า  มีบางข้อที่เข้าใจยาก  ซึ่งคนทั้งหลายที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์  และมีใจไม่แน่นอนมั่นคงได้บิดเบือน.....อันเป็นเหตุให้ตนเองพินาศ  (2 เปโตร 3:16)  คนช่างสงสัยมักจะยกข้อพระคัมภีร์ที่เข้าใจยากมาเป็นข้ออ้างเพื่อโต้พระ คัมภีร์  แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย  มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า  หากพระคัมภีร์ไม่ได้ประกอบด้วยเรื่องของพระเจ้า  แต่ประกอบด้วยเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย  หากสมองอันจำกัดเข้าใจความยิ่งใหญ่และพระอำนาจของพระเจ้าได้อย่างไม่ผิดพลาด เรื่องยิ่งใหญ่และลึกลับที่มีอยู่ในพระคัมภีร์นั้นมีไว้เพื่อหนุนใจให้เกิด ความเชื่อมั่นว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า  {SC 107.1}
                พระ คัมภีร์เปิดเผยความจริงอย่างเรียบง่ายและปรับให้เข้ากับความต้องการและความ ปรารถนาของจิตใจมนุษย์ได้อย่างดีเลิศ  สมองของผู้ที่ได้รับการพัฒนาถึงขั้นสูงสุดแล้วยังต้องตะลึงและชื่นชมในความ จริงเหล่านี้  ในขณะที่คนต่ำต้อยและไร้การศึกษาก็ยังมองเห็นทางแห่งความรอดได้  และนอกเหนือจากนี้  ความจริงที่บันทึกไว้อย่างเรียบง่ายเหล่านี้ยังมีเนื้อหาที่สูงส่ง  มีแนวคิดที่กว้างไกลเกินความสามารถของมนุษย์จะเข้าใจได้  และเรารับความจริงเหล่านั้นได้เพราะพระเจ้าได้ทรงเปิดเผยให้เท่านั้น  ด้วยเหตุนี้  แผนการแห่งความรอดจึงได้เปิดไว้ให้แก่เราเพื่อจิตวิญญาณทุกดวงจะได้มองเห็น ทุกย่างก้าวในการดำเนินที่นำไปสู่การกลับใจไปหาพระเจ้าและในความเชื่อที่จะ นำไปหาองค์พระเยซูคริสต์เพื่อจะได้รับความรอดในวิถีทางที่พระเจ้าทรงจัด เตรียมไว้  แต่ถึงกระนั้น  ภายใต้ความจริงที่เข้าใจได้ง่ายเหล่านี้  ก็ยังมีความลึกลับที่ปิดซ่อนพระสิริของพระองค์อยู่  เป็นความลึกลับที่มีอำนาจเหนือความคิดในการศึกษาค้นคว้าของมนุษย์  แต่จะหนุนใจผู้แสวงหาความจริงด้วยความเคารพยำเกรงและความเชื่อ  เมื่อเขายิ่งค้นคว้าพระคัมภีร์มากขึ้นเท่าไร  เขาก็จะยิ่งมั่นใจว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์  และเหตุผลของมนุษย์ก็จะกราบลงเบื้องหน้าความยิ่งใหญ่ในการเปิดเผยของพระ เจ้า  {SC 107.2}
                การ ยอมรับว่าเราเข้าใจความจริงยิ่งใหญ่ของพระคัมภีร์ทั้งหมดไม่ได้นั้นก็เพียง แต่ยอมรับว่าสมองที่มีข้อจำกัดนั้นไม่อาจที่จะเข้าใจเรื่องอันไม่มีขอบเขต ได้ด้วยมนุษย์ที่มีความรู้อันจำกัด  ไม่อาจเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าผู้ทรงสัพพัญญูได้  {SC 108.1}
                กลุ่ม คนช่างสงสัยและผู้ที่ไม่มีความเชื่อจะปฏิเสธพระวจนะของพระเจ้าเพราะว่าพวก เขาหยั่งรู้ความล้ำลึกทั้งหมดที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ไม่ได้  และไม่ใช่ทุกคนที่ประกาศว่าตนเชื่อในพระคัมภีร์จะรอดพ้นจากภัยอันตรายใน เรื่องนี้  อัครทูตกล่าวว่า  ดูก่อน  ท่านพี่น้องทั้งหลาย  จงระวังให้ดีเพื่อจะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดในพวกท่านมีใจชั่วและไม่เชื่อ  คือใจที่พาท่านหลงไปจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์  (ฮีบรู 3:12)  การใส่ใจศึกษาคำสอนของพระคัมภีร์และค้นหา  ความล้ำลึกของพระเจ้า  เท่าที่เปิดเผยไว้ในพระคัมภีร์  เป็นสิ่งที่จะต้องทำ  (1 โครินธ์ 2:10)  ในขณะที่  สิ่งลี้ลับทั้งปวงเป็นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย  แต่สิ่งทรงสำแดงนั้น.....เพื่อเราจะกระทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของกฎหมายนี้  (เฉลยธรรมบัญญัติ 29:29)  แต่งานของซาตานคือบิดเบือนความสามารถของสติปัญญาในการตรวจสอบ  ความหยิ่งเล็กน้อยระคนอยู่ในการพินิจพิจารณาความจริงของพระคัมภีร์ทำให้คน รู้สึกหงุดหงิดและพ่ายแพ้เมื่ออธิบายพระคัมภีร์ทุกตอนจนเป็นที่พึงพอใจไม่ ได้  เป็นเรื่องน่าอับอายเหลือเกินที่จะยอมรับว่าเขาเข้าใจพระวจนะที่ได้รับการดล ใจไม่ได้  พวกเขาไม่เต็มใจที่จะรอด้วยความอดทนจนพระเจ้าเห็นชอบที่จะเปิดเผยความจริง ให้แก่เขา  พวกเขารู้สึกว่าสติปัญญาของเขาดีพอที่จะเข้าใจพระคัมภีร์ได้โดยไม่ต้องการ ความช่วยเหลือและเมื่อเขาพลาดที่จะเข้าใจ  เขาก็แทบจะปฏิเสธแหล่งอำนาจของพระคัมภีร์จริงอยู่มีทฤษฎีและคำสอนมากมายที่ ยอมรับกันอย่างกว้างขวางโดยอนุมานว่ามาจากพระคัมภีร์นั้นเป็นคำสอนที่ไม่มี รากฐานในพระคัมภีร์และยังขัดแย้งกับสิ่งที่ทรงดลใจทั้งหมดอย่างแท้จริง  สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้สมองของคนมากมายเกิดความสงสัยและไม่มั่นใจ  แต่อย่างไรก็ตาม  เป็นเรื่องที่จะโทษพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้  แต่เกิดจากการบิดเบือนของมนุษย์ต่างหาก  {SC 108.2}
                หาก จะให้มนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างมานั้นเข้าใจพระเจ้าและพระราชกิจทั้งหลายของ พระองค์ได้ทั้งหมดแล้ว  เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว  มนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องค้นหาความจริงอีกต่อไป  จะไม่ต้องเพิ่มพูนความรอบรู้  ไม่ต้องพัฒนาสติปัญญาหรือจิตใจ  พระเจ้าไม่ทรงความเป็นใหญ่อีกต่อไป  และเมื่อมนุษย์ก้าวมาถึงจุดสูงสุดของความรู้และความสำเร็จ  มนุษย์ก็จะหยุดที่จะก้าวต่อไป  ให้เราขอบคุณพระเจ้าที่มนุษย์ไม่ได้เป็นเช่นนี้  พระเจ้าทรงไม่มีขอบเขตจำกัด  คลังสติปัญญาและความรู้ทุกอย่าง  ทรงปิดซ่อนไว้ในพระองค์  (โคโลสี 2:3)  และตลอดชั่วนิรรันดร์กาล  มนุษย์จะค้นคว้าต่อไป  เรียนรู้ไปตลอดและจะไม่มีวันที่จะใช้ขุมทรัพย์แห่งพระปัญญา  คุณความดีและอำนาจของพระองค์ได้หมด  {SC 109.1}
                พระ เจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะเปิดเผยความจริงที่มีอยู่ในพระวจนะของพระองค์ให้ แก่ประชากรของพระองค์  มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่เราจะได้รับความรู้นี้  เราจะได้ความรู้ความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าผ่านทางการทำให้กระจ่างขึ้น โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น  พระวิญญาณทรงเป็นผู้ประทานพระวจนะนี้  พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น  เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า  (1 โครินธ์ 2:11, 10)  และพระผู้ช่วยให้รอดทรงสัญญากับผู้ติดตามของพระองค์ว่า  เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว  พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล.....เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย  (ยอห์น 16:13, 14)  {SC 109.2}
                พระ เจ้าทรงปรารถนาที่จะให้มนุษย์ฝึกฝนการใช้เหตุผล  และการศึกษาพระคัมภีร์จะทำให้สมองมีประสิทธิภาพดีขึ้นและสูงส่งขึ้นอย่างที่ ไม่มีการศึกษาอื่นใดสามารถทำได้  แต่เราจะต้องระมัดระวังการบูชาเหตุผลซึ่งเป็นจุดอ่อนและจุดบกพร่อง ของมนุษยชาติ  หากเราไม่ต้องการให้ความเข้าใจของเราบดบังพระคัมภีร์จนเราเข้าใจความจริง เรียบง่ายที่สุดไม่ได้  เราจะต้องมีความเรียบง่ายและความเชื่อเหมือนกับเด็กเล็กๆ พร้อมที่จะเรียนรู้และวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  เมื่อเราตระหนักถึงอำนาจและพระปัญญาของพระเจ้าและความไม่สามารถของเราในการ ที่จะเข้าใจความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแล้ว  เรื่องนี้จะต้องดลบันดาลเราให้ถ่อมใจลง  และเราจะต้องเปิดพระวจนะของพระองค์ด้วยความยำเกรงเช่นเดียวกับเวลาที่เรา เข้าเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์  เมื่อเราเข้ามาหาพระคัมภีร์  ความมีเหตุผลของเราจะต้องยอมรับอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าเหตุผล  และจิตใจรวมทั้งสติปัญญาจะต้องน้อมคำนับลงต่อพระเจ้าผู้ทรง  เป็นซึ่งเราเป็น  {SC 109.3}
                มี หลายสิ่งที่ดูว่ายากและคลุมเครือ  แต่พระเจ้าจะทรงประทานความกระจ่างและความเข้าใจให้แก่ผู้ที่แสวงหาความเข้า ใจ  ถ้าหากเราไม่ได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  เราจะเลี่ยงต่อการที่จะต้องปล้ำสู่กับพระคัมภีร์หรือแปลความหมายผิดได้ตลอด เวลา  มีการอ่านพระคัมภีร์มากมายที่ไม่เกิดประโยชน์และในหลายๆ กรณีกลับส่งผลเสีย  เมื่อเราเปิดพระวจนะของพระเจ้าโดยปราศจากความรู้สึกยำเกรงและปราศจากการอธิษ ฐาน  เมื่อความนึกคิดและความรู้สึกของเราไม่ได้ติดสนิทอยู่กับพระเจ้า  หรือประสานเข้ากับน้ำพระทัยของพระองค์  เมื่อนั้นความนึกคิดของเราจะถูกครอบงำด้วยความสงสัยและการศึกษาพระคัมภีร์ใน สภาพเช่นนี้จะทำให้ความสงสัยมีอำนาจมากขึ้นศัตรูจะเข้าควบคุมความคิด  และมันจะเสนอคำแปลที่มีความหมายไม่ถูกต้อง  เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ไม่ได้แสวงหาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า ทั้งในพระธรรมและการกระทำแล้ว  ไม่ว่าเขาจะเรียนมามากเพียงไร  เขาก็อาจจะเข้าใจพระคัมภีร์ผิดได้  และการวางใจในคำอธิบายของเขาก็เป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัย  ผู้ที่มองเห็นความขัดแย้งในพระคัมภีร์  ก็เป็นผู้ที่ไม่มีสายตาทางฝ่ายวิญญาณ  เนื่องจากสายตาของพวกเขาผิดเพี้ยน  พวกเขาจึงมองสิ่งที่เรียบง่ายและชัดเจนกลายเป็นสิ่งที่สร้างความสงสัยและ ความไม่เชื่อให้แก่เขา  {SC 110.1}
                ใน แทบทุกกรณีไม่ว่าจะมีการอำพรางกันอย่างไรก็ตาม  ความรักในบาปคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดความสงสัยและความแคลงใจ  จิตใจที่หยิ่งยโสและรักบาปจะไม่ยินดีรับฟังคำสอนและข้อห้ามต่างๆ ที่มีอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า  และผู้ที่ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ก็พร้อมที่จะสงสัยอำนาจ ของพระวจนะ  การที่จะเข้าถึงความจริงได้นั้น  เราจะต้องมีความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะเรียนรู้ความจริงและมีความเต็มใจที่ จะปฏิบัติตามและทุกคนที่เข้ามาศึกษาพระคัมภีร์ด้วยวิญญาณจิตเช่นนี้  จะพบหลักฐานมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า  พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า  และเขาก็จะเข้าใจความจริงที่ให้เขา  ได้ปัญญาถึงความรอด  (2 ทิโมธี 3:15 TKJV)  {SC 111.1}
                พระคริสต์ตรัสว่า  ถ้าผู้ใดตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้นั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนั้นมาจากพระเจ้า  (ยอห์น 7:17)  แทนที่จะคอยตั้งข้อสงสัยและคอยจับผิดสิ่งที่ท่านไม่เข้าใจ  ขอให้ท่านใส่ใจกับแสงสว่างที่ส่องมาถึงตัวของท่าน  แล้วท่านจะได้รับแสงที่สว่างมากยิ่งขึ้น  โดยพระคุณของพระคริสต์  จงประกอบหน้าที่ทุกๆ หน้าที่ที่เปิดให้กับความเข้าใจอย่างถ่องแท้ของท่านแล้วท่านก็จะเข้าใจและทำ ในส่วนที่ท่านยังสงสัยอยู่ในเวลานี้  {SC 111.2}
                มีอยู่หลักฐานหนึ่งที่เปิดให้กับทุกคน  ทั้งแก่ผู้ที่มีการศึกษาสูงที่สุดและผู้ที่ไม่มีการศึกษาเลย  นั่นคือ  หลักฐานของประสบการณ์  พระเจ้าทรงเชิญชวนเราให้พิสูจน์ความจริงในพระวจนะของพระองค์ด้วยตัวของเราเอง  พิสูจน์ความจริงในเรื่องพระสัญญาของพระองค์  พระองค์ทรงเชิญชวนเราให้  ชิมดูแล้วจะเห็นว่าพระเจ้าประเสริฐ  (สดุดี 34:8)  แทนที่จะวางใจในคำพูดของผู้อื่นเราจะต้องทดสอบด้วยตัวเราเอง  พระองค์ทรงประกาศว่า  จงขอแล้วจะได้  (ยอห์น 16:24)  ก็จะเป็นไปตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้  พระสัญญาของพระเจ้าไม่เคยล้มเหลวและไม่มีทางที่จะล้มเหลวและเมื่อเราเข้ามาใกล้พระเยซูและชื่นชมกับความรักอันไพบูลย์ของพระองค์แล้ว  ความสงสัยและความมืดมนจะหายสาบสูญไปในความสว่างแห่งการทรงร่วมสถิตอยู่ของพระองค์  {SC 111.2}
                อัครทูตเปาโลกล่าวว่า  พระเจ้า  ทรงช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของความมืด  และได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในแผ่นดินแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์  (โคโลสี 1:13)  และทุกคนที่ก้าวออกจากความตายไปสู่ชีวิตจะ  ประทับตราลงว่าพระเจ้าสัตย์จริง  (ยอห์น 3:33)  เขาก็จะเป็นพยานว่า  ข้าพเจ้า ต้องการความช่วยเหลือและข้าพเจ้าก็พบการช่วยเหลือนั้นในองค์พระเยซู  ความต้องการในทุกสิ่งก็ได้รับการเติมเต็ม  จิตวิญญาณที่หิวกระหายก็ได้รับความเต็มอิ่มและบัดนี้  พระคัมภีร์ก็เป็นหนังสือที่เปิดเผยเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ให้แก่ ข้าพเจ้า  ท่านอาจถามว่า  ทำไมข้าพเจ้าจึงเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์  ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าส่งมาให้แก่ข้าพเจ้า  แล้วทำไมข้าพเจ้าจงเชื่อในพระคัมภีร์  ก็เพราะข้าพเจ้าได้พบว่า  พระคัมภีร์เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับจิตวิญญาณของข้าพเจ้า  เราจะเป็นพยานให้กับตัวของเราเองว่า  สิ่งต่างๆ ในพระคัมภีร์เป็นความจริง  พระคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  เรามั่นใจได้ว่า  เราไม่ได้ติดตามนวนิยายที่ถูกแต่งขึ้นด้วยความเจ้าเล่ห์  {SC 112.1}
                เปโตร สนับสนุนพี่น้องของท่านให้  เจริญขึ้นในพระคุณและในความรู้ซึ่งมากจากพระเยซูคริสต์  องค์พระผู้เป็นเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา  (2 เปโตร 3:18)  เมื่อประชากรของพระเจ้าเติบโตขึ้นในพระคุณ  พวกเขาก็จะเข้าใจพระวจนะของพระองค์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น  พวกเขาจะมองเห็นความจริงศักดิ์สิทธิ์ด้วยแสงสว่างและความงดงามใหม่  สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์คริสตจักรตลอดทุกยุคสมัย  และจะเป็นเช่นนี้จนถึงสินยุค   “วิถีของคนชอบธรรมเหมือนแสงอรุณซึ่งฉายสุกใสยิ่งขึ้นๆ จนเต็มวัน  (สุภาษิต 4:18)  {SC 112.2}
                โดย ความเชื่อเราจะมองไปยังภาคหน้าและยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้าซึ่งจะทำให้ เราเติบใหญ่ขึ้นทางปัญญา  เมื่อความสามารถของมนุษย์ประสานเข้ากับพระเจ้า  และพลังอำนาจทั้งหมดของจิตวิญญาณถูกนำให้เข้ามาสัมผัสโดยตรงกับพระเจ้า ผู้ทรงเป็นแหล่งของความสว่าง  หลังจากนั้นเราได้รับการทำให้กระจ่างแจ้ง  สิ่งต่างๆ ที่เข้าใจยากก็จะมีคำอธิบาย  และสิ่งที่สมองอันมีขอบเขตจำกัดของเรามองเห็นแต่เพียงความมุ่งหมายที่สับสน และแตกแยกนั้น  เราก็จะมองเห็นความกลมกลืนที่สมบูรณ์แบบและสวยงามที่สุด  เพราะบัดนี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจกเงา  แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน  เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์  เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า  (1 โครินธ์ 13:12)  {SC 112.3}


Visit us for more information http://www.greatesthope.com

For more information, please contact 
Alejandro at mienfield@yahoo.com
or contact
Thailand Adventist Mission 
12 Soi Pridi Banomyong 37, Sukhumvit 71
Klongtan Nua, Wattana, Bangkok 10110
 
Telephone: 02-391-3595, 02-391-0525
Fax: 02-381-1928
 
Information:  
P.O. Box 234 Prakanong Bangkok 10110 Thailand
 

VISIT ALSO


http://www.adventist.or.th/

http://thaivop.com/

No comments: