Friday, May 18, 2012

เคล็ดลับแห่งความสุข Steps to Christ in Thai

เคล็ดลับแห่งความสุข
 
คำนำ
 
                หนังสือ เคล็ดลับแห่งความสุข” (Steps to Christ) ที่ท่านถืออยู่ในมือนี้ เป็นหนังสือที่ให้กำลังใจและมีอิทธิพลยก ระดับศีลธรรมและทำให้เป็นคนดี และทั้งยังมียอดจำหน่ายสูงถึงหลายล้านเล่ม หนังสือเล็กๆ เล่มนี้จัดพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรกใน ปี ค.ศ. 1892 และพิมพ์มาแล้วกว่า เจ็ดสิบภาษา เสริมแรงบันดาลใจให้กับชายหญิงนับร้อยนับพันคนมาแล้วทั่วโลก เป็นหนังสือที่ได้รับการต้อนรับและเป็นที่ต้องการของคนมากมาย จนต้องพิมพ์ติดต่อกันมาหลายครั้งเพื่อตอบสนองกับความต้องการ
                เอเลน จี ไวท์ (ค.ศ. 1827-1915) เป็น ผู้ประพันธ์หนังสือเล่มนี้ ท่านเป็นนักพูดและนักเขียนด้านศาสนา ท่านเกิดใกล้เมืองพอร์ทแลนด์ มลรัฐเมน เริ่มทำงานในแถบมลรัฐนิวอิงแลนด์ ต่อมาภายหลัง ได้เดินทางและขยายงานไปสู่ดินแดนทางภาคกลางและภาคตะวันตกของประเทศสหรัฐ อเมริกา ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1885 ถึง 1887 ท่านได้อุทิศตนทำงานในเมืองใหญ่ๆ ของทวีปยุโรป ในการเทศนาแต่ละครั้งจะมีคนเข้าฟังกันอย่างหนาแน่น ท่านเขียนหนังสือมากมายและทำงานอย่างเกิดผลทั้งในประเทศออสเตรเลียและประเทศนิวซีแลนด์เป็นเวลา 9 ปี ผลงานเขียนของท่านมีทั้งหนังสือขนาดใหญ่และขนาดเล็กรวมแล้วกว่าสี่สิบห้า เล่ม หนังสือเหล่านี้ครอบคลุมเรื่องศาสนา การศึกษา สุขอนามัยและครอบครัว และการดำเนินชีวิตคริสเตียน หลายเล่มมียอดจำหน่ายเกินล้านเล่ม หนึ่งในจำนวนนี้มีหนังสือเคล็ดลับแห่งความสุขอยู่ด้วย อีกทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบและได้รับการต้อนรับมากที่สุด
                ชื่อหนังสือเล่มนี้บอกให้เราทราบถึงเป้าหมายที่ต้องการ นำผู้อ่านให้ไปถึงพระเยซูคริสต์ พระผู้ทรงเป็นความปรารถนาของคนทั้งโลก เป็นหนังสือที่จะนำย่างก้าวของผู้ที่สงสัยและไม่มีความมั่นใจในชีวิตให้ไป สู่เส้นทางแห่งสันติสุข นำผู้ที่แสวงหาความชอบธรรมและใฝ่หาอุปนิสัยที่สมบูรณ์แบบให้ก้าวเดินต่อไปที ละก้าวตามเส้นทางของชีวิตคริสเตียน ก้าวไปให้ถึงประสบการณ์ของการรู้จักพระพรอันไพบูลย์ ยังเปิดเผยให้ผู้อ่านได้รู้จักพระองค์ผู้ทรงเป็นเคล็ดลับแห่งชัยชนะ และให้เห็นถึงพระคุณของการช่วยให้รอดที่เรียบง่ายและวิธีถนอมรักษาอำนาจยิ่ง ใหญ่ของพระสหายผู้ล้ำเลิศที่สุดของมวลมนุษยชาติ
                พระคริสตธรรมคัมภีร์เดิมบันทึกเรื่องราวของยาโคบไว้ว่า เขาทำผิดและกลัวว่าความบาปจะตัดเขาออกไปจากพระเจ้า แต่ในเวลากลางคืน ในขณะที่เอนกายลงนอน เขาได้ ฝันว่ามีบันไดอันหนึ่งตั้งขึ้นบนแผ่นดินโลกยอดถึงฟ้าสวรรค์ ทูตทั้งหลายของพระเจ้ากำลังขึ้นลงอยู่บนนั้นเขา ได้ยินพระสุรเสียงที่ตรัสมาจากปลายบันไดนั้น เป็นพระดำรัสที่ประโลมใจและให้ความหวังแก่ผู้พเนจร ความฝันนี้ทำให้ยาโคบมองเห็นและเข้าใจว่า มีช่องทางที่เชื่อมโลกให้เข้ากับสวรรค์ พระเจ้าทรงห่วงใยยาโคบอย่างไร ในวันนี้พระองค์ยังทรงห่วงใยท่านอยู่เช่นกัน คณะผู้จัดทำหวังอย่างยิ่งว่า เมื่อท่านอ่านหนังสือเล่มนี้ท่านจะพบทางแห่งความจริงในองค์พระเยซูคริสต์ มีสันติสุขที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ท่านและจะทรงมอบให้แก่ท่าน หากเพียงแต่ท่านจะแสวงหา ด้วยความจริงใจ
                หนังสือเล่มนี้แปลและตรวจสอบความถูกต้องตรงตามต้นฉบับภาษาอังกฤษในส่วนท้ายของทุกย่อหน้า จะมีอักษรและตัวเลขอ้างอิงถึงฉบับมาตรฐานภาษาอังกฤษ ตัวอย่างเช่น SC 75.2 หมายถึง ย่อหน้านั้นแปลมาจาก หนังสือ Steps to Christ ฉบับมาตรฐานภาษาอังกฤษ หน้า 75 ย่อหน้าที่ 2
                ท่านอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษได้ที่ http//www.whiteestate.org/books/sc/sc.asp
 
ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรผู้อ่านทุกท่าน
 

For more information on this post, please contact 
Alejandro at  mienfield@yahoo.com
 
or contact
Thailand Adventist Mission 
12 Soi Pridi Banomyong 37, Sukhumvit 71
Klongtan Nua, Wattana, Bangkok 10110
 
Telephone: 02-391-3595, 02-391-0525
Fax: 02-381-1928
 
Information:  
P.O. Box 234 Prakanong Bangkok 10110 Thailand

มีผู้สร้างจริงไหม


เรื่อง  มีผู้สร้างจริงไหม

ความจริงที่ต้องเน้น
                พระเจ้าสำแดงพระองค์เองในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง

สร้างความสนใจ
                สมมุติว่าวันหนึ่งท่านเดินเข้าไปในป่า และไปพบบ้านหลังหนึ่งท่านจะคิดอย่างไร ท่านจะคิดว่าบ้านหลังนั้นเกิดขึ้นมาเองหรือ หรือว่ามีคนสร้างบ้านหลังนี้ขึ้น ทำไมเราจึงไม่คิดว่ามันเกิดขึ้นเอง คงจะเป็นเพราะว่าเรายังไม่เคยเห็นบ้านที่เกิดขึ้นโดยไม่มีผู้สร้าง นอกจากนั้นแล้วเมื่อเรามองดูบ้านนั้น เราพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับผู้สร้างบ้างไหม และถ้าเราไม่เห็นเจ้าของบ้านเราจะมีสิทธิ์เข้าไปในบ้านนั้นเหมือนบ้านของเราเองไหม ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
พระคัมภีร์  สดุดี  19:1-4,                  ปฐก. 1:18-20

เนื้อเรื่อง

1.  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต้องมีผู้สร้าง
                เรารู้ว่าทุกอย่างต้องมีการเริ่มต้นและมีการสิ้นสุด แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างในโลกนี้ที่ไม่มีใครพบเห็นเมื่อมันเกิดขึ้น เช่นดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, ดวงดาวทั้งหลาย และภูเขา สิ่งต่างๆ เหล่านี้เราไม่รู้ว่ามันถูกสร้างมาอย่างไร หลายคนก็มีหลายความคิดว่าสิ่งเหล่านี่มันเกิดมาอย่างไร ฉะนั้นเราจะเชื่อตามความคิดของคนเหล่านั้นได้หรือ บางคนก็คิดว่าคนเป็นผู้สร้างหรือบางคนอาจคิดว่าผีเป็นผู้สร้าง หรือบางคนอาจคิดว่าสัตว์เป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งต่างๆ เราจะเข้าใจถึงความจริงเหล่านี้ได้อย่างไร

2.  พระผู้สร้างนั้นย่อมมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง
                ถ้าคิดให้ดีแล้วเราคงจะยอมรับทุกคนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามองเห็นนี้ไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นมาเองได้ ยกตัวอย่างเช่น ชิ้นส่วนต่างๆ ของนาฬิกา มันจะเข้ามารวมตัวประกอบกันเป็นนาฬิกาที่เราสวมใส่โดยที่ไม่มีใครทำจะได้ไหม ย่อมเป็นไปไม่ได้ ผู้ที่สร้างสิ่งต่างๆ นั้นย่อมมีอำนาจเหนือสิ่งที่เขาสร้างมาอย่างแน่นอน คนส่วนใหญ่แล้วก็คงจะยอมรับว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่มีฤทธิ์มีอำนาจซึ่งมองด้วยตาไม่เห็น และเชื่อว่าสิ่งนั้นมีจริง

3.  ผู้สร้างวางแผนให้ทุกอย่างมีระเบียบ
                มนุษย์เรานั้นมีความแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ คือมีความคิด มีความตั้งใจ รู้จักรับผิดชอบชั่วดี รู้จักทำอะไรให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และถ้าจะมองดูรูปร่างของตัวเองแล้ว เราก็จะพบอะไรหลายสิ่งที่มีระบบและมีระเบียบและมีความสมดุลกัน สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นโดยบังเอิญและทำงานด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยที่ไม่มีผู้สร้างหรือผู้วางแผนนั้นจะเป็นไปได้หรือ คงเป็นไปไม่ได้ แต่แม้ว่าเราจะยอมรับว่ามีผู้สร้างถ้าผู้นั้นไม่ปรากฏตัวให้เราเห็น เราก็จะไม่รู้จักผู้นั้นเราเพียงแต่รู้ว่าผู้สร้างนั้นต้องมีอำนาจอย่างมหาศาล มีความรู้ความเฉลียวฉลาด และมีสติปัญญาเป็นเลิศ ผู้สร้างนั้นได้สร้างสิ่งต่างๆ โดยใช้สีที่สวยงามหลายหลากสีและสร้างให้มีรูปทรงแปลกๆ สวยงามน่าดู และเรายังเห็นว่า ทุกอย่างนั้นผู้สร้างได้คิดออกแบบวางแผนให้มันอยู่อย่างมีระเบียบ และประโยชน์ต่อกันและกัน แม้แต่แมลงตัวเล็กๆ ที่สุด มันก็รู้จักหาอาหารเลี้ยงตัวเองได้ ป้องกันตัวเองได้ และสืบเชื้อสายได้ และยังอาจมีประโยชน์ต่อสัตว์อื่นๆ ด้วย

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราอย่างไร
                นอกจากนี้เราควรจะสนใจเรื่องผู้สร้างนี้ เพราะเราอาศัยอยู่ในที่ซึ่งผู้สร้างได้สร้างมา สิ่งที่เราใช้และแม้กระทั่งตัวเราเองก็เป็นของผู้สร้าง เราน่าจะยำเกรงให้เกียรติและเคารพนับถือผู้ที่สร้างเรามา และเราน่าจะสนใจว่าผู้สร้างนั้นสร้างเราเพื่ออะไร และอะไรจะเกิดขึ้นกับเราหลังจากที่เราตายไปแล้ว

การตัดสินใจ
                ท่านคิดว่ามีผู้สร้างจริงไหม มีหนังสือเล่มหนึ่งที่พูดถึงผู้สร้างนั้นโดยเฉพาะหนังสือเล่มนั้นคือพระคริสตธรรมคัมภีร์

เชื่อมโยงกับเรื่องใหม่
                ถ้าท่านอยากจะรู้จักพระองค์นั้น ก็ขอเชิญท่านมาเรียนต่อไป

 NOTE: This Bible study lesson is for the NEW TRIBES MISSION. I don't have the right to post this but it's just so beautiful that I couldn't help posting it.

VISIT ALSO


http://www.adventist.or.th/

http://thaivop.com/

จงชื่นชมยินดีในพระเจ้า


               
เคล็ดลับที่ 13
จงชื่นชมยินดีในพระเจ้า

                พระเจ้าทรงเรียกเชิญให้เหล่าบุตรทั้งหลายของพระองค์มาเป็นตัวแทนของพระ คริสต์  เพื่อให้คนทั้งหลายได้มองเห็นถึงความดีและพระเมตตาคุณของพระเจ้า  พระเยซูทรงเปิดเผยพระลักษณะที่แท้จริงของพระบิดาให้แก่เรา  ดังนั้น  เราจึงต้องแสดงพระคริสต์ให้แก่ชาวโลกที่ไม่รู้จักความรักที่เปี่ยมด้วยความ อ่อนโยนและความเมตตาของพระองค์  พระเยซูตรัสว่า  พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกฉันใด  ข้าพระองค์ก็ใช้เขาไปในโลกฉันนั้น  ข้าพระองค์อยู่ในเขาและพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์.....เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา  (ยอห์น 17:18, 23)  อัครทูตเปาโลกล่าวกับผู้ที่เป็นสาวกของพระเยซูว่า  ท่านปรากฏเป็นหนังสือของพระคริสต์  ให้คนทั้งปวงได้รู้และได้อ่าน  (2 โครินธ์ 3:3, 2)  พระเยซูทรงประสงค์ให้บุตรทุกคนของพระองค์นำจดหมายของพระองค์ไปให้แก่โลก  ถ้าท่านเป็นผู้ติดตามของพระคริสต์  พระองค์ทรงฝากให้ท่านนำจดหมายที่อยู่ในตัวของท่าน  ส่งต่อไปให้แก่ครอบครัวของท่าน  ให้แก่หมู่บ้าน  ตามถนนหนทางในละแวกที่ท่านอาศัย  เมื่อพระเยซูสถิตอยู่ในท่าน  พระองค์ทรงปรารถนาตรัสผ่านท่านไปยังจิตใจของผู้ที่ยังไม่คุ้นกับพระองค์บาง ทีพวกเขาไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือไม่ได้ยินพระสุร เสียงที่พระองค์ตรัสกับเขาผ่านทางพระคริสตธรรมคัมภีร์ในแต่ละหน้า  พวกเขามองไม่เห็นความรักของพระเจ้าที่มีอยู่ในพระราชกิจของพระองค์  แต่หากท่านเป็นตัวแทนที่สัตย์ซื่อของพระเยซูแล้ว  ท่านอาจชักนำพวกเขาให้มาเข้าใจคุณความดีบางประการของพระเจ้าโดยผ่านตัวท่าน  และนำพวกเขาเข้ามาสู่ความรักและการร่วมรับใช้พระองค์  {SC 115.1}
                คริสเตียนเป็นผู้ถือประทีปบนเส้นทางที่มุ่งไปยังสวรรค์  เขาจะต้องสะท้อนความสว่างที่ได้รับจากพระคริสต์ไปให้แก่คนในโลก  ชีวิตและอุปนิสัยของเขาจะต้องทำให้ผู้อื่นเข้าใจพระคริสต์และพระราชกิจแห่งการรับใช้ของพระองค์ได้อย่างถูกต้อง  {SC 115.2}
                หาก เราเป็นตัวแทนของพระคริสต์  เราจะทำให้งานแห่งการรับใช้พระองค์น่าสนใจ  ตามความเป็นจริงคริสเตียนทีเก็บรวบรวมความหดหู่และความโศกเศร้าไว้ในจิต วิญญาณของตนเองและโอดครวญและบ่น  กำลังแสดงตัวอย่างไม่ถูกต้องของพระเจ้าและของชีวิตคริสเตียนให้แก่ผู้อื่น  พวกเขาจะทำให้คนอื่นคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยที่จะให้บุตรของพระองค์มี ความสุขและด้วยการทำเช่นนี้  เขาเป็นพยานเท็จให้กับพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์  {SC 116.1}
                ซาตาน ยินดีปรีดาเมื่อมันนำบุตรของพระเจ้าไปสู่ความไม่เชื่อและความหดหู่ใจ  มันชื่นชอบที่เห็นเราขาดความไว้วางใจในพระเจ้า  สงสัยน้ำพระทัยของพระองค์และอำนาจของพระองค์ที่จะช่วยเราให้รอด  มันพอใจเมื่อมันทำให้เรารู้สึกว่า  การทรงนำของพระเจ้าจะนำภัยมาให้เรา  เป็นงานของซาตานที่ต้องการทำให้เรามองเห็นว่าพระเจ้าขาดความเห็นใจและไม่ สงสารผู้ใด  มันอ้างความจริงในเรื่องของพระองค์ไปในทางที่ผิด  มันเสริมแต่งจินตนาภาพเรื่องของพระเจ้าด้วยแนวคิดที่ผิด  และแทนที่เราจะใส่ใจในความจริงเรื่องของพระบิดาบนสวรรค์  สมองขอบงเราไปยึดติดอยู่กับภาพผิดๆ ที่ซาตานได้เอามาให้และหลู่พระเกียรติของพระเจ้าด้วยการไม่วางใจในพระองค์ และบ่นติเตียนพระองค์  ซาตานคอยหาทางอยู่เสมอที่จะทำให้ชีวิตฝ่ายศาสนาเป็นเรื่องที่เศร้าหมอง  มันต้องการทำให้ชีวิตฝ่ายศาสนาเป็นภาระและเต็มไปด้วยความยากลำบาก  และเมื่อคริสเตียนนำเสนอชีวิตฝ่ายศาสนาของเขาเองด้วยภาพเช่นนี้ด้วยความไม่ เชื่อของเขาจึงไปสนับสนุนการหลอกลวงของซาตาน  {SC 116.2}
                คน มากมายที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งชีวิตได้หมกมุ่นอยู่กับความผิดและความ ล้มเหลวและความผิดหวังของตนเอง  และจิตใจของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์และความท้อแท้ใจ  ในขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในทวีปยุโรป  มีน้องหญิงคนหนึ่งที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้  และเธอตกอยู่ในความทุกข์  เธอเขียนจดหมายมาหาข้าพเจ้าและขอคำหนุนใจ  ในคืนนั้นหลังจากที่ข้าพเจ้าได้อ่านจดหมายของเธอ  ข้าพเจ้าฝันว่า  ข้าพเจ้ากำลังเดินอยู่ในสวนแห่งหนึ่ง  และมีผู้หนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นเจ้าของสวนกำลังเดินนำข้าพเจ้าไปตามทางเดิน ของสวน  ข้าพเจ้ากำลังเก็บดอกไม้และเพลิดเพลินอยู่กับกลิ่นหอมของมัน  เมื่อน้องหญิงผู้นี้ซึ่งเดินอยู่เคียงข้างข้าพเจ้าได้ดึงข้าพเจ้าให้หันมา สนใจมองดูหนามบางส่วนที่ขวางอยู่บนทางเดินของเธอ  เธอคร่ำครวญและเศร้าสลดอยู่ตรงนั้น  เธอไม่ได้เดินไปตามทางเดินที่คนนำทางพาไป  แต่กลับเดินเข้าไปสู่กลางขวากและพงหนาม  เธอร้องครวญครางด้วยความท้อใจว่า  น่าเสียดายจริงๆ ที่หนามแหลมพวกนี้ทำลายสวนที่สวยงามแห่งนี้  แล้วคนนำชมสวนตอบว่า  อย่าไปสนใจคมหนามเหล่านั้น  มันเพียงแค่ทำให้คุณเจ็บปวดเท่านั้นเอง  ให้เราเก็บดอกกุหลาบ  ดอกลิลลี่และดอกมะลิกันเถิด  {SC 116.3}
                ประสบการณ์ ชีวิตของท่านไม่มีช่วงสดใสบ้างหรือ  ท่านไม่เคยมีช่วงเวลาอันทรงคุณค่าเมื่อหัวใจของท่านเต้นอย่างมีความสุขเพื่อ ตอบสนองพระวิญญาณของพระเจ้าหรือ  เมื่อท่านมองย้อนกลับไปยังบทต่างๆ ในหน้าหนังสือของประสบการณ์ชีวิตของท่านที่ผ่านๆ มา  ไม่มีหนังสือบันทึกหน้าใดในประสบการณ์ของท่านที่สร้างความสุขให้ท่านบ้าง หรือ  พระสัญญาของพระเจ้าไม่ได้เป็นเหมือนดอกไม้ซึ่งขึ้นอยู่ตามทางเดินของท่านที่ ส่งกลิ่นหอมบ้างหรือ  ท่านจะไม่ให้ความงดงามและความหวานชื่นของดอกไม้เติมจิตใจของท่านให้เต็มด้วย ความสุขบ้างหรือ  {SC  117.1}
                ขวาก หนามเพียงแต่ทำให้ท่านบาดเจ็บและโศกเศร้าใจ  และหากท่านจะเก็บรบรวมแต่สิ่งเหล่านี้  และนำไปเสนอให้แก่ผู้อื่น  ท่านไม่เพียงกำลังดูแคลนพระคุณความดีของพระเจ้าด้วยตัวท่านเองเท่านั้น  แต่ท่านกำลังขัดขวางคนรอบข้างให้ออกไปจากการเดินในทางแห่งชีวิตด้วยหรือไม่  {SC 117.2}
                เป็นการไม่ฉลาดที่จะเก็บรวบรวมความทรงจำที่ไม่ราบรื่นทั้งหมดของชีวิตที่ผ่านมาเอาไว้  รวมทั้งความเลวร้ายและความผิดหวัง  เพื่อพูดและโอดครวญถึงเหตุการณ์เหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก  จนกระทั่งตัวเราเองถูกครอบงำด้วยความท้อแท้  จิตวิญญาณที่ท้อถอยนี้จะเต็มไปด้วยความมืดมน  ความรู้สึกเช่นนี้จะปิดกั้นจิตวิญญาณของเขาเองจากแสงสว่างของพระเจ้า  และยังทอดเงามืดลงบนเส้นทางเดินของผู้อื่นอีกด้วย  {SC 117.3}
                จง ขอบคุณพระเจ้าสำหรับภาพเหตุการณ์อันสดใสซึ่งพระองค์ทรงประทานให้แก่เรา  จงนำคำสัญญาอันประเสริฐที่มีอยู่ในความรักของพระองค์มารวมเข้าด้วยกัน  เพื่อเราจะมองดูภาพเหล่านั้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน  ภาพเหตุการณ์ที่พระบุตรพระเจ้าทรงสละพระบัลลังก์ของพระบิดา  ภาพที่พระองค์ทรงนำความเป็นมนุษย์มาสวมทับความเป็นพระเจ้าเพื่อช่วยมนุษย์ ให้รอดพ้นจากอำนาจของซาตาน  ภาพชัยชนะของพระองค์ที่ทรงทำไว้เพื่อเห็นแก่เรา  ภาพที่พระองค์ได้ทรงเปิดประตูสวรรค์ออกให้แก่มนุษย์  และเปิดเผยให้สายตามนุษย์ได้มองเห็นสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงเปิดเผยพระสิริของ พระองค์  ภาพมนุษย์ซึ่งล้มลงในบาปได้ถูกนำขึ้นมาจากหลุมแห่งความพินาศที่บาปได้ผลัก เขาให้ตกลงไป  และนำเขากลับมาสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้าพระผู้ไม่มีขอบเขตจำกัด  และได้อดทนต่อการทดสอบของพระเจ้าผ่านทางความเชื่อในพระผู้ไถ่ของเรา  เราได้สวมเสื้อความชอบธรรมของพระคริสต์  และถูกยกชูขึ้นไปถึงพระบัลลังก์ของพระองค์  เหล่านี้เป็นภาพที่พระเจ้าทรงปรารถนาให้จิตใจของเราใคร่ครวญอยู่เสมอ  {SC 118.1}
                เมื่อ ดูเสมือนหนึ่งว่าเราจะสงสัยในความรักของพระเจ้าและไม่วางใจในพระสัญญาของ พระองค์  เราได้หลู่เกียรติพระองค์และทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เสียพระทัย  คุณแม่จะรู้สึกอย่างไรกับลูกๆ ที่คอยบ่นต่อว่าเธออยู่เสมอๆ ราวกับว่าเธอไม่เคยหวังดีต่อพวกเขาเลย  ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว  ทุกสิ่งที่เธอทำตลอดชีวิตของเธอนั้น  ก็ทำเพื่อประโยชน์ของพวกเขาและเพื่อให้เขาสุขสบาย  สมมติว่าพวกเขารู้สึกสงสัยในความรักของเธอ  สิ่งนี้จะทำให้หัวใจของเธอแตกสลาย  ผู้ที่เป็นพ่อแม่จะรู้สึกอย่างไร  หากลูกๆ ของเขาทำกับเขาเช่นนี้  และพระบิดาของเราบนสวรรค์จะทรงมีท่าทีต่อเราอย่างไรเมื่อเราไม่ไว้วางใจใน ความรักของพระองค์  ซึ่งเป็นความรักที่ทำให้พระองค์ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อที่ เราจะได้มีชีวิต  อัครทูตบันทึกไว้ว่า  พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา  ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย  ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ  (โรม 8:32)  ถึงกระนั้นก็ตาม  มีคนมากมายเพียงไรที่การกระทำของเขาแสดงออกมาให้เห็นเป็นคำพูดว่า  นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการให้ฉัน  บางทีพระองค์อาจจะทรงรักคนอื่น  แต่พระองค์ไม่ได้รักฉัน  {SC 118.2}
                สิ่ง เหล่านี้กำลังทำร้ายจิตวิญญาณของท่าน  เพราะคำสงสัยทุกคำที่ท่านกล่าวออกมานั้น  เท่ากับเป็นการเชิญชวนการทดลองของซาตาน  สิ่งนี้ทำให้นิสัยช่างสงสัยในตัวของท่านแกร่งกล้าขึ้น  และทำให้ทูตสวรรค์ที่คอยดูแลท่านเศร้าใจ  เมื่อซาตานล่อลวงท่าน  จงอย่าระบายคำพูดที่สงสัยหรือขุ่นมัวออกมาแม้เพียงสักคำเดียว  หากท่านเลือกที่จะเปิดประตูให้แก่คำเสนอแนะของมัน  สมองของท่านก็จะเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่วางใจและการดื้อเพ่ง  หากท่านกล่าวความรู้สึกของท่านออกมา  คำพูดที่ชวนให้สงสัยทุกคำที่ท่านกล่าวออกมาจะไม่เพียงมีผลกับตัวของท่านเอง เท่านั้น  แต่จะเป็นเมล็ดที่แตกหน่อและเกิดผลในชีวิตของผู้อื่นอีกด้วย  และคงจะไม่มีทางหักล้างอิทธิพลที่มาจากคำพูดของท่านได้  ท่านเองอาจฟื้นคืนจากช่วงเวลาแห่งการทดลองและหลุดพ้นจากกับดักของซาตาน  แต่ผู้อื่นที่ซวนเซเนื่องจากอิทธิพลของท่าน  อาจไม่สามารถหลุดรอดจากความไม่เชื่อที่ท่านกล่าวไว้  การพูดถึงแต่สิ่งที่ให้กำลังและชีวิตแก่จิตวิญญาณ  จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งเพียงไร  {SC 119.1}
                ทูต สวรรค์กำลังคอยฟังว่าท่านกำลังเป็นพยานถึงพระอาจารย์ในสวรรค์ของท่านให้แก่ โลกอย่างไร  จงให้การสนทนาของท่านเป็นเรื่องของพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่  เพื่อทรงเป็นผู้แก้ต่างต่อเบื้องพระบิดาให้แก่ท่าน  เมื่อท่านจูงมือของมิตรสหาย  จงให้คำสรรเสริญพระเจ้าติดอยู่บนริมฝีปากของท่านและในจิตใจของท่าน  นี่คือวิธีที่ท่านจะดึงดูดความคิดของเขาเข้าไปหาพระเยซู  {SC 119.2}
                ทุก คนต่างมีความทุกข์ยาก  มีความโศกเศร้าที่แทบจะแบกรับไม่ไหว  มีการทดลองที่ยากจะต่อต้านได้  อย่านำปัญหาของท่านไปบอกแก่เพื่อนมนุษย์ผู้ที่ต้องตาย  แต่จงนำทุกสิ่งมายังพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน  จงตั้งเป็นกฎไว้ว่าท่านจะไม่พูดคำพูดที่ชวนให้สงสัยหรือคำพูดที่ทำให้เกิด ความท้อแท้ใจแม้เพียงสักคำเดียว  ท่านสามารถทำให้ชีวิตของผู้อื่นสดใสขึ้นได้มาก  และทำให้ความพยายามของเขาแข็งแกร่งขึ้นด้วยคำพูดที่ให้ความหวังและกำลังใจ ที่บริสุทธิ์  {SC 119.3}
                มีจิตวิญญาณกล้าหาญมากมายที่ถูกบีบคั้นด้วยการทดลองและพร้อมที่จะยอมแพ้ต่อการต่อสู้กับตัวเองและอำนาจของความชั่ว  จงอย่าทำให้ผู้ที่ดิ้นรนอย่างหนักเช่นนี้ท้อใจ  จงให้กำลังใจแก่เขาด้วยคำพูดที่แกร่งกล้าและให้ความหวัง  เพื่อหนุนให้เขาเดินในทางชีวิตของเขาต่อไป  ด้วยการทำเช่นนี้จะทำให้แสงสว่างของพระคริสต์ส่องออกมาจากตัวท่าน  ไม่มีผู้ใดมีชีวิตอยู่เพื่อตนเองฝ่ายเดียว  (โรม 14:7)  อิทธิพลที่ท่านทำไปโดยไม่รู้ตัวนี้  อาจจะทำให้ผู้อื่นมีกำลังใจและเข้มแข็งยิ่งขึ้น  หรือทำให้เขาเกิดความท้อถอยและถูกผลักไสออกห่างจากพระคริสต์และความจริง  {SC 120.1}
                คนมากมายมีแนวคิดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับชีวิตและพระลักษณะของพระคริสต์  พวกเขาคิดว่าชีวิตของพระองค์ไม่อบอุ่นและไม่สดใส  พระองค์มีแต่ความแข็งกร้าว  เข้มงวด  และไม่มีความสุข  คนมากมายมีประสบการณ์ทางศาสนาโดยรวมที่ถูกระบายด้วยภาพที่เศร้าหมองเช่นนี้  {SC 120.2}
                คน มักอ้างเสมอว่าพระเยซูทรงกันแสง  แต่เป็นที่ทราบกันว่าพระองค์ไม่เคยยิ้ม  จริงอยู่  พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงเป็นบุรุษแห่งความเศร้าและทรงคุ้นเคยกับความระทม ทุกข์  เพราะพระองค์ทรงเปิดพระทัยให้กับความทุกข์ยากทั้งหมดของมนุษย์  ถึงแม้ชีวิตของพระองค์จะเป็นชีวิตที่มีแต่การปฏิเสธตนเองและครอบคลุมด้วย เงาแห่งความเจ็บปวดและความห่วงใย  แต่วิญญาณจิตของพระองค์ไม่เคยชอกช้ำ  พระพักตร์ของพระองค์ไม่เคยแสดงออกถึงความเศร้าโศกและความไม่พอใจ  จะมีแต่ความสงบเยือกเย็น  จิตใจของพระองค์เป็นน้ำพุแห่งชีวิต  และทุกหนแห่งที่พระองค์ทรงดำเนินไป  พระองค์ทรงนำการพักผ่อนและสันติสุข  ความสุขและความชื่นชมยินดีไปด้วย  {SC 120.3}
                พระ ผู้ช่วยให้รอดของเราทรงเป็นผู้ที่เคร่งขรึมมากและมีความตั้งใจอันแรงกล้า  แต่พระองค์ไม่เคยมีจิตใจที่ห่อเหี่ยวหรือมีอารมณ์ที่ขุ่นมัว  ชีวิตของผู้ที่ทำตามแบบอย่างของพระองค์จะต้องเต็มไปด้วยเป้าหมายที่ตั้งใจ จริง  ความรู้สึกส่วนตัวของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความรับผิดชอบอย่างแท้จริง  ความไม่เอาจริงเอาจังจะต้องถูกควบคุม  จะไม่มีการรื่นเริงที่อึกทึก  ไม่มีการล้อเล่นที่ไม่สุภาพ  แต่ศาสนาของพระเยซูจะมอบความสงบสุขดั่งสายธาร  เป็นศาสนาที่จะไม่ดับแสงสว่างของความสุข  ไม่หยุดยั้งความชื่นบาน  หรือบดบังความแจ่มใสบนใบหน้าที่ยิ้มแย้ม  พระคริสต์เสด็จมาไม่ใช่ให้ผู้อื่นมาคอยรับใช้  แต่ทรงมาเพื่อรับใช้ผู้อื่น  และเมื่อความรักของพระองค์มีอำนาจครอบครองอยู่ในจิตใจแล้ว  เราก็จะทำตามแบบอย่างของพระองค์  {SC 120.4}
                หาก เรารวบรวมความไม่ดีและไม่เป็นธรรมที่ผู้อื่นทำไว้และเก็บไว้ในจุดสุดยอดแห่ง ความคิดของเราแล้ว  จะพบว่าเราจะรักเขาเหมือนเช่นที่พระคริสต์ทรงรักเราไม่ได้  แต่หากความคิดของเราจะมีแต่ความรักและพระเมตตาอันอัศจรรย์ที่พระคริสต์ทรงมี ต่อเราแล้ว  วิญญาณเดียวกันนี้จะไหลออกไปยังผู้อื่น  เราจะรักและเคารพซึ่งกันและกัน  และอดทนต่อความผิดและความไม่สมบูรณ์แบบที่เรามองเห็นอย่างไม่ตั้งใจได้  เราจะต้องปลูกฝังเรื่องความถ่อมตนและความไม่วางใจในตัวเราเอง  รวมทั้งความอดทนที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนต่อความผิดของผู้อื่น  การทำเช่นนี้จะกำจัดใจคับแคบที่เห็นแก่ตัว  และทำให้เราเป็นคนใจกว้างและมีจิตใจที่เผื่อแผ่  {SC 121.1}
                ผู้ประพันธ์สดุดีตรัสว่า  จงวางใจในพระเจ้า  และกระทำความดี  ท่านจึงอาศัยอยู่ในแผ่นดินและชื่นบานอยู่กับความปลอดภัย  (สดุดี 37:3จงวางใจในพระเจ้า  แต่ละวันมีภาระหนักของวันนั้น  มีเรื่องที่เราต้องเอาใจใส่และเรื่องที่นำความกังวลมาให้สำหรับวันนั้นๆ และเมื่อเรามาพบหน้ากัน  เราก็มีความพร้อมเพียงไรที่จะพูดคุยถึงเรื่องของความทุกข์ยากและความลำบาก ของเรา  เราปล่อยปัญหาจำนวนมากที่เราหยิบยืมมาให้บุกรุกตัวเรา  เราปล่อยตัวให้กับความกลัวมากมาย  และเราก็แสดงภาระแห่งความกังวลที่หนักหน่วงออกมาให้เห็น  จนอาจจะทำให้บางคนคิดว่า  เราคงไม่มีพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงรักและเมตตา  ผู้ทรงพร้อมที่จะคอยฟังคำทูลขอของเราทุกเรื่องและทรงสถิตอยู่กับเราเพื่อ ช่วยเหลือเราในยามที่เราต้องการ  {SC 121.2}
                มี บางคนตกอยู่ในสภาวะของความกลัวอยู่ตลอดเวลาและชอบตามหาปัญหา  ในทุกวันพวกเขาถูกห้อมล้อมด้วยของประทานแห่งความรักของพระเจ้า  ในแต่ละวันเขามีความสุขกับการทรงนำของพระองค์ที่มีอยู่อย่างมากมาย  แต่พวกเขากลับมองข้ามพระพรที่อยู่รอบตัวเขา  ความนึกคิดของเขาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เขาไม่ชอบ  ที่กลัวว่าจะมาถึงตัวเขาหรือเขาอาจหมกมุ่นอยู่กับความทุกข์ยากเล็กน้อย บางอย่างซึ่งอาจจะมีอยู่จริง  แต่เขาปล่อยให้ความทุกข์ยากเหล่านั้นปิดตาของเขาจนมองไม่เห็นสิ่งของมากมาย ที่เขาควรสำนึกในพระคุณ  แทนที่เขาจะผลักความทุกข์ยากที่เขาประสบอยู่นั้นไปให้พระเจ้า  ผู้ทรงเป็นแหล่งเดียวของความช่วยเหลือ  เขากลับปล่อยให้ความทุกข์ยากนั้นแยกตัวเขาเองออกไปจากพระองค์เพราะเขาปลุก ความว้าวุ่นและการโอดครวญขึ้นมา  {SC 121.3}
                เรา จะทำตัวเป็นคนไม่เชื่อเช่นนี้หรือ  ทำไมเราจึงต้องเป็นคนอกตัญญูและขาดความวางใจ  พระเยซูทรงเป็นมิตรของเรา  ชาวสวรรค์ทั้งหมดใส่ใจในความทุกข์สุขของเรา  เราจะต้องไม่ปล่อยให้ความทุกข์ใจและความกังวลของชีวิตประจำวันทำให้สมองของ เราหงุดหงิดและทำให้ความคิดของเรามืดมน  หากเป็นเช่นนี้  เราจะมีแต่เรื่องที่ทำให้เราหงุดหงิดและรำคาญใจอยู่เสมอ  เราจะต้องไม่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ทำให้เรากลัดกลุ่มและบั่นทอนเรา  ซึ่งไม่ช่วยให้เราอดทนต่อการทดลองต่างๆ ได้  {SC 122.1}
                ท่าน อาจจะปวดหัวกับธุรกิจของท่าน  สิ่งที่ท่านคาดหวังไว้อาจจะมืดมนลงไปเรื่อยๆ และท่านอาจจะถูกคุกคามด้วยความรู้สึกของการสูญเสียแต่จงอย่าหมดกำลังใจ  จงมอบความกังวลของท่านไว้กับพระเจ้า  และรักษาความสงบและความชื่นบานไว้  อธิษฐานทูลขอสติปัญญาเพื่อจัดการกับธุรกิจของท่านอย่างสุขุม  และการทำเช่นนี้จะป้องกันความสูญเสียและหายนะได้  จงทำทุกอย่างเท่าที่ท่านสามารถทำได้ในส่วนของท่านเพื่อให้เกิดผลดีที่สุด  พระเยซูทรงสัญญาที่จะประทานความช่วยเหลือ  แต่ไม่ใช่โดยปราศจากความพยายามของท่าน เมื่อท่านทำทุกสิ่งเท่าที่ท่านจะทำได้  พร้อมทั้งพึ่งในพระผู้ช่วยของเราแล้ว  ขอให้ยอมรับผลลัพธ์ด้วยความชื่นบาน  {SC 122.2}
                พระ เจ้าไม่ประสงค์จะให้ประชากรของพระองค์ถูกทับถมด้วยความห่วงใย  แต่พระองค์ผู้เป็นเจ้าของเราไม่เคยหลอกลวงเรา  พระองค์ไม่เคยตรัสกับเราว่า  อย่ากลัวเลย  ไม่มีภัยอันตรายตามทางเดินของท่าน  พระองค์ทรงทราบดีว่า  ตามทางที่เราเดินไปนั้นเต็มไปด้วยการทดลองและภัยอันตราย  และพระองค์ทรงปฏิบัติต่อเราอย่างตรงไปตรงมา  พระองค์ไม่ได้ทรงเสนอที่จะนำประชากรของพระองค์ออกไปจากโลกแห่งความบาปและความชั่ว  แต่พระองค์ทรงชี้ไปยังที่หลบภัยที่เชื่อถือได้  พระองค์ทรงอธิษฐานเพื่อเหล่าสาวกของพระองค์ว่า  ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาเขาออกไปจากโลก  แต่ขอปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย  พระองค์ตรัสว่า  โลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก  แต่จงชื่นใจเถิด  เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว  (ยอห์น 17:15, 16:33)  {SC 122.3}
                ในคำเทศนาบนภูเขาของพระคริสต์  พระองค์ทรงสอนบทเรียนอันมีค่าของความจำเป็นที่จะต้องวางใจในพระเจ้าให้แก่สาวกทั้งหลายของพระองค์  บทเรียนเหล่านี้มีไว้เพื่อให้กำลังใจแก่บุตรทั้งหลายของพระเจ้าตลอดทุกยุคสมัย  และบทเรียนซึ่งเต็มไปด้วยคำชี้แนะและคำเล้าโลมใจมากมายเหล่านี้ได้ตกทอดลงมายังยุคของเรา  พระผู้ช่วยให้รอดทรงชี้ให้บรรดาผู้ติดตามของพระองค์มองดูนกในอากาศที่กำลังส่งเสียงร้องสรรเสริญ  มันไม่ต้องกังวลเรื่องราวใดๆ เพราะ มันมิได้หว่าน  มิได้เกี่ยว  และถึงกระนั้น  พระบิดายิ่งใหญ่ทรงประทานสิ่งที่จำเป็นแก่มัน  พระผู้ช่วยให้รอดตรัสถามว่า  ท่านทั้งหลายมีประเสริฐกว่านกหรือ  (มัทธิว 6:26)  พระผู้ทรงเป็นผู้ดูแลที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายได้ทรงกางพระ หัตถ์ของพระองค์ออกและจัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง  นกในอากาศไม่ได้อยู่นอกสายพระเนตรของพระองค์  พระองค์ไม่ได้ทรงใส่อาหารเข้าไปในจงอยปากของมัน  แต่พระองค์ทรงจัดเตรียมสิ่งที่มันต้องการ  พวกมันจะต้องรวบรวมรวงข้าวที่พระองค์ทรงกระจายไว้  มันจะต้องเตรียมวัสดุต่างๆ เพื่อสร้างรังน้อยๆ ของมัน  มันจะต้องเลี้ยงลูกนกน้อยของมัน  มันส่งเสียงร้องเพลงในขณะที่มันทำงานเพราะ  พระบิดาของท่านทั้งหลาย  ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้  และ  ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ  (มัทธิว 6:26)  ท่านทั้งหลายที่นมัสการพระเจ้าด้วยปัญญาและจิตวิญญาณจะมีค่าน้อยกว่านกใน อากาศเหล่านี้หรือ  พระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตของเรา  พระผู้ทรงรักษาชีวิตของเรา  พระองค์ผู้ทรงสร้างเราในพระฉายาของพระองค์จะไม่ทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ที่เราต้องการ  หากเพียงแต่เราจะวางใจในพระองค์หรือ  {SC 123.1}
                พระ คริสต์ทรงชี้ให้สาวกทั้งหลายของพระองค์มองดูดอกไม้ในทุ่งนาที่เบ่งบานอยู่ มากมายและส่องรัศมีด้วยความงดงามอันเรียบง่าย  ซึ่งพระบิดาในสวรรค์ทรงเป็นผู้ประทานให้  เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความรักของพระองค์ที่ทรงมีต่อมนุษย์  พระองค์ตรัสว่า  จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนาว่ามันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร  ความงามและความเรียบง่ายของดอกไม้ในธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่กว่าสง่าราศีของ กษัตริย์ชาโลมอน  อาภรณ์หรูหราที่สุดที่ตัดเย็บขึ้นมาอย่างประณีตไม่อาจเปรียบเทียบได้กับความ อ่อนหวานและความงดงามอันอิ่มเอิบของดอกไม้ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้  พระเยซูตรัสถามว่า  แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้นซึ่งเป็นอยู่วันนี้และวันรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ  โอ  ผู้มีความเชื่อน้อย  พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ  (มัทธิว 6:28, 30)  หากพระเจ้าผู้ทรงเป็นจิตรกรเอกประทานให้ดอกไม้ที่เรียบง่ายสุดซึ่งจะเหี่ยว แห้งไปในวันเดียวให้มีความละเอียดอ่อนและหลากสีแล้ว  พระองค์จะไม่ทรงใส่ใจดูแลผู้ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นตามแบบพระฉายาของพระองค์ ให้มากกว่านี้หรือ  บทเรียนของพระคริสต์เหล่านี้  ได้ตำหนิจิตใจที่ปราศจากความเชื่อซึ่งมีแต่ความคิดที่กังวล  ว้าวุ่นและสงสัย  {SC 123.2}
                องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ให้บุตรชายและบุตรหญิงทั้งหลายของพระองค์มีความสุข  มีสันติสุขและเชื่อฟัง  พระเยซูตรัสว่า  เรา มอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย  สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น  เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้อย่าให้ใจของท่านวิตก  และอย่ากลัวเลย  นี่คือสิ่งที่เราได้บอกแก่ท่านทั้งหลายแล้ว  เพื่อให้ความยินดีของเราดำรงอยู่ในท่าน  และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม  (ยอห์น 14:27, 15:11)  {SC 124.1}
                ความ สุขสำราญที่อยู่นอกเส้นทางของหน้าที่ในชีวิตซึ่งหามาได้ด้วยเป้าหมายที่เห็น แก่ตัวนั้นจะเป็นความสุขที่ไม่สมดุล  ชั่วคราวและไม่คงทนถาวร  ความสุขนั้นจะหมดไป  และจิตวิญญาณจะมีแต่ความโดดเดี่ยวและความโศกเศร้าแต่งานรับใช้พระเจ้าจะให้ ความปิติยินดีและความพึงพอใจ  คริสเตียนจะไม่ถูกทอดทิ้งให้เดินอยู่บนเส้นทางที่ไม่แน่นอน  เขาจะไม่ตกอยู่ในความเสียใจและความผิดหวังที่ไร้สาระ  หากเส้นทางชีวิตของเราในปัจจุบันนี้ไม่อาจให้ความสุขสำราญแก่เราแล้ว  เรายังคงมีความสุขได้โดยการมองไปยังชีวิตในภายภาคหน้า  {SC 124.2}
                แม้ ในเวลานี้คริสเตียนยังมีความสุขกับการสื่อสัมพันธ์ร่วมกับพระคริสต์ได้  พวกเขายังจะได้รับแสงสว่างในความรักของพระองค์  การปลอบประโลมซึ่งจะมีอยู่ตลอดไปจากการทรงร่วมสถิตอยู่ด้วยของพระองค์  ทุกย่างก้าวของชีวิตจะนำเราให้เข้าใกล้ชิดพระเยซูมากยิ่งขึ้น  จะนำเราให้มีประสบการณ์ในความรักของพระองค์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น  และจะนำเราให้เข้าใกล้บ้านสันติสุขอันประเสริฐได้อีกก้าวหนึ่ง  ดังนั้น  จงอย่าละทิ้งความเชื่อมั่นของเรา  แต่ให้มีความหวังใจที่มั่นคง  ซึ่งมั่นคงยิ่งกว่าที่เคยมีมา  พระเจ้าทรงช่วยพวกเราจนบัดนี้  และพระองค์ก็จะช่วยเราจนถึงที่สุด  (1 ซามูเอล 7:12)  ให้เรามองไปยังอนุสรณ์  สำคัญที่เตือนความทรงจำของเราว่าพระเจ้าทรงกระทำการใดเพื่อปลอบประโลมใจเรา และทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากมือของผู้ทำลาย  ให้เราเก็บความทรงจำถึงพระเมตตาคุณอันอ่อนโยนที่พระเจ้าทรงมีต่อเราให้ใหม่ อยู่เสมอ  น้ำตาที่พระองค์ทรงเช็ดให้  ความเจ็บปวดที่พระองค์ทรงบรรเทาให้ความกังวลที่ทรงขจัดทิ้ง  ความกลัวที่ทรงขับออกไป  ความขัดสนที่ได้ทรงเติมให้เต็ม  พระพรที่ทรงประทานด้วยการทำเช่นนี้  จะเป็นการเพิ่มพละกำลังให้แก่ตัวของเราเองเพื่อเผชิญหน้ากับทุกสิ่งตลอดเส้น ทางการเดินทางของเราที่ยังเหลืออยู่ในโลกนี้  {SC 125.1}
                เราไม่อาจทำอย่างอื่นได้นอกจากมองไปยังความงงงวยใหม่ที่มีในความขัดแย้งที่กำลังจะมาถึง  แต่เรามองย้อนหลังพร้อมกับมองไปยังเบื้องหน้าได้และพูดว่า  พระเจ้าทรงช่วยพวกเราจนบัดนี้  วันคืนของท่านเป็นอย่างไร  ขอให้กำลังของท่านเป็นอย่างนั้น  (1 ซามูเอล 7:12, เฉลยธรรมบัญญัติ 33:25 TKJV)  การทดลองจะไม่หนักเกินกำลังที่เราจะรับได้  ซึ่งเป็นกำลังที่จะช่วยให้เราทนต่อการทดลองนั้นได้  เมื่อเป็นเช่นนั้น  ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญหน้ากับงานในสถานที่ใดก็ตาม  ขอให้เราลงมือทำงานนั้น  โดยเชื่อว่า  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม  พระเจ้าจะประทานกำลังอย่างพอเพียงให้แก่เรา  เพื่อเราจะทนต่อการทดลองที่เราต้องเผชิญ  {SC 125.2}
                และ ในไม่ช้าประตูสวรรค์จะเปิดออกรับเหล่าบุตรทั้งหลายของพระเจ้าและพวกเขาจะได้ ยินคำอวยพรซึ่งเป็นเสมือนดนตรีที่ไพเราะที่สุดดังมาจากพระโอษฐ์ของพระราชา พระผู้ทรงเต็มด้วยพระสิริว่า  ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา  จงมารับเอาราชอาณาจักร  ซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก  (มัทธิว 25:34)  {SC 125.3}
                แล้ว บรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดจะได้รับการต้อนรับกลับบ้านที่พระเยซูทรงจัด เตรียมไว้ให้พวกเขา  ในสถานที่นั้นจะไม่มีคนถ่อยของแผ่นดินโลก  คนพูดมุสา  คนกราบไหว้รูปเคารพ  คนไม่บริสุทธิ์และคนไม่เชื่อมาเป็นพวกพ้อง  แต่พวกเขาจะมีเพื่อนเป็นผู้ที่ได้ชัยชนะเหนือซาตานและได้สร้างอุปนิสัยที่ สมบูรณ์แบบโดยพระคุณของพระเจ้า  พระโลหิตของพระคริสต์ได้ขจัดความโน้มเอียงที่จะทำบาปทั้งหลาย  ความไม่บริบูรณ์ทั้งหมดที่ทำให้พวกเขาทุกข์ในอยู่ในเวลานี้จะออกไป  และพวกเขาจะได้รับคุณความดีและความสดใสแห่งพระสิริของพระเจ้าซึ่งเจิดจ้า ยิ่งกว่าแสงของดวงอาทิตย์  ความงดงามทางฝ่ายศีลธรรม และอุปนิสัยอันสมบูรณ์แบบของพระคริสต์จะส่องผ่านพวกเขาด้วยคุณค่าที่มากเกิน กว่าความงามที่มองเห็นได้จากภายนอก  พวกเขาจะปราศจากความผิดในขณะที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์สีขาวที่ยิ่ง ใหญ่ของพระเจ้า  เพื่อจะได้ร่วมรับเกียรติยศและสิทธิพิเศษที่เป็นของทูตสวรรค์ทั้งหลาย  {SC 126.1}
                เมื่อคำนึงถึงมรดกอันรุ่งโรจน์ที่จะเป็นของเขานั้น  เขาจะ  นำอะไรไปและเอาชีวิตของตนกลับคืนมา  เล่า  (มัทธิว 16:26)  เขาอาจจะเป็นคนยากจนแต่เขาจะได้เป็นเจ้าของสมบัติและเกียรติยศที่โลกนี้ไม่ สามารถมอบให้เขาได้  เมื่อจิตวิญญาณได้รับการไถ่ให้รอดและได้รับการชำระจากบาปได้มอบถวายพละกำลัง ทั้งหมดของเขาในการรับใช้พระเจ้าแล้ว  เขาก็จะมีคุณค่ามากเกินมหาศาล  และจะมีความสุขในแผ่นดินสวรรค์ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและเหล่าทูตสวรรค์ บริสุทธิ์เมื่อมีจิตวิญญาณดวงหนึ่งได้รับความรอด  เป็นความสุขที่แสดงออกมาเป็นบทเพลงแห่งชัยชนะที่บริสุทธิ์  {SC 126.2}

Visit us for more information http://www.greatesthope.com

For more information, please contact 
Alejandro at mienfield@yahoo.com
or contact
Thailand Adventist Mission 
12 Soi Pridi Banomyong 37, Sukhumvit 71
Klongtan Nua, Wattana, Bangkok 10110
 
Telephone: 02-391-3595, 02-391-0525
Fax: 02-381-1928
 
Information:  
P.O. Box 234 Prakanong Bangkok 10110 Thailand
 

VISIT ALSO


http://www.adventist.or.th/

http://thaivop.com/

จะทำอย่างไรกับความสงสัย




เคล็ดลับที่ 12
จะทำอย่างไรกับความสงสัย

                มีคนมากมายโดยเฉพาะผู้ที่เป็นคริสเตียนใหม่ที่บางครั้งจะรู้สึกเป็นทุกข์กับ ความคิดที่ชวนให้สงสัย  มีหลายอย่างในพระคัมภีร์ที่พวกเขาอธิบายหรือเข้าใจไม่ได้  และซาตานใช้สิ่งเหล่านี้สั่นคลอนความเชื่อมั่นว่า  พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า  พวกเขาถามว่า  เราจะทราบได้อย่างไรว่าทางนี้ถูกต้อง หากพระคัมภีร์เป็นพระวจนะที่แท้จริงของพระเจ้าแล้วเราจะทำอย่างไรที่จะให้หลุดพ้นจากความสงสัยและความกังวลใจเหล่านี้ได้  {SC 105.1}
                พระ เจ้าไม่เคยขอให้เราเชื่อโดยไม่ได้ประทานหลักฐานอย่างเพียงพอให้แก่เราเพื่อ ใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวความเชื่อ  เรายอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า  พระลักษณะของพระองค์  ความสัตย์จริงที่มีอยู่ในพระวจนะของพระองค์ก็มีข้อพิสูจน์มากมายยืนยันต่อ สามัญสำนึกของเรา  แต่กระนั้นพระเจ้าไม่เคยขวางกั้นความคิดของผู้ที่อยากสงสัย  ความเชื่อของเราจะต้องวางอยู่บนหลักฐานที่ชัดเจนไม่ใช่วางอยู่บนความรู้สึก  ผู้ที่อยากสงสัยจะมีเรื่องให้เขาสงสัยได้  ส่วนผู้ที่ต้องการรู้ความจริงอย่างจริงใจก็จะพบหลักฐานมากมายที่เขาจะใช้ยึด ความเชื่อได้  {SC 105.2}
                อัครทูตเปาโลอุทานว่า  โอ  พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้นล้ำลึกเท่าใด  ข้อตัดสินของพระองค์เหลือที่จะหยั่งรู้ได้และทางของพระองค์เหลือที่จะสืบเสาะได้  (โรม 1:33)  แต่แม้  เมฆและความมืดทึบอยู่รอบพระองค์ความชอบธรรมและความยุติธรรมเป็นรากฐานแห่งบัลลังก์ของพระองค์  (สดุดี 97:2)  เราพอจะเข้าใจวิธีที่พระเจ้าปฏิบัติต่อเราและพระประสงค์ที่หนุนอยู่เพื่อเรา จะมองเห็นความรักและพระเมตตาคุณอันไร้ขอบเขตซึ่งเข้าร่วมกับอำนาจที่ไม่ จำกัดของพระเจ้า  เราพอจะเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าได้เท่าที่จะเป็นประโยชน์ให้เราได้รับ รู้  และนอกเหนือจากนี้ไป  เรายังต้องวางใจในพระหัตถ์อันทรงพลานุภาพและพระหทัยที่เปี่ยมด้วยรักของ พระองค์  {SC 106.1}
                พระ วจนะของพระเจ้ามีลักษณะเหมือนพระองค์ผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดพระวจนะนั้นเสนอ ความล้ำลึกที่มนุษย์ผู้ต้องตายไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด  ความบาปที่เข้ามาในโลก  การเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระคริสต์  การบังเกิดใหม่  การฟื้นคืนพระชนม์  และเรื่องอื่นๆ อีกมากมายในพระคัมภีร์ที่ล้ำลึกเกินคำอธิบายของสมองมนุษย์หรือแม้ที่จะเข้า ใจอย่างกระจ่างแจ้ง  แต่เราไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยพระวจนะของพระเจ้าเพียงเพราะเราไม่เข้าใจความ ลึกล้ำในการทรงนำของพระองค์  ในโลกธรรมชาติ  มีเรื่องลึกลับมากมายล้อมอยู่รอบตัวเราที่เราเข้าใจไม่ได้  สิ่งมีชีวิตต่ำที่สุดก็ยังมีปัญหาที่นักปรัชญาฉลาดที่สุดหาคำอธิบายไม่ได้  ทุกแห่งทุกหนมีความลึกลับอัศจรรย์ที่เกินความเข้าใจของเรา  แล้วเราจะต้องแปลกใจด้วยหรือว่า  จะมีเรื่องลึกลับที่เราไม่อาจเข้าใจได้โลกของฝ่ายวิญญาณ  สาเหตุทั้งหมดที่เราไม่เข้าใจเกิดจากความอ่อนแอและความคับแคบของสติปัญญา มนุษย์  พระเจ้าทรงประทานหลักฐานไว้มากพอในพระคัมภีร์ซึ่งกล่าวถึงพระลักษณะของ พระองค์  และเราจะต้องไม่สงสัยพระวจนะของพระองค์เพียงเพราะเราทำความเข้าใจความลึกลับ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงโปรดประทานไว้ไม่ได้  {SC 106.2}
                อัครทูตเปโตรกล่าวในพระคัมภีร์ว่า  มีบางข้อที่เข้าใจยาก  ซึ่งคนทั้งหลายที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์  และมีใจไม่แน่นอนมั่นคงได้บิดเบือน.....อันเป็นเหตุให้ตนเองพินาศ  (2 เปโตร 3:16)  คนช่างสงสัยมักจะยกข้อพระคัมภีร์ที่เข้าใจยากมาเป็นข้ออ้างเพื่อโต้พระ คัมภีร์  แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย  มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า  หากพระคัมภีร์ไม่ได้ประกอบด้วยเรื่องของพระเจ้า  แต่ประกอบด้วยเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย  หากสมองอันจำกัดเข้าใจความยิ่งใหญ่และพระอำนาจของพระเจ้าได้อย่างไม่ผิดพลาด เรื่องยิ่งใหญ่และลึกลับที่มีอยู่ในพระคัมภีร์นั้นมีไว้เพื่อหนุนใจให้เกิด ความเชื่อมั่นว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า  {SC 107.1}
                พระ คัมภีร์เปิดเผยความจริงอย่างเรียบง่ายและปรับให้เข้ากับความต้องการและความ ปรารถนาของจิตใจมนุษย์ได้อย่างดีเลิศ  สมองของผู้ที่ได้รับการพัฒนาถึงขั้นสูงสุดแล้วยังต้องตะลึงและชื่นชมในความ จริงเหล่านี้  ในขณะที่คนต่ำต้อยและไร้การศึกษาก็ยังมองเห็นทางแห่งความรอดได้  และนอกเหนือจากนี้  ความจริงที่บันทึกไว้อย่างเรียบง่ายเหล่านี้ยังมีเนื้อหาที่สูงส่ง  มีแนวคิดที่กว้างไกลเกินความสามารถของมนุษย์จะเข้าใจได้  และเรารับความจริงเหล่านั้นได้เพราะพระเจ้าได้ทรงเปิดเผยให้เท่านั้น  ด้วยเหตุนี้  แผนการแห่งความรอดจึงได้เปิดไว้ให้แก่เราเพื่อจิตวิญญาณทุกดวงจะได้มองเห็น ทุกย่างก้าวในการดำเนินที่นำไปสู่การกลับใจไปหาพระเจ้าและในความเชื่อที่จะ นำไปหาองค์พระเยซูคริสต์เพื่อจะได้รับความรอดในวิถีทางที่พระเจ้าทรงจัด เตรียมไว้  แต่ถึงกระนั้น  ภายใต้ความจริงที่เข้าใจได้ง่ายเหล่านี้  ก็ยังมีความลึกลับที่ปิดซ่อนพระสิริของพระองค์อยู่  เป็นความลึกลับที่มีอำนาจเหนือความคิดในการศึกษาค้นคว้าของมนุษย์  แต่จะหนุนใจผู้แสวงหาความจริงด้วยความเคารพยำเกรงและความเชื่อ  เมื่อเขายิ่งค้นคว้าพระคัมภีร์มากขึ้นเท่าไร  เขาก็จะยิ่งมั่นใจว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์  และเหตุผลของมนุษย์ก็จะกราบลงเบื้องหน้าความยิ่งใหญ่ในการเปิดเผยของพระ เจ้า  {SC 107.2}
                การ ยอมรับว่าเราเข้าใจความจริงยิ่งใหญ่ของพระคัมภีร์ทั้งหมดไม่ได้นั้นก็เพียง แต่ยอมรับว่าสมองที่มีข้อจำกัดนั้นไม่อาจที่จะเข้าใจเรื่องอันไม่มีขอบเขต ได้ด้วยมนุษย์ที่มีความรู้อันจำกัด  ไม่อาจเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าผู้ทรงสัพพัญญูได้  {SC 108.1}
                กลุ่ม คนช่างสงสัยและผู้ที่ไม่มีความเชื่อจะปฏิเสธพระวจนะของพระเจ้าเพราะว่าพวก เขาหยั่งรู้ความล้ำลึกทั้งหมดที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ไม่ได้  และไม่ใช่ทุกคนที่ประกาศว่าตนเชื่อในพระคัมภีร์จะรอดพ้นจากภัยอันตรายใน เรื่องนี้  อัครทูตกล่าวว่า  ดูก่อน  ท่านพี่น้องทั้งหลาย  จงระวังให้ดีเพื่อจะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดในพวกท่านมีใจชั่วและไม่เชื่อ  คือใจที่พาท่านหลงไปจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์  (ฮีบรู 3:12)  การใส่ใจศึกษาคำสอนของพระคัมภีร์และค้นหา  ความล้ำลึกของพระเจ้า  เท่าที่เปิดเผยไว้ในพระคัมภีร์  เป็นสิ่งที่จะต้องทำ  (1 โครินธ์ 2:10)  ในขณะที่  สิ่งลี้ลับทั้งปวงเป็นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย  แต่สิ่งทรงสำแดงนั้น.....เพื่อเราจะกระทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของกฎหมายนี้  (เฉลยธรรมบัญญัติ 29:29)  แต่งานของซาตานคือบิดเบือนความสามารถของสติปัญญาในการตรวจสอบ  ความหยิ่งเล็กน้อยระคนอยู่ในการพินิจพิจารณาความจริงของพระคัมภีร์ทำให้คน รู้สึกหงุดหงิดและพ่ายแพ้เมื่ออธิบายพระคัมภีร์ทุกตอนจนเป็นที่พึงพอใจไม่ ได้  เป็นเรื่องน่าอับอายเหลือเกินที่จะยอมรับว่าเขาเข้าใจพระวจนะที่ได้รับการดล ใจไม่ได้  พวกเขาไม่เต็มใจที่จะรอด้วยความอดทนจนพระเจ้าเห็นชอบที่จะเปิดเผยความจริง ให้แก่เขา  พวกเขารู้สึกว่าสติปัญญาของเขาดีพอที่จะเข้าใจพระคัมภีร์ได้โดยไม่ต้องการ ความช่วยเหลือและเมื่อเขาพลาดที่จะเข้าใจ  เขาก็แทบจะปฏิเสธแหล่งอำนาจของพระคัมภีร์จริงอยู่มีทฤษฎีและคำสอนมากมายที่ ยอมรับกันอย่างกว้างขวางโดยอนุมานว่ามาจากพระคัมภีร์นั้นเป็นคำสอนที่ไม่มี รากฐานในพระคัมภีร์และยังขัดแย้งกับสิ่งที่ทรงดลใจทั้งหมดอย่างแท้จริง  สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้สมองของคนมากมายเกิดความสงสัยและไม่มั่นใจ  แต่อย่างไรก็ตาม  เป็นเรื่องที่จะโทษพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้  แต่เกิดจากการบิดเบือนของมนุษย์ต่างหาก  {SC 108.2}
                หาก จะให้มนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างมานั้นเข้าใจพระเจ้าและพระราชกิจทั้งหลายของ พระองค์ได้ทั้งหมดแล้ว  เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว  มนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องค้นหาความจริงอีกต่อไป  จะไม่ต้องเพิ่มพูนความรอบรู้  ไม่ต้องพัฒนาสติปัญญาหรือจิตใจ  พระเจ้าไม่ทรงความเป็นใหญ่อีกต่อไป  และเมื่อมนุษย์ก้าวมาถึงจุดสูงสุดของความรู้และความสำเร็จ  มนุษย์ก็จะหยุดที่จะก้าวต่อไป  ให้เราขอบคุณพระเจ้าที่มนุษย์ไม่ได้เป็นเช่นนี้  พระเจ้าทรงไม่มีขอบเขตจำกัด  คลังสติปัญญาและความรู้ทุกอย่าง  ทรงปิดซ่อนไว้ในพระองค์  (โคโลสี 2:3)  และตลอดชั่วนิรรันดร์กาล  มนุษย์จะค้นคว้าต่อไป  เรียนรู้ไปตลอดและจะไม่มีวันที่จะใช้ขุมทรัพย์แห่งพระปัญญา  คุณความดีและอำนาจของพระองค์ได้หมด  {SC 109.1}
                พระ เจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะเปิดเผยความจริงที่มีอยู่ในพระวจนะของพระองค์ให้ แก่ประชากรของพระองค์  มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่เราจะได้รับความรู้นี้  เราจะได้ความรู้ความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าผ่านทางการทำให้กระจ่างขึ้น โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น  พระวิญญาณทรงเป็นผู้ประทานพระวจนะนี้  พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น  เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า  (1 โครินธ์ 2:11, 10)  และพระผู้ช่วยให้รอดทรงสัญญากับผู้ติดตามของพระองค์ว่า  เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว  พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล.....เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย  (ยอห์น 16:13, 14)  {SC 109.2}
                พระ เจ้าทรงปรารถนาที่จะให้มนุษย์ฝึกฝนการใช้เหตุผล  และการศึกษาพระคัมภีร์จะทำให้สมองมีประสิทธิภาพดีขึ้นและสูงส่งขึ้นอย่างที่ ไม่มีการศึกษาอื่นใดสามารถทำได้  แต่เราจะต้องระมัดระวังการบูชาเหตุผลซึ่งเป็นจุดอ่อนและจุดบกพร่อง ของมนุษยชาติ  หากเราไม่ต้องการให้ความเข้าใจของเราบดบังพระคัมภีร์จนเราเข้าใจความจริง เรียบง่ายที่สุดไม่ได้  เราจะต้องมีความเรียบง่ายและความเชื่อเหมือนกับเด็กเล็กๆ พร้อมที่จะเรียนรู้และวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  เมื่อเราตระหนักถึงอำนาจและพระปัญญาของพระเจ้าและความไม่สามารถของเราในการ ที่จะเข้าใจความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแล้ว  เรื่องนี้จะต้องดลบันดาลเราให้ถ่อมใจลง  และเราจะต้องเปิดพระวจนะของพระองค์ด้วยความยำเกรงเช่นเดียวกับเวลาที่เรา เข้าเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์  เมื่อเราเข้ามาหาพระคัมภีร์  ความมีเหตุผลของเราจะต้องยอมรับอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าเหตุผล  และจิตใจรวมทั้งสติปัญญาจะต้องน้อมคำนับลงต่อพระเจ้าผู้ทรง  เป็นซึ่งเราเป็น  {SC 109.3}
                มี หลายสิ่งที่ดูว่ายากและคลุมเครือ  แต่พระเจ้าจะทรงประทานความกระจ่างและความเข้าใจให้แก่ผู้ที่แสวงหาความเข้า ใจ  ถ้าหากเราไม่ได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  เราจะเลี่ยงต่อการที่จะต้องปล้ำสู่กับพระคัมภีร์หรือแปลความหมายผิดได้ตลอด เวลา  มีการอ่านพระคัมภีร์มากมายที่ไม่เกิดประโยชน์และในหลายๆ กรณีกลับส่งผลเสีย  เมื่อเราเปิดพระวจนะของพระเจ้าโดยปราศจากความรู้สึกยำเกรงและปราศจากการอธิษ ฐาน  เมื่อความนึกคิดและความรู้สึกของเราไม่ได้ติดสนิทอยู่กับพระเจ้า  หรือประสานเข้ากับน้ำพระทัยของพระองค์  เมื่อนั้นความนึกคิดของเราจะถูกครอบงำด้วยความสงสัยและการศึกษาพระคัมภีร์ใน สภาพเช่นนี้จะทำให้ความสงสัยมีอำนาจมากขึ้นศัตรูจะเข้าควบคุมความคิด  และมันจะเสนอคำแปลที่มีความหมายไม่ถูกต้อง  เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ไม่ได้แสวงหาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า ทั้งในพระธรรมและการกระทำแล้ว  ไม่ว่าเขาจะเรียนมามากเพียงไร  เขาก็อาจจะเข้าใจพระคัมภีร์ผิดได้  และการวางใจในคำอธิบายของเขาก็เป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัย  ผู้ที่มองเห็นความขัดแย้งในพระคัมภีร์  ก็เป็นผู้ที่ไม่มีสายตาทางฝ่ายวิญญาณ  เนื่องจากสายตาของพวกเขาผิดเพี้ยน  พวกเขาจึงมองสิ่งที่เรียบง่ายและชัดเจนกลายเป็นสิ่งที่สร้างความสงสัยและ ความไม่เชื่อให้แก่เขา  {SC 110.1}
                ใน แทบทุกกรณีไม่ว่าจะมีการอำพรางกันอย่างไรก็ตาม  ความรักในบาปคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดความสงสัยและความแคลงใจ  จิตใจที่หยิ่งยโสและรักบาปจะไม่ยินดีรับฟังคำสอนและข้อห้ามต่างๆ ที่มีอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า  และผู้ที่ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ก็พร้อมที่จะสงสัยอำนาจ ของพระวจนะ  การที่จะเข้าถึงความจริงได้นั้น  เราจะต้องมีความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะเรียนรู้ความจริงและมีความเต็มใจที่ จะปฏิบัติตามและทุกคนที่เข้ามาศึกษาพระคัมภีร์ด้วยวิญญาณจิตเช่นนี้  จะพบหลักฐานมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า  พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า  และเขาก็จะเข้าใจความจริงที่ให้เขา  ได้ปัญญาถึงความรอด  (2 ทิโมธี 3:15 TKJV)  {SC 111.1}
                พระคริสต์ตรัสว่า  ถ้าผู้ใดตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้นั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนั้นมาจากพระเจ้า  (ยอห์น 7:17)  แทนที่จะคอยตั้งข้อสงสัยและคอยจับผิดสิ่งที่ท่านไม่เข้าใจ  ขอให้ท่านใส่ใจกับแสงสว่างที่ส่องมาถึงตัวของท่าน  แล้วท่านจะได้รับแสงที่สว่างมากยิ่งขึ้น  โดยพระคุณของพระคริสต์  จงประกอบหน้าที่ทุกๆ หน้าที่ที่เปิดให้กับความเข้าใจอย่างถ่องแท้ของท่านแล้วท่านก็จะเข้าใจและทำ ในส่วนที่ท่านยังสงสัยอยู่ในเวลานี้  {SC 111.2}
                มีอยู่หลักฐานหนึ่งที่เปิดให้กับทุกคน  ทั้งแก่ผู้ที่มีการศึกษาสูงที่สุดและผู้ที่ไม่มีการศึกษาเลย  นั่นคือ  หลักฐานของประสบการณ์  พระเจ้าทรงเชิญชวนเราให้พิสูจน์ความจริงในพระวจนะของพระองค์ด้วยตัวของเราเอง  พิสูจน์ความจริงในเรื่องพระสัญญาของพระองค์  พระองค์ทรงเชิญชวนเราให้  ชิมดูแล้วจะเห็นว่าพระเจ้าประเสริฐ  (สดุดี 34:8)  แทนที่จะวางใจในคำพูดของผู้อื่นเราจะต้องทดสอบด้วยตัวเราเอง  พระองค์ทรงประกาศว่า  จงขอแล้วจะได้  (ยอห์น 16:24)  ก็จะเป็นไปตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้  พระสัญญาของพระเจ้าไม่เคยล้มเหลวและไม่มีทางที่จะล้มเหลวและเมื่อเราเข้ามาใกล้พระเยซูและชื่นชมกับความรักอันไพบูลย์ของพระองค์แล้ว  ความสงสัยและความมืดมนจะหายสาบสูญไปในความสว่างแห่งการทรงร่วมสถิตอยู่ของพระองค์  {SC 111.2}
                อัครทูตเปาโลกล่าวว่า  พระเจ้า  ทรงช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของความมืด  และได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในแผ่นดินแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์  (โคโลสี 1:13)  และทุกคนที่ก้าวออกจากความตายไปสู่ชีวิตจะ  ประทับตราลงว่าพระเจ้าสัตย์จริง  (ยอห์น 3:33)  เขาก็จะเป็นพยานว่า  ข้าพเจ้า ต้องการความช่วยเหลือและข้าพเจ้าก็พบการช่วยเหลือนั้นในองค์พระเยซู  ความต้องการในทุกสิ่งก็ได้รับการเติมเต็ม  จิตวิญญาณที่หิวกระหายก็ได้รับความเต็มอิ่มและบัดนี้  พระคัมภีร์ก็เป็นหนังสือที่เปิดเผยเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ให้แก่ ข้าพเจ้า  ท่านอาจถามว่า  ทำไมข้าพเจ้าจึงเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์  ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าส่งมาให้แก่ข้าพเจ้า  แล้วทำไมข้าพเจ้าจงเชื่อในพระคัมภีร์  ก็เพราะข้าพเจ้าได้พบว่า  พระคัมภีร์เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับจิตวิญญาณของข้าพเจ้า  เราจะเป็นพยานให้กับตัวของเราเองว่า  สิ่งต่างๆ ในพระคัมภีร์เป็นความจริง  พระคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  เรามั่นใจได้ว่า  เราไม่ได้ติดตามนวนิยายที่ถูกแต่งขึ้นด้วยความเจ้าเล่ห์  {SC 112.1}
                เปโตร สนับสนุนพี่น้องของท่านให้  เจริญขึ้นในพระคุณและในความรู้ซึ่งมากจากพระเยซูคริสต์  องค์พระผู้เป็นเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา  (2 เปโตร 3:18)  เมื่อประชากรของพระเจ้าเติบโตขึ้นในพระคุณ  พวกเขาก็จะเข้าใจพระวจนะของพระองค์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น  พวกเขาจะมองเห็นความจริงศักดิ์สิทธิ์ด้วยแสงสว่างและความงดงามใหม่  สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์คริสตจักรตลอดทุกยุคสมัย  และจะเป็นเช่นนี้จนถึงสินยุค   “วิถีของคนชอบธรรมเหมือนแสงอรุณซึ่งฉายสุกใสยิ่งขึ้นๆ จนเต็มวัน  (สุภาษิต 4:18)  {SC 112.2}
                โดย ความเชื่อเราจะมองไปยังภาคหน้าและยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้าซึ่งจะทำให้ เราเติบใหญ่ขึ้นทางปัญญา  เมื่อความสามารถของมนุษย์ประสานเข้ากับพระเจ้า  และพลังอำนาจทั้งหมดของจิตวิญญาณถูกนำให้เข้ามาสัมผัสโดยตรงกับพระเจ้า ผู้ทรงเป็นแหล่งของความสว่าง  หลังจากนั้นเราได้รับการทำให้กระจ่างแจ้ง  สิ่งต่างๆ ที่เข้าใจยากก็จะมีคำอธิบาย  และสิ่งที่สมองอันมีขอบเขตจำกัดของเรามองเห็นแต่เพียงความมุ่งหมายที่สับสน และแตกแยกนั้น  เราก็จะมองเห็นความกลมกลืนที่สมบูรณ์แบบและสวยงามที่สุด  เพราะบัดนี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจกเงา  แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน  เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์  เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า  (1 โครินธ์ 13:12)  {SC 112.3}


Visit us for more information http://www.greatesthope.com

For more information, please contact 
Alejandro at mienfield@yahoo.com
or contact
Thailand Adventist Mission 
12 Soi Pridi Banomyong 37, Sukhumvit 71
Klongtan Nua, Wattana, Bangkok 10110
 
Telephone: 02-391-3595, 02-391-0525
Fax: 02-381-1928
 
Information:  
P.O. Box 234 Prakanong Bangkok 10110 Thailand
 

VISIT ALSO


http://www.adventist.or.th/

http://thaivop.com/

อภิสิทธิ์ของการอธิษฐาน



เคล็ดลับที่ 11
อภิสิทธิ์ของการอธิษฐาน

                พระเจ้าตรัสกับเราโดยทางธรรมชาติและโดยทางพระคัมภีร์  โดยการทรงนำของพระองค์และโดยอิทธิพลของพระวิญญาณของพระองค์  แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่พอ  เราจำเป็นต้องเปิดจิตใจของเราออกให้แก่พระองค์  เราต้องมีการสื่อสัมพันธ์กับพระบิดาในสวรรค์ของเรา  เพื่อเราจะได้มีชีวิตและพละกำลังฝ่ายวิญญาณ  ความนึกคิดของเราจะต้องถูกดึงเข้าไปหาพระองค์  เราใคร่ครวญถึงพระราชกิจของพระองค์  หากเราต้องการสื่อสัมพันธ์อย่างสนิทสนมร่วมกับพระเจ้าแล้ว  เราจะต้องมีเรื่องราวในชีวิตของเราที่จะนำขึ้นทูลต่อพระองค์ได้  {SC 93.1}
                การ อธิษฐานเป็นการเปิดอกพูดคุยกับพระเจ้าเหมือนเราเปิดอกพูดกับเพื่อนฝูง  การอธิษฐานไม่ได้มีไว้เพื่อให้พระเจ้ารู้จักเรา  แต่มีไว้เพื่อให้เราต้อนรับพระองค์  การอธิษฐานไม่ได้นำพระเจ้าลงมาหาเรา  แต่นำเราขึ้นไปหาพระองค์  {SC 93.2}
                เมื่อ พระเยซูเสด็จมาอยู่ในโลกนั้น  พระองค์ทรงสอนสาวกวิธีอธิฐาน  พระองค์ทรงสอนให้พวกเขานำความต้องการของแต่ละวันทูลขอต่อเบื้องพระพักตร์พระ เจ้า  และมอบความกังวลใจทั้งหมดให้พระองค์  และพระองค์ทรงประทานความเชื่อมั่นให้แก่พวกเขาว่า  พระเจ้าจะสดับฟังคำทูลขอของพวกเขา  นี่เป็นความเชื่อมั่นที่ทรงโปรดประทานให้แก่พวกเราด้วย  {SC 93.3}
                ใน ขณะที่พระเยซูทรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์นั้น  พระองค์ทรงอธิษฐานอยู่เสมอ  พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงนำตัวของพระองค์เองให้เข้ามามีส่วนในความต้องการ และความอ่อนแอของเรา  พระองค์ทรงอ้อนวอน  ทรงทูลขอ  ทรงเสาะแสวงหาแหล่งกำลังที่สดใหม่จากพระบิดาเพื่อให้พระองค์พร้อมที่จะก้าว มารับหน้าที่และการทดลองได้  พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของเราในทุกเรื่อง  ทรงเป็นพี่ชายในความอ่อนแอของเรา  พระองค์  ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ  แต่ในสภาพของผู้ที่ปราศจากบาปนั้น  ธรรมชาติของพระองค์ทรงออกห่างไปจากความชั่ว  พระองค์ทรงอดทนกับการดิ้นรนและการทรมานของจิตวิญญาณในโลกแห่งความบาป  ในขณะที่พระองค์ทรงสภาพเป็นมนุษย์นั้น  การอธิษฐานเป็นเรื่องจำเป็นและเป็นอภิสิทธิ์ของพระองค์  พระองค์ได้รับการปลอบประโลมใจและความสุขจากการสื่อสัมพันธ์กับพระบิดา  และหากพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ผู้ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า  ทรงตระหนักถึงความจำเป็นของการอธิษฐานแล้ว  มนุษย์ที่บาปหนา  อ่อนแอจะต้องการการอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอและร้อนรนมากยิ่งกว่าเพียงไร  {SC 93.4}
                พระ บิดาในสวรรค์ของเราทรงรอคอยที่จะประทานพระพรอันไพบูลย์ของพระองค์ให้แก่เรา  เป็นสิทธิพิเศษของเราที่จะได้ดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งรักอันไร้พรมแดนได้อย่าง เต็มที่  เป็นเรื่องน่าประหลาดที่พวกเราอธิษฐานกันน้อยนัก  พระเจ้าทรงพร้อมและเต็มพระทัยที่จะสดับฟังคำอธิษฐานที่จริงใจของบุตรที่ต่ำ ต้อยที่สุดของพระองค์  แต่เราก็ยังแสดงออกถึงความไม่มั่นใจอยู่เสมอ  เมื่อเราทูลพระเจ้าถึงความขัดสนของเรา  ทูตสวรรค์เบื้องบนจะคิดอย่างไรกับมนุษย์ผู้น่าสงสารที่ตกอยู่ภายใต้การทดลอง และช่วยตัวเองไม่ได้เหล่านี้  ในขณะที่พระทัยที่กอปรด้วยรักอันไม่มีขอบเขตจำกัดของพระเจ้า  คอยตามหาพวกเขา  ทรงพร้อมที่จะประทานให้เขามากกว่าที่พวกเขาจะขอหรือคิดได้  แต่กระนั้นพวกเขาเหล่านั้นก็ยังอธิษฐานน้อยเกินไปและยังมีความเชื่อเพียง น้อยนิด  ทูตสวรรค์ชอบที่จะก้มกราบอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า  พวกเขาชอบที่จะอยู่ใกล้ชิดพระองค์  พวกเขาถือว่าการสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นความสุขสูงส่งที่สุด  แต่เหล่าบุตรมนุษย์โลกผู้ต้องการความช่วยเหลือมากมายที่พระเจ้าเท่านั้นจะ เป็นผู้ประทานให้ได้กลับดูเหมือนว่าพอใจที่จะเดินโดยไม่มีแสงสว่างของพระ วิญญาณบริสุทธิ์  พระผู้ทรงเป็นมิตรภาพของการร่วมสถิตของพระองค์  {SC 94.1}
                ความมืดมนของสิ่งชั่วร้ายล้อมอยู่รอบบรรดาคนเหล่านั้นที่ละเลยการอธิษฐาน  เสียงกระซิบการล่อลวงของศัตรูชักนำพวกเขาให้ทำบาป  และทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาไม่ใช้สิทธิที่พระเจ้าทรงประทานให้เพื่อนัดหมายกับพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน  เหตุไฉนบุตรชายและบุตรหญิงของพระเจ้าจึงลังเลใจที่จะอธิษฐาน  ในเมื่อการอธิษฐานคือกุญแจในมือของผู้เชื่อเพื่อไขขุมทรัพย์แห่งสวรรค์ซึ่งเป็นแหล่งสมบัติที่นับไม่ถ้วนของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่  เมื่อปราศจากการอธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อนและการเฝ้าระวังอย่างแข็งขัน  เราจะตกเข้าไปสู่ภัยอันตรายของการไม่ระมัดระวังมากขึ้นและเดินออกห่างไปจากทางที่ถูกต้อง  ศัตรูคอยหาวิธีอย่างต่อเนื่องที่จะขวางกั้นหนทางที่นำไปสู่พระที่นั่งพระกรุณาธิคุณเพื่อไม่ให้เราทูลขออย่างจริงใจ  และความเชื่อที่จะได้มาซึ่งพระคุณและกำลังที่จะต่อต้านการทดลองได้  {SC 94.2}
                มี เงื่อนไขอยู่บางประการที่ทำให้เราคาดหวังให้พระเจ้าสดับฟังและตอบคำอธิษฐาน ของเราได้  เงื่อนไขประการแรกสุดคือ  เราต้องรู้สึกถึงความต้องการที่จะให้พระองค์ทรงช่วย  พระองค์ทรงสัญญาว่า  เราจะเทน้ำลงบนแผ่นดินที่กระหายและลำธารลงบนดินแห้ง  (อิสยาห์ 443)  ผู้ที่หิวและกระหายความชอบธรรม  ผู้ที่แสวงหาพระเจ้า  เขาจะมั่นใจได้ว่า  จะได้รับการเติมให้เต็ม  เราจะต้องเปิดใจของเราออกรับอิทธิพลของพระวิญญาณ  ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะรับพระพรของพระเจ้าไม่ได้  {SC 95.1}
                ความต้องการยิ่งใหญ่ของเราเป็นทั้งคำสนับสนุนและคำอ้อนวอนอยู่ในตัวที่ไพเราะที่สุดเพื่อเป็นประโยชน์ให้แก่เรา  แต่เราจะต้องแสวงหาพระเจ้าเพื่อขอพระองค์กระทำสิ่งเหล่านี้ให้แก่เรา  พระองค์ทรงตรัสว่า  จงขอแล้วจะได้  และพระเจ้า  มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  แต่ทรงประทานบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา  ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลายด้วยกันกับพระบุตรหรือ  (มัทธิว 7:7; โรม 8:32)  {SC 95.2}
                หาก เราเก็บความชั่วไว้ในใจของเรา  หากเรายึดความบาปที่เรารู้อยู่แก่ใจไว้ในตัว  พระเจ้าจะไม่ทรงสดับฟังเรา  แต่คำอธิษฐานของจิตวิญญาณที่สำนึกผิดและเสียใจจะได้รับการยอมรับอยู่เสมอ  เมื่อเราทำสิ่งที่ผิดที่เรารู้แก่ใจนั้นให้ถูก  เราจะมั่นใจได้ว่าพระเจ้าจะทรงตอบคำทูลของเรา  เราไม่มีทางเสนอความดีของเราเพื่อทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยได้  แต่เป็นการกระทำของพระเยซูเพื่อเราที่จะช่วยให้เรารอด  พระโลหิตของพระองค์จะชำระเรา  แต่กระนั้นเรามีงานที่จะต้องทำเพื่อจะได้ทำตามเงื่อนไขของการยอมรับ  {SC 95.3}
                เงื่อนไขอีกข้อหนึ่งของการอธิษฐานที่มีชัยชนะคือความเชื่อ  แต่ ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว  จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าไม่ได้เลย  เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้นต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่  และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์  (ฮีบรู 11:6)  พระเยซูตรัสกับบรรดาสาวกของพระองค์ว่า  ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใดจงเชื่อว่าได้รับ  และท่านจะได้รับสิ่งนั้น  (มาระโก 11:24)  เราเชื่อตามที่พระองค์ตรัสไว้หรือไม่  {SC 96.1}
                คำ สัญญาที่พระเจ้าประทานให้ไว้นั้นเปิดกว้างและไม่มีขีดจำกัด  และพระผู้ทรงรักษาสัญญานั้นสัตย์ซื่อ  เมื่อเราไม่ได้รับสิ่งที่เราทูลขอในช่วงเวลาที่เราขอ  เราก็ยังต้องเชื่อว่าพระเจ้าทรงสดับฟังและพระองค์จะทรงตอบคำอธิษฐานของเรา  เราทำผิดและสายตาสั้น  จนบางครั้งเราทูลขอสิ่งที่ไม่เป็นพรแก่ตัวเราเอง  และพระบิดาในสวรรค์ของเราทรงตอบคำอธิษฐานของเราด้วยความรัก  โดยจะทรงประทานสิ่งที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่เรา  ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะปรารถนาถ้าหากเราสามารถมองเห็นสิ่งทั้งหมดตามสภาพที่ เป็นจริงด้วยสายตาที่พระเจ้าทรงประทานให้  เมื่อดูเสมือนหนึ่งว่าคำอธิษฐานของเราไม่ได้รับคำตอบ  เราก็ยังต้องยึดมั่นในพระสัญญา  เพราะเวลาที่เราจะได้รับคำตอบนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน  และเราจะได้รับพระพรที่เราต้องการมากที่สุด  แต่การอ้างว่า  เมื่อเราอธิษฐาน  เราจะได้รับคำตอบตามที่เราอยากให้เป็นและได้รับสิ่งของตามที่เราอยากได้อยู่ เสมอ  ความคิดเช่นนี้เป็นการคาดเดาทึกทักขึ้นเอาเอง  พระเจ้าทรงมีพระปัญญาล้ำเลิศเกินที่จะทำผิดและพระองค์ทรงความดีเกินไปที่จะ เก็บของดีใดๆ ไว้จากผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง  ดังนั้นจงอย่างกลัวที่จะวางใจในพระองค์  แม้ท่านจะมองไม่เห็นคำตอบของคำอธิษฐานทันที่  จงวางใจในพระสัญญาที่แน่นอนของพระองค์ว่า  จงขอแล้วจะได้  {SC 96.2}
                หาก เราทูลขอจากพระเจ้าด้วยความสงสัยและความกลัว  หรือหาทางแก้ปัญหาทุกเรื่องโดยที่เรามองเห็นไม่ชัดเจน  การทำโดยไม่มีความเชื่อเช่นนี้จะเพียงแต่เป็นการเพิ่มความกังวลให้มากขึ้น และรุนแรงขึ้นเท่านั้น  แต่หากเราเข้ามาหาพระเจ้าด้วยความรู้สึกว่าช่วยตนเองไม่ได้  และต้องการที่พึ่งซึ่งเป็นสภาพที่แท้จริงของเราและทูลขอสิ่งที่เราต้องการ ต่อพระองค์ผู้ทรงรอบรู้สารพัดสิ่ง  ทูลขอด้วยความเชื่อที่ถ่อมตนและวางใจ  พระองค์ผู้ทรงมองเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างและผู้ทรงปกครองทุกสิ่ง ตามพระประสงค์และพระวจนะของพระองค์  พระองค์ทรงสดับฟังคำร้องทูลของเราได้และจะทรงสดับฟังอยู่เสมอ  และจะทรงบันดาลให้แสงสว่างส่องเข้ามายังจิตใจของเรา  โดยการอธิษฐานที่จริงใจ  เราจะถูกชักนำให้เข้ามาเชื่อมต่อกับพระปัญญาของพระเจ้าได้  เราอาจจะไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพระพักตร์ของพระผู้ไถ่ทรงก้มลงมาอยู่ เหนือเราด้วยความเมตตาและความรัก  แต่แท้จริงก็เป็นเช่นนั้น  เราอาจไม่รู้สึกได้ถึงการสัมผัสของพระเจ้าที่สายตาของเราจะมองเห็นได้  แต่พระหัตถ์ของพระเจ้าทรงสัมผัสเราด้วยความรักและพระเมตตาที่เปี่ยมด้วยพระ เมตตาสงสารอันอ่อนโยน  {SC 96.3}
                เมื่อเราเข้ามาทูลขอความเมตตาและพระพรจากพระเจ้า  จิตใจของเราจะต้องมีวิญญาณแห่งความรักและการให้อภัย  เราจะอธิษฐานได้อย่างไรว่า  ขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์  และยังคงจมอยู่ในความรู้สึกของการไม่ให้อภัย  (มัทธิว 6:12)  หากเราหวังที่จะให้พระเจ้าสดับฟังคำอธิษฐานของเรา  เราจะต้องอภัยให้แก่ผู้อื่นด้วยท่าทีเดียวกันและในขนาดเดียวกันกับที่เรา หวังจะได้รับการอภัย  {SC 97.1}
                ความพากเพียรในการอธิษฐานเป็นเงื่อนไขหนึ่งของการได้รับคำตอบ  เราจะต้องอธิษฐานอยู่เสมอหากเราต้องการเติบใหญ่ขึ้นในความเชื่อและประสบการณ์  เราจะต้อง  ขะมักเขม้นอธิษฐาน  อธิษฐานอย่างต่อเนื่องเพื่อ  เฝ้าระวังอยู่ในการนั้นด้วยขอบพระคุณ  (โรม 12:12; โคโลสี 4:2)  เปโตรกำชับผู้เชื่อให้  สงบใจเพื่อแก่การอธิษฐาน  (1 เปโตร 4:7)  เปาโลชี้แนะว่า  จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า  ด้วยการอธิษฐาน  การวิงวอนกับการขอบพระคุณ  (ฟิลิปปี 4:6)  ยูดากล่าวว่า  ท่านที่รักทั้งหลาย.....จงอธิษฐานในพระวิญญาณ  จงรักษาตัวไว้ให้ดำรงในความรักของพระเจ้า  (ยูดา 20, 21)  การอธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อนเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์อย่างไม่ขาดสายระหว่างจิตวิญญาณกับพระเจ้าให้ต่อเนื่องตลอดเวลา  เพื่อให้ชีวิตของพระเจ้าไหลเข้ามายังชีวิตของเรา  และเพื่อความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตของเราจะไหลกลับคืนไปยังพระเจ้าได้  {SC 97.2}
                ความ หมั่นเพียรในการอธิษฐานเป็นสิ่งที่จำเป็น  จงอย่าให้สิ่งใดขัดขวางท่านไม่ให้อธิษฐาน  จงให้ความสามารถทุกอย่างที่มีอยู่เพื่อรักษาการติดต่อระหว่างวิญญาณจิตของ ท่านกับพระเยซูไว้  จงหาทุกโอกาสที่จะไปยังที่ๆ มีการอธิษฐาน  เราจะพบผู้ที่ต้องการสื่อกับพระเจ้าอย่างจริงจังได้ในการประชุมอธิษฐาน  เขาจะซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของเขา  และมีความจริงใจและร้อนใจที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทั้งหมดที่พวกเขาจะได้ รับ  เขาจะใช้ทุกโอกาสให้เป็นประโยชน์ที่จะนำตัวเขาเองให้เข้าไปอยู่ในสถานที่ๆ จะรับแสงสว่างจากสวรรค์ได้  {SC 98.1}
                เรา จะต้องอธิษฐานร่วมกันในครอบครัว  และเหนือสิ่งอื่นใด  เราจะต้องไม่ละเลยการอธิษฐานเป็นการส่วนตัว  เพราะนี่คือชีวิตของจิตวิญญาณ  จิตวิญญาณที่ละเลยการอธิษฐานจะไม่มีทางเจริญเติบใหญ่ขึ้นได้  การอธิษฐานในครอบครัวหรือในที่สาธารณะเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ  ขณะที่อยู่ตามลำพัง  จงเปิดจิตใจออกให้กับสายพระเนตรของพระเจ้าที่คอยตรวจสอบอยู่  การอธิษฐานส่วนตัวมีไว้เพื่อให้พระเจ้าสดับฟังเท่านั้น  หูของบรรดาผู้ที่อยากรู้อยากเห็นไม่ควรได้ยินภาระของการทูลอ้อนวอนเหล่านี้  ในขณะที่อธิษฐานเป็นการส่วนตัวนั้น  จิตวิญญาณจะได้รับอิสรภาพจากอิทธิพลที่อยู่รอบข้าง  หลุดพ้นจากความตื่นเต้นวุ่นวาย  คำอธิษฐานไปถึงพระเจ้าด้วยความสงบแต่ร้อนรน  อิทธิพลที่หวานชื่นและการทรงสถิตอยู่ด้วยจะไหลออกมาจากพระองค์ผู้ทรงทอดพระ เนตรในที่ลี้ลับ  พระกรรณของพระองค์เปิดออกที่จะสดับฟังคำอธิษฐานที่ออกมาจากจิตใจ  จิตวิญญาณจะยึดติดกับพระเจ้าด้วยความเชื่อที่สงบและเรียบง่าย  และจะได้รับแสงสว่างของพระเจ้ามาไว้กับตนเองเพื่อจะได้เข้มแข็งขึ้นและมั่น คงในการต่อสู้กับซาตาน  พระเจ้าทรงเป็นป้อมปราการแข็งแรงของเรา  {SC 98.2}
                จงอธิษฐานในห้องส่วนตัว  และในขณะทำงานประจำวัน  จงหมั่นหันจิตใจของท่านขึ้นไปหาพระเจ้าเสมอ  เอโนคทำเช่นนี้ในการดำเนินชีวิตร่วมกับพระเจ้า   คำอธิษฐานในใจเหล่านี้จะลอยขึ้นไปถึงพระบัลลังก์แห่งพระคุณเหมือนเช่นควัน หอมจากเครื่องเผาบูชาที่มีค่ายิ่ง  ผู้ที่มีจิตใจติดสนิทอยู่กับพระเจ้าเช่นนี้  ซาตานไม่อาจมีชัยเหนือเขาได้  {SC 98.3}
                ไม่ มีเวลาใดหรือสถานที่ใดที่ไม่เหมาะสำหรับการทูลขอต่อพระเจ้า  ไม่มีสิ่งใดที่จะขัดขวางวิญญาณแห่งการอธิษฐานที่จริงใจที่สามารถยกชูจิตใจ ของเราได้  ในท่ามกลางความแออัดของท้องถนน  ในท่ามกลางการทำธุรกิจ  เราส่งคำทูลขอของเราไปยังพระเจ้าและอ้อนวอนขอการทรงนำของพระองค์ได้  เหมือนเช่นเนฮะมีย์ทำในขณะที่ท่านกำลังทูลขอต่อกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส  เราจะหาห้องส่วนตัวเพื่อสื่อสารกับพระเจ้าได้ทุกที่  เราจะต้องเปิดประตูใจอยู่เสมอเพื่อคำทูลเชิญของเราจะขึ้นไปถึงพระเยซู  เพื่ออัญเชิญพระองค์ให้ลงมาและเป็นแขกรับเชิญจากสวรรค์เพื่อสถิตในจิตวิญญาณ ของเรา  {SC 99.1}
                แม้ ว่าบรรยากาศรอบตัวเราจะเต็มไปด้วยมลทินและความเลวร้าย  แต่เราไม่จำเป็นต้องหายใจเอาบรรยากาศที่เป็นพิษเหล่านี้  เรามีโอกาสดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ของสวรรค์ได้  เราปิดประตูทุกบานให้กับความนึกคิดที่ไม่สะอาดและไม่บริสุทธิ์  ด้วยการยกระดับจิตใจให้ขึ้นไปอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าโดยการอธิษฐาน ด้วยความจริงใจได้  ผู้ที่เปิดใจออกเพื่อรับการค้ำจุนและพระพรของพระเจ้าจะดำเนินชีวิตอยู่ใน บรรยากาศที่บริสุทธิ์กว่าบรรยากาศของโลก  และเขาจะสื่อสารกับสวรรค์อย่างสม่ำเสมอ  {SC 99.2}
                เรา จำเป็นต้องมีภาพของพระเยซูคริสต์ที่เด่นชัดมากยิ่งขึ้น  และเข้าใจในคุณค่าของความจริงอันนิรันดร์ได้บริบูรณ์ยิ่งขึ้น  ความงดงามของความบริสุทธิ์จะต้องเติมเต็มอยู่ในจิตใจของเหล่าบุตรของพระ เจ้า  และเพื่อที่จะทำให้เรื่องนี้สำเร็จได้  เราจะต้องขอให้พระเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งต่างๆ ของสวรรค์ให้แก่เรา  {SC 99.3}
                จง นำจิตวิญญาณของท่านออกมาและยกชูให้สูงขึ้น  เพื่อพระเจ้าจะทรงประทานบรรยากาศแห่งสวรรค์ให้เราหายใจ  เราจะต้องใกล้ชิดกับพระเจ้ามากจนกระทั่งเมื่อการทดลองทุกอันที่เราไม่คาดคิด เกิดขึ้น  ความคิดของเราจะหันไปหาพระองค์อย่างเป็นธรรมชาติ  เหมือนดอกไม้ที่หันหน้าเขาหาดวงอาทิตย์  {SC 99.4}
                จง นำความต้องการ  ความสุข  ความโศกเศร้า  ความกังวลและความกลัวของท่านมาต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า  ท่านไม่ได้ไปรบกวนพระองค์  ท่านไม่เคยทำให้พระองค์ทรงเบื่อหน่าย  พระองค์ผู้ทรงทราบจำนวนเส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่ทรงเพิกเฉยต่อความต้องการ ของเหล่าบุตรของพระองค์  องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาสักเท่าใด  (ยากอบ 5:11)  พระทัยแห่งรักของพระองค์รับรู้ถึงความโศกเศร้าของเราและแม้แต่คำพูดของเรา ที่พูดถึงเรื่องเหล่านั้นก็สัมผัสพระทัยของพระองค์  จงนำทุกสิ่งที่ทำให้ความนึกคิดของท่านวุ่นวายไปหาพระองค์  ไม่มีสิ่งใดใหญ่เกินไปที่พระองค์จะทรงแบกรับไว้ไม่ได้  เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ค้ำชูโลกไว้  พระองค์ทรงควบคุมเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจักรวาล  ไม่มีสิ่งใดในเรื่องเกี่ยวกับความสงบสุขของเราที่เล็กเกินไปจนพระองค์สังเกต ไม่เห็น  ไม่มีฉากหนึ่งใดในประสบการณ์ชีวิตของเราที่มืดมนเกินกว่าที่พระองค์จะทรง อ่านได้  ไม่มีความยุ่งเหยิงใดที่ยากเกินไปที่พระองค์จะทรงแก้ไขไม่ได้  ไม่มีภัยพิบัติใดจะเกิดขึ้นกับบุตรของพระองค์แม้เพียงผู้เล็กน้อยที่สุด  ไม่มีความกังวลใดจะมารังควานจิตวิญญาณไม่มีความสุขชื่นบานและไม่มีคำอธิษฐาน จริงใจใดที่หลุดออกจากริมฝีปากของเราโดยที่พระบิดาบนสวรรค์ของเราไม่ทรง สังเกตเห็น  หรือไม่ได้ทรงให้ความสนใจในทันที  พระองค์ทรงรักษาคนที่ชอกช้ำระกำใจ  และทรงพันผูกบาดแผลของเขา  (สดุดี 147:3)  ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าและจิตวิญญาณทุกดวงนั้นชัดเจนและบริบูรณ์  ราวกับว่าในโลกนี้ไม่มีจิตวิญญาณอื่นอีกแล้วที่จะมาแย่งความหวงหาของพระองค์  ราวกับพระองค์ไม่ได้ทรงประทานพระบุตรอันเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ให้แก่จิตวิญญาณอื่น  {SC 100.1}
                พระเยซูตรัสว่า  ท่านจะทูลขอในนามของเราและเราจะไม่บอกท่านว่าเราจะอ้อนวอนพระบิดาเพื่อท่าน  เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักท่านทั้งหลาย  เราได้เลือกท่านทั้งหลาย.....เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา  พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน  (ยอห์น 16:27, 28; 15:16)  แต่การจะอธิษฐานในนามของพระเยซูนั้นมีความหมายมากกว่าการเอ่ยพระนามของ พระองค์ในตอนต้นและตอนท้ายของการอธิษฐาน  เราจะต้องอธิษฐานด้วยความนึกคิดและด้วยวิญญาณของพระเยซู  ในขณะที่เราเชื่อพระสัญญาของพระองค์  จะพึ่งพิงในพระคุณของพระองค์และทำงานในพระราชกิจของพระองค์  {SC 100.2}
                พระ เจ้าไม่ทรงประสงค์ให้เราเป็นฤาษีหรือนักบวชและแยกตนเองออกไปจากโลกเพื่อ อุทิศตนเองอยู่กับการบูชากราบไหว้  ชีวิตของเราจะต้องเหมือนชีวิตของพระคริสต์  คือมีชีวิตอยู่ท่ามกลางภูเขาและฝูงชน  ผู้ที่ไม่ทำอะไรนอกจากอธิษฐานเพียงอย่างเดียว  ไม่ช้าไม่นานก็จะเลิกอธิษฐาน  หรือไม่เช่นนั้นคำอธิษฐานของเขาก็จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำ  เมื่อมนุษย์นำตัวเองออกไปจากสังคม  ออกไปจากขอบเขตหน้าที่ของคริสเตียนและการแบกกางเขน  เมื่อเขาเลิกที่จะทำงานอย่างจริงใจเพื่อถวายพระอาจารย์ผู้ทรงกระทำกิจอย่าง จริงใจเพื่อเขาทั้งหลาย  เขาก็จะสูญเสียหัวข้อในการอธิษฐานไป  และเขาจะไม่มีแรงจูงใจเพื่อการนมัสการ  คำอธิษฐานของเขาก็จะมีแต่เรื่องส่วนตัวและเห็นแก่ตัว  พวกเขาไม่อาจที่จะอธิษฐานเผื่อความขัดสนของมนุษยชาติหรือการเสริมสร้าง อาณาจักรของพระคริสต์โดยการทูลขอกำลังที่จะทำการต่อไป  {SC 101.1}
                เรา ต้องพบกับความสูญเสียเมื่อเราละเลยสิทธิของการเข้าสื่อสัมพันธ์ร่วมกันเพื่อ เสริมกำลังและให้กำลังใจซึ่งกันและกันในงานรับใช้พระเจ้า  ความจริงที่อยู่ในพระวจนะของพระเจ้าได้สูญเสียความชัดเจนและความสำคัญไปจาก ความนึกคิดของเรา  จิตใจของเราจะไม่ได้รับความกระจ่างและไม่มีอิทธิพลแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ มาปลุกให้ตื่นขึ้น  และจิตวิญญาณของเราก็จะถดถอยลงไป  การขาดความเห็นใจซึ่งกันและกันที่มีอยู่ในสังคมคริสเตียนของเรา  ทำให้เราสูญเสียไปมาก  ผู้ที่แยกตนเองออกไปก็ไม่ได้ทำหน้าที่ที่พระเจ้าทรงจัดวางให้เขา  การพัฒนาการทางสังคมที่เหมาะสมจะนำเราให้เห็นใจผู้อื่นและเป็นวิธีที่จะ พัฒนาและเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เราเพื่องานรับใช้พระเจ้า  {SC 101.2}
                หาก คริสเตียนจะสมาคมร่วมกัน  พูดคุยกันถึงเรื่องความรักของพระเจ้าและความจริงของการไถ่ให้รอดที่มีค่า ยิ่ง  จิตใจของเขาจะได้รับความสดชื่นและเขาจะนำความสดชื่นมาให้แก่กันและกัน  เราจะได้เรียนรู้ถึงพระบิดาในสวรรค์ของเรามากขึ้นทุกวัน  ได้รับประสบการณ์พระคุณของพระเจ้าที่สดใหม่  และเราจะปรารถนาที่จะพูดถึงความรักของพระองค์  และเมื่อเราทำเช่นนี้จิตใจของเราจะอบอุ่นและได้รับกำลังใจ  หากเราคิดและพูดเรื่องพระเยซูให้มากขึ้น  และพูดถึงตัวเองให้น้อยลง  พระเจ้าก็จะสถิตอยู่ร่วมกับเรามากยิ่งขึ้น  {SC 101.3}
                หาก เราเพียงแต่จะคิดถึงพระเจ้ามากเท่าๆ กับที่พระองค์ทรงมีต่อเราตามที่เรามีหลักฐานที่แสดงถึงความห่วงใยของ พระองค์  เราก็จะมีพระองค์อยู่ในความนึกคิดของเราเสมอ  และจะมีความสุขที่ได้สนทนาถึงเรื่องของพระองค์และสรรเสริญพระองค์  เราพูดถึงสิ่งของฝ่ายโลกเพราะเราสนใจในของเหล่านั้น  เราพูดถึงเพื่อนของเราเพราะเรารักเขา  ความสุขและความทุกข์ของเราถูกผูกมัดอยู่กับพวกเพื่อนเหล่านี้  แต่ถึงกระนั้น  เรามีเหตุผลยิ่งใหญ่อย่างไม่จำกัดที่จะรักพระเจ้ามากกว่าที่จะรักเพื่อนของ เราในโลกนี้  ควรจะต้องเป็นเรื่องปกติที่สุดในโลกที่เราจะให้พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในความ คิดทั้งหมดของเรา  ที่เราจะพูดถึงคุณความดีของพระองค์และบอกเล่าถึงอำนาจของพระองค์  ของประทานอันมีค่าที่พระองค์ทรงประทานให้เรานั้นไม่ได้มีไว้เพื่อกลืนความ คิดและความรักของเรา  จนเราไม่มีอะไรที่จะถวายพระเจ้าได้  ของประทานเหล่านี้จะต้องเตือนสติเราให้ระลึกถึงเรื่องพระองค์อยู่ตลอดเวลา และผูกเราเข้าด้วยสายใยแห่งความรักและการขอบพระคุณต่อพระผู้ทรงสถิตใน สวรรค์  ผู้ทรงประทานทุกสิ่งให้แก่เรา  เราอาศัยอยู่ใกล้พื้นราบของโลกมากเกินไป  จงลืมตาของเราขึ้นไปยังประตูของพระวิหารที่เปิดอยู่เบื้องบน  ที่ๆ แสงสว่างแห่งพระสิริของพระเจ้าส่องไปยังพระพักตร์ของพระคริสต์  พระองค์  ทรงสามารถเป็นนิตย์ที่จะช่วยคนทั้งปวงที่ได้เข้ามาถึงพระเจ้าโดยทางพระองค์  (ฮีบรู  7:25{SC 102.1}
                เราควรสรรเสริญพระเจ้าให้มากกว่านี้  เพราะความรักมั่นคงของพระองค์  เพราะการอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบุตรของมนุษย์  (สดุดี 107:8)  กิจกรรมในการนมัสการของเราไม่ควรจะมีแต่เรื่องการขอและการรับเท่านั้น  จงอย่าคิดถึงแต่เรื่องความต้องการของเราและอย่าคิดถึงผลประโยชน์ที่เราจะได้ รับ  เราไม่ได้อธิษฐานขอสิ่งใดมากเกินไป  แต่เราถวายการขอบคุณน้อยเกินไป  เราได้รับพระเมตตาคุณของพระเจ้าอยู่เสมอ  แต่เรากล่าวคำขอบคุณพระองค์น้อยมากเพียงไร  เราสรรเสริญพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้แก่เราน้อยเกินไปเพียงไร  {SC 102.2}
                ในอดีตกาล  พระเจ้าทรงบัญชาชนชาติอิสราเอลเมื่อเข้ามาประชุมร่วมกันเพื่องานรับใช้ของพระองค์ว่า  ท่านทั้งหลายจงรับประทานที่นั่นต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน  ทั้งท่านและครอบครัวของท่านจงปิติร่าเริงในบรรดากิจการซึ่งท่านได้กระทำนั้น  (เฉลยธรรมบัญญัติ 12:7)  สิ่งที่เราทำเพื่อถวายเกียรติพระเจ้านั้น  จะต้องทำด้วยความชื่นชมยินดี  ด้วยบทเพลงสรรเสริญและด้วยการขอบพระคุณ  ไม่ใช่ด้วยความเศร้าหรือความหมดหวัง  {SC 103.1}
                พระ เจ้าของเราเป็นพระบิดาผู้ทรงอ่อนโยนและเมตตา  เราจะต้องไม่มองว่างานรับใช้พระองค์เป็นกิจกรรมที่ทำให้จิตใจเศร้าสลดและน่า เบื่อหน่าย  การนมัสการพระเจ้าและการมีส่วนในพระราชกิจของพระองค์จะต้องเป็นเรื่องที่ให้ ความสุข  พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้บุตรทั้งหลายของพระองค์  ซี่งเป็นผู้ที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมความรอดยิ่งใหญ่ไว้ให้ต้องมาทำตัวราว กับว่าพระองค์ทรงเป็นนายงานที่เหี้ยมโหดและเข้มงวด  พระองค์ทรงเป็นพระสหายเลิศที่สุดของพวกเรา  และเมื่อพวกเขานมัสการพระองค์  พระองค์ทรงประสงค์ที่จะสถิตอยู่ร่วมด้วย  เพื่ออวยพระพรและปลอบประโลมเขา  เติมจิตใจของเขาให้เต็มล้นด้วยความสุขและความรัก  พระเจ้าทรงปรารถนาให้บุตรทั้งหลายมีความสุขสบายในงานรับใช้พระองค์  และพบความปิติยินดีมากกว่าความยากลำบากในพระราชกิจของพระองค์  พระองค์ทรงประสงค์ให้ผู้ที่เข้าร่วมนมัสการพระองค์ได้นำความคิดที่มีค่าของ เรื่องความห่วงใยและความรักของพระองค์ออกไป  เพื่อพวกเขาจะได้เป็นกำลังใจในงานทุกงานที่เขาต้องทำในชีวิต  เพื่อเขาจะมีพระคุณที่จะจัดการกับทุกเรื่องด้วยความเที่ยงตรงและสัตย์ซื่อ  {SC 103.2}
                เราจะต้องเข้ามาอยู่ใกล้กางเขน  พระคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงจะต้องเป็นเรื่องที่เราไตร่ตรอง  เป็นเรื่องที่เราสนทนาและเป็นเรื่องที่ให้ความสุขมากที่สุดของเรา  เราจะต้องระลึกอยู่เสมอถึงพระพรทุกอย่างที่เราได้รับจากพระเจ้า  และเมื่อเราตระหนักถึงความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์  เราจะต้องเต็มใจที่จะมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ที่ถูกตรึงบนกางเขนเพื่อเรา  {SC 103.3}
                จิต วิญญาณจะบินสูงขึ้นไปจนใกล้สวรรค์ด้วยปีกแห่งการสรรเสริญ  การนมัสการพระเจ้าที่บัลลังก์เบื้องบนจะทำได้ด้วยบทเพลงและเสียงดนตรี  และในขณะที่เรากล่าวคำขอบพระคุณ  เรากำลังเลียนแบบการนมัสการของเหล่าชาวสวรรค์  บุคคลที่นำการโมทนาพระคุณมาเป็นเครื่องสักการบูชา  ก็ให้เกียรติแก่  พระเจ้า  (สดุดี 50:23)  ให้เราเข้ามาหาพระผู้สร้างของเราด้วยความสุขอย่างยำเกรง  พร้อมกับ  การโมทนาและเสียงเพลง  (อิสยาห์ 51:3)  {SC 104.1}

Visit us for more information http://www.greatesthope.com

For more information, please contact 
Alejandro at mienfield@yahoo.com
or contact
Thailand Adventist Mission 
12 Soi Pridi Banomyong 37, Sukhumvit 71
Klongtan Nua, Wattana, Bangkok 10110
 
Telephone: 02-391-3595, 02-391-0525
Fax: 02-381-1928
 
Information:  
P.O. Box 234 Prakanong Bangkok 10110 Thailand
 

VISIT ALSO


http://www.adventist.or.th/

http://thaivop.com/